จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 606 แดน
ผู้เฒ่าเห็นฟางเหยียนไม่พูดไม่จา เขาก็ไม่พูดเช่นกัน และราวกับว่าแสงที่อยู่ด้านหลังของเขาจะไม่ดับไปอย่างไรอย่างนั้น สว่างอยู่ตลอดเวลา
ทั้งสองเผชิญหน้ากันอยู่อย่างนั้น ใครก็ไม่เอ่ยปาก
สำหรับยอดฝีมือ ใครเอ่ยปากก่อนหมายถึงข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ สูญเสียโอกาสสำคัญไป จุดอ่อนก็จะปรากฏออกมา นี่ไม่ใช่การแสร้งว่าตัวสูงส่ง แต่เป็นประสบการณ์ที่ตกตะกอนมาจากการทำสงครามนับครั้งไม่ถ้วน
ฟางเหยียนได้รับสมญานามว่านิ่งสงบ ไม่เคยอ้ำๆอึ้งๆต่อหน้าผู้ใดแม้แต่น้อย แต่ครั้งนี้ ราวกับว่าเขาจะข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว!
หลังจากที่คนนั้นเห็นเขาแล้ว แววตาคู่นั้นก็มองด้วยความโอหัง ดูถูกมาโดยตลอด!
ในแววตาของเขามีความรู้สึกสรรพสิ่งล้วนเท่าเทียมกัน
ที่มาของความภาคภูมิใจ จองหองมาจากความสามารถ เขามีความสามารถที่จะภาคภูมิใจและจองหองได้!
สุดท้าย ฟางเหยียนทำลายความเงียบที่สงัดลง เขาถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “คุณเป็นใคร?”
“แล้วแกล่ะเป็นใคร!” ผู้เฒ่ากล่าวอย่างเย็นชา ให้ความรู้สึกกดดันมาก
เสียงตอบกลับของเขา แทบจะดังสนั่นไปทั่วหุบเขาอยู่นาน ดังเข้าไปในจิตใจของฟางเหยียนโดยตรง
“ฟางเหยียน!”
“อ๋อ!”
หลังจากเสียงอ๋อแล้ว บรรยากาศได้เงียบลงอีกครั้ง
นี่ทำให้ในใจของฟางเหยียนปั่นป่วนมากขึ้น ความนิ่งสงบของคนนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเขา
เขาไม่ค่อยกล้าคิดต่อไปแล้ว หรือคนนี้เป็นระดับปรมาจารย์กันนะ?
ไม่สิ อาจจะไม่ใช่!ตนเป็นระดับปรมาจารย์แล้ว แต่เขา อาจจะเป็นระดับยอดดาวเหนือ!
ทั้งประเทศหวาแม้จะมีพยัคฆ์ซุ่มซ่อนอยู่ แต่ยอดฝีมือของระดับปรมาจารย์กลับหายาก ใช้นิ้วเดียวก็นับได้แล้ว
ถ้าเป็นช่วงพลังเต็มเปี่ยม เขาไม่กลัวใดๆอยู่แล้ว ต่อให้อีกฝ่ายจะแข็งแกร่งขนาดไหน เขาก็สามารถต่อสู้ได้!แต่นาทีนี้ เขามีพลังเพียงหกสิบเปอร์เซ็นต์ เกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้เฒ่าตรงหน้านี้
ตรงหน้าเป็นศัตรูหรือเพื่อน พูดยากจริงๆ!
ด้วยเหตุนี้เขาเดินไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว!
หนึ่งก้าว!
แค่หนึ่งก้าวเท่านั้น!
คนนั้นก็เอ่ยปากพูดแล้วว่า “แกมาทำอะไรที่ภูเขาทิพย์ของฉัน?”
ประโยคนี้ราวกับกำลังเตือนฟางเหยียน ว่าอย่าเดินมาข้างหน้า!ถ้าแกยังเดินมาข้างหน้า ฉันจะไม่ไว้หน้าแน่
พูดจบ แสงบนตัวของผู้เฒ่ามืดอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะมืดลง แต่ยังคงสามารถเห็นทุกสิ่งที่อยู่รอบๆได้อย่างชัดเจน!
ฟางเหยียนพูดกับผู้เฒ่าด้วยน้ำเสียงไม่แข็งกร้าวว่า “ศาสตราจารย์โจวแห่งมหาวิทยาลัยซีหนานแนะนำ ให้มาหาฉินเสียงหลินที่ภูเขาทิพย์!”
“เพื่อนของศาสตราจารย์โจว!ฮ่าๆๆๆ!”
เสียงหัวเราะนี้ดังสนั่นทั่วป่าอีกครั้ง ความแข็งแกร่งของกำลังภายในของเขาสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า!
จู่ๆผู้เฒ่าสะบัดแขนเสื้อ ยกมือขึ้นมาลูบหนวด แล้วกล่าว “มิน่าล่ะลงมือทำร้ายสัตว์ในตำนานของฉันได้ ในเมื่อเป็นเพื่อนของศาสตราจารย์โจว ฉันว่าแกก็ไม่ใช่คนธรรมดา งั้นตามฉันมา“”
หืม?
ฟางเหยียนชะงักไปทันที
นี่จะทำอะไรอีกเนี่ย?
ทำไมหลังจากที่ได้ยินศาสตราจารย์โจวแล้ว น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นอีกแบบเลยนะ หรือศาสตราจารย์โจวเก่งกาจมากเลยเหรอ?
ฟางเหยียนไม่รู้สึกว่าศาสตราจารย์โจวเก่งกาจอะไร นั่นคือผู้เฒ่าบ๊อง หรือเขาซ่อนความสามารถของตัวเองไว้งั้นเหรอ? ทำให้ตนตกอยู่ในความวุ่นวาย?
ไม่ เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากัน!
สัตว์ในตำนาน?
สัตว์ประหลาดนี้คือสัตว์ในตำนานที่ผู้เฒ่ากล่าวถึง?
เดี๋ยวนะ แล้วยังอะไรร่างธรรมดานั่น หรือเขาเป็นเทพเซียนจริงๆ?
ไม่รอให้เขาซักถามต่อ เห็นเพียงแสงที่เดิมทีมืดลงจู่ๆได้สว่างขึ้นอีกครั้ง ความมืดทั้งหมดได้สว่างไสวขึ้นอีกครั้ง
“มาเถอะ ตามมันมา”
พูดจบ เห็นผู้เฒ่าสะบัดแขนเสื้อแสดงท่าทางหนึ่ง!
จากนั้นได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดต่อหน้าของฟางเหยียนขึ้น นึกไม่ถึงว่าสัตว์ประหลาดนั่นค่อยๆลุกขึ้นจากพื้นอย่างช้าๆ
เมื่อกี๊เจ้านั่นถูกตนโจมตีจนเกือบตาย แต่ผู้เฒ่าแค่โบกมือ ก็มีชีวิตกลับมาแล้ว!
นี่มันเทพเซียนมั้ย?
ฟางเหยียนเองมึนงงไปหมดแล้ว!
หลังจากที่สัตว์ประหลาดยืนขึ้นในครั้งนี้ ไม่มีความโหดเหี้ยมของเมื่อก่อนแล้ว และผู้เฒ่าคนนั้นก็หายไปจากโลกมนุษย์
เหตุการณ์นี้ทำให้ฟางเหยียนเองยังอดที่จะตกใจไม่ได้!
เกรงว่าแดนของคนนี้จะเก่งกว่าอาจารย์ของเขาอีกนะ! แล้วอาจารย์ของตัวเองเป็นแดนอะไรกันนะ?
ฟางเหยียนไม่รู้!
จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ไม่รู้!
ไม่ว่าตรงหน้าเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายหรือสถานที่เสี่ยงภัย เขาต้องรู้ให้แน่ชัด
นอกจากเพื่อตัวเอง แล้วยังเพื่อทำความเข้าใจอีกว่าเจ้านี่มีที่มาที่ไปอย่างไร!
“มาเถอะ!”
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับดังมาจากที่ที่ไกลมาก เมื่อมาถึงที่นี่ แม้เสียงจะเบาลงไปไม่น้อย แต่ก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือ ความเป็นปรปักษ์น้อยลง มีความรู้สึกเรียบง่ายเป็นกันเองมากขึ้น
ทันใดนั้น ฟางเหยียนก็เข้าใจ และรู้สึกหนักใจมากขึ้น
นินจาระดับปรมาจารย์น่าจะไม่ได้ถึงขั้นนี้นะ!
นี่น่าจะเป็นระดับยอดดาวเหนือในตำนาน! หรือว่าเป็นสำนักบำเพ็ญเซียน อย่างเช่นอาจารย์ของตัวเองยอดฝีมือแบบนั้น
คิ้วของฟางเหยียนขมวดเป็นตัวอักษรชวน อย่าว่าตอนนี้เขาไม่เป็นศัตรูเลย เกรงว่าตอนช่วงพีค เขาก็ไม่กล้าลงมือโดยเปล่าประโยชน์
ในเมื่อเขาไม่ลงมือ แล้วในใจยังมีความกลัวอะไรอีก?
เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัย เขาก็ได้พาต่งยู่มาด้วย
เมื่อมาถึงข้างกายต่งยู่ เธอได้สลบไปแล้ว ฟางหยียนไม่คิดอะไรมาก เขย่าตัวของเธอเบาๆ
หลังจากที่ต่งยู่ส่งเสียงเบาๆออกมาค่อยๆตื่นขึ้น ดวงตาเพิ่งลืมขี้นมา เธอก็ส่งเสียงดังอีกครั้ง ตกใจจนตัวสั่นไปทั้งตัว เพราะเมื่อเธอลืมตาขึ้นก็ได้เห็นสัตว์ประหลาดตัวนั้น!
ฟางเหยียนรู้สึกแสบแก้วหู ในใจเขาคิดว่า “เมื่อผู้หญิงเจอเข้ากับอันตรายทำได้เพียงส่งเสียงดังเหรอ?
“พอได้แล้ว พวกเราไปกับเขา”
เสียงของฟางเหยียนราวกับมีพลังวิเศษ แว็บเดียวก็ทำให้ท่าทีหวาดกลัวของต่งยู่สงบลง แต่เธอยังไม่หายหวาดกลัว จ้องสัตว์ประหลาดที่อยู่ตรงหน้าอย่างบ่อยครั้ง
“นี่……พวก พวกเราต้องไปกับเขาจริงๆเหรอ? เราจะไปไหนกัน?”
เห็นได้ชัด ว่าเมื่อกี๊ต่งยู่ไม่รู้ถึงการปรากฏตัวของผู้เฒ่าคนนั้นเมื่อกี้นี้ ตอนที่ฟางเหยียนต่อสู้กับสัตว์ประหลาด เธอได้สลบไปก่อนหน้านั้นตั้งนานแล้ว
“ไปด้วยกันนั่นแหละ!”
ฟางเหยียนเริ่มรำคาญแล้ว!
ต่งยู่กัดริมฝีปาก ส่ายหน้ากล่าว “ไม่! ฉันจะขี่หลังคุณค่ะ”
เธอยังคงค่อนข้างชอบหลังของฟางเหยียน สงบ รู้สึกปลอดภัย!
แต่ฟางเหยียนกล่าวว่า “คุณอยากให้ผมเหนื่อยตายหรือไง?”
คำพูดนี้ทำให้ต่งยู่ไม่ลังเลอีกต่อไป!
สัตว์ประหลาดพาฟางเหยียนและต่งยู่ทั้งสองคนเดินทางลึกเข้าไปในภูเขาทิพย์โดยตลอด สัตว์ประหลาดเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอีกครั้ง บาดแผลหลายสิบรอยนั่นบนร่างกายไม่มีแล้ว!
จะว่าไป ครั้งนี้ที่ฟางเหยียนและต่งยู่มาภูเขาทิพย์นี้ มาเจอกับเทพเซียนเลยนะเนี่ย!
การข้ามผ่านป่า สำหรับฟางเหยียนแล้วเป็นเรื่องปกติทั่วไป เนื่องจากการหมดของกำลังภายใน เขาทำได้เพียงเสมอกันกับสัตว์ประหลาด
หนึ่งในคนที่ทุกข์ทรมานโดยไม่ต้องสงสัยเลยคือต่งยู่ เดิมทีก็ตกใจมากพออยู่แล้ว ตอนนี้ยังต้องเดินทางเร่งด่วนในป่าทึบอีก เธอรับไม่ไหวต้องนานแล้ว ฟางเหยียนไม่คิดจะหยุดลง เธอก็ไม่กล้าพูดออกมาโดยตรง ทำได้เพียงกัดฟันยืนหยัดต่อไป
จากการที่เพิ่มความเร็ว ต่งยู่รับไม่ไหวแล้วจริงๆ เริ่มหน้ามืดตาลาย คลื่นไส้อาเจียน เธอรู้สึกหนักหัว ขาทั้งสองข้างไม่ใช่ของตัวเองอีกแล้ว โดยเฉพาะเปลือกตา ลืมตายากเหมือนกับถ่วงตะกั่วไว้อย่างไรอย่างนั้น
“ฟาง ฟางเหยียน……”
ยังไม่ทันพูดจบ เธอก็เป็นลมไปทันที
หลังจากเดินทางไปได้ประมาณสองชั่วโมง พวกเขาได้มาหยุดตรงหน้าอารามที่คล้ายกับอารามเต๋าแห่งหนึ่ง!
เนื้องจากฟ้ามืดมาก ทำได้เพียงมองโดยรวมว่านี่คือลักษณะของอารามเต๋า โดยเฉพาะยอดของอารามเหลี่ยมที่ยกขึ้นสูงสองเสานั้น และรอบๆของเหลี่ยมนั้น เชื่อมเหลี่ยมคล้ายๆกันสี่อัน เหลี่ยมทั้งห้ารวมกันเป็นดาวฤกษ์ห้าแฉก
ถึงแม้จะเป็นช่วงกลางคืนที่มืดมิด ยังคงสามารถมองออกถึงร่องรอยของอารามนี้ยังมีคนทำกิจกรรมอยู่ ด้านหน้าของอารามเต๋าทำความสะอาดจนเป็นระเบียบ ไม่เห็นหญ้ารกแต่อย่างใด นอกจากนี้แล้ว นึกไม่ถึงว่ารอบๆจะมีกลิ่นหอมพิเศษของดอกหญ้ากำลังลอยมา ราวกับอยู่ในโลกของดอกไม้
นึกไม่ถึงว่าส่วนที่ลึกของภูเขาทิพย์จะมีอารามเต๋าอยู่หลังหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่ฟางเหยียนคิดไม่ถึง แต่เขากลับไม่มีเวลามากขนาดนั้น การปลดล็อกความลับของหินทิพย์จึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด