จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 625 หม่างเทียน ราชาดาบพัน
เห็นได้ชัดว่า ฟางจินหยวนกำลังหลอกตัวเอง พอความคิดนี้ออกมา ก็โดนเขาสลัดมันทิ้งไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียวแล้ว
ขวังซือ ซึ่งเป็นสัตว์คุ้มครองในตำนานของตระกูลฟางจะต้านทานศัตรูไหวไหม?
เขาเองก็ไม่แน่ใจ
หน้าที่ของขวังซือไม่ใช่ปกป้องคุ้มครองตระกูลฟาง แต่เป็นคุ้มครองเจ้าตระกูลฟาง! ขวังซือทำเพียงแค่ให้แน่ใจว่าฟางจินหยวนไม่ตายเท่านั้น คนอื่นไม่ต้องสนใจเลย ดังนั้นนี่เก็เลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงออกจากห้องประชุมโดยลำพัง เพราะต้องการรักษารากฐานสุดท้ายของตระกูลฟางเอาไว้
พอเห็นคนตระกูลฟางค่อยๆล้มลงทีละคน จิตใจฟางจินหยวนเหมือนตกลงไปในเหวลึก เขาร่นถอยหลังหลายก้าวจนพิงกำแพง ทั่วทั้งร่างสั่นเทา ปากบ่นพึมพำว่า “หรือว่าตระกูลฟางจะมาถึงวันล่มสลายแล้วจริงหรือ?”
เขาไม่ได้สั่นเทาด้วยความกลัว แต่เป็นไม่ยอมรับ เพราะไม่ยอมรับถึงได้สั่นเทา!
เขาไม่กลัวความตาย เพียงแต่กลัวว่าตายไปแล้วไม่มีหน้าไปพบบรรพชนก็เท่านั้น!
มีเสียงร้องคำรามออกมาไม่หยุดจากเรือนตะวันตกของตระกูลฟาง ประหนึ่งสัตว์ป่าตื่นจากหลับใหล
ฟางจินหยวนไม่ได้รู้สึกดีใจเลยที่ได้ยินเสียงร้องคำรามจากเรือนตะวันตก ตรงกันข้ามกลับเคร่งเครียดหนักกว่าเดิม
ขวังซือเห็นฉากนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ยังไม่ลงมือ ได้แต่เฝ้ามองฉากเลือดสาดนี่อย่างสงบนิ่ง ฟางจินหยวนรู้ดี ขอเพียงเขาไม่เป็นอะไร ต่อให้ตระกูลฟางถูกฆ่าล้างตระกูล ขวังซือก็จะไม่ออกมา
คนตระกูลฟางมากมายที่ออกมาจากห้องประชุม พอเห็นฉากโศกนาฏกรรมเลือดสาดนี่ ส่วนใหญ่ล้มลงไปทำท่าโอ๊กอ๊ากอยู่กับพื้นทั้งนั้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เคยเจอฉากเลือดสาดแบบนี้มาก่อน ทุกๆที่ที่สายตาพวกเขากวาดไปถึง คนไม่น้อยนอนกลางกองเลือด ซากศพทับถมกันราวภูเขา เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ เสียงร้องโหยหวนไปทั่วฟ้า
อนาถ!
คำว่าอนาถแค่คำเดียว ยากที่จะพรรณนาออกมาได้
เรียกได้ว่าเศร้าอนาถจนทนดูไม่ไหว!
ไม่โทษพวกเขาที่มีปฏิกิริยาแบบนี้ ต่อให้คนธรรมดามาเจอฉากนี้ คงแทบตกใจตายไปแล้ว และนี่พวกเขาเป็นคนในตระกูลสูล เคยเห็นฉากแบบนี้ที่ไหนกัน!
ผู้หญิงมากมายตกใจเป็นลมไปเลย ต่อให้เป็นผู้ชาย ตอนนี้ในใจเต้นรัวไม่เป็นส่ำด้วยความหวาดกลัวเหมือนกัน
พวกคนที่มาฆ่าล้างตระกูลฟางไม่มาก แค่สิบคน แต่ฝีมือการต่อสู้ที่สิบคนนี้แสดงออกมาไม่ด้อยไปกว่าสัตว์คุ้มครองในตำนานขวังซือเลย ทุกคนต่างรู้ดีว่า ตระกูลฟางนอกจากพวกผู้หญิงแล้ว ทุกคนล้วนฝึกยุทธ์ตั้งแต่เด็ก พวกเขารู้ดีว่ารังสีอำมหิตที่สิบคนนี้มีรวมถึงฝีมือเก่งกาจนี่ไม่ใช่อะไรที่พวกเขาจะเทียบได้เลย
ตงฟางหยุนเอ๋อร์ตกใจหน้าซีดเผือดไปนานแล้ว เธอจ้องมองฉากน่าสะพรึงกลัวนี่พลางบ่นพึมพำว่า “หรือว่าตระกูลฟางจะไม่รอดแล้วจริงๆ?”
ฟางไห่อิงถือว่าเข้มแข็งอยู่ ในตอนที่การ์ดวิ่งเข้าห้องประชุมด้วยร่างเปื้อนเลือดชุ่มโชกนั่น เธอก็เดาถึงภัยพิบัติที่ตระกูลฟางกำลังเผชิญได้แล้ว แต่ถึงจะทำใจไว้บ้างแล้ว พอมาเห็นฉากนี้ ทั่วทั้งร่างยังคงสั่นเทา เธอตกตะลึงจริงๆ
เหมือนมีดาบแขวนไว้เหนือหัวคนตระกูลฟาง พร้อมจะฟันลงมาฆ่าคนตระกูลฟางได้ทุกเมื่อ!
สำหรับตระกูลฟางแล้ว เรียกได้ว่าเป็นภัยพิบัติร้ายแรง!
ไม่เพียงแค่เธอ ขนาดเครือญาติสายตรงอย่างฟางไห่เซิง ฟางไห่ถาง รวมถึงฟางเหมี่ยวเป็นต้นต่างคิดแบบนี้เหมือนกัน
“พ่อ ให้ขวังซือออกมาเถอะ!” ฟางไห่เซิงหันไปตะโกนใส่ฟางจินหยวน
ไม่รู้ว่าฟางจินหยวนได้ยินไหม แต่คนทั้งสิบคนพร้อมใจกันหยุดมือ แทบเท้าพวกเขามีซากศพการ์ดตระกูลฟางเต็มไปหมด พวกเขาก้าวข้ามศพเหล่านั้นมาทางทุกคนด้วยสีหน้าแสยะยิ้ม
แทบในขณะเดียวกัน ผู้ชายตระกูลฟางพร้อมใจทำท่าทีราวเผชิญหน้าศัตรู เคร่งเครียดและระแวดระวัง พวกเขามองสิบคนนี้อย่างหวาดระแวง พร้อมลงมือทุกเมื่อ แต่ดูจากความสั่นเทาของร่างกายพวกเขาแล้ว ก็แค่การหลอกตัวเองเท่านั้นเอง
ผู้ฝึกยุทธ์ มองสบตาคู่ต่อสู้ถึงจะเป็นท่าทีที่ผู้ฝึกยุทธ์ควรมี แต่ตอนนี้แม้แต่ความกล้าในการสู้ก็ไม่มี
หวาดกลัว!
หวาดกลัวเข้ากระดูกดำ!
บนร่างสิบคนนี่ พวกเขารับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตมหาศาล รังสีอำมหิตของทั้งสิบคนนี้เทียบเท่ากับขวังซือตอนพลังเต็มเปี่ยมได้เลย ต่อให้วันนี้ฟางเหยียนมา ก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้!
ทั้งสิบคนเดินมายืนตรงหน้าทุกคน และหยุดลงในระยะห่างออกไปสองเมตร
ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งพูดขึ้น ในเวลาเดียวกันคนๆนั้นก็ก้าวเท้าออกมา เขาถามพลางจับจ้องมองฟางจินหยวนว่า “แกคือฟางจินหยวน เจ้าตระกูลฟางหรอ?”
เขาเป็นผู้ชายอายุราว40กว่าปี ใส่เสื้อผ้าเหมือนช่างไม้ในป่า คิ้วหนาตาใหญ่ ร่างอวบอ้วน เป็นชายร่างใหญ่จริงๆ โดยเฉพาะใบหน้าหนวดเคราดกนั่นเห็นได้ชัดสุด เหมือนเจ้าวัวเหล็กในเรื่อง108 ผู้กล้าเขาเหลียงซานเลย
ถ้าเขาจะถาม แต่กลับทำทีท่าราวกับราชันย์ก็ไม่ปาน แววข่มขู่ชัดอยู่ในที
ฟางจินหยวนยิ้มเย็นพลางก้าวเท้าออกมา เขาไม่หวั่นเกรงกับการข่มขู่ของผู้ชายคนนี้เลย ตอบอย่างเรียบเฉยว่า “ฉันเอง!”
ผู้ชายคนนั้นมองฟางจินหยวนหลายทีอย่างแปลกใจ อดชื่นชมเขาขึ้นมาในใจไม่ได้ วันนี้ไม่รู้ฆ่าคนตระกูลฟางไปมากเท่าไหร่แล้ว คนคนนี้กลับจัดการเรื่องราวได้อย่างสงบนิ่งไม่ตื่นตระหนก ไม่ง่ายเลยจริงๆ โดยเฉพาะหมอนี่เป็นแค่คนธรรมดา เจอกับพวกเขากลับไม่หวาดกลัวหรือครั่นคร้ามอะไรเลย แค่ท่าทีและสไตล์ใจเย็นนี่ น่ากลัวนินจาไม่น้อยเลยที่ไม่มี
สีหน้าล้อเลียนบนใบหน้าผู้ชายชะงัก แปรเปลี่ยนเป็นแววอาหาต เขาพูดเสียงต่ำว่า “เอาล่ะ ฆ่าคนไปเยอะ ฉันก็เหนื่อยแล้ว จะพูดสั้นๆละกัน ส่งฟางเหยียนออกมา จะละเว้นชีวิตพวกแกให้!”
“ฮะฮะฮะ…” พอได้ยินว่าเป้าหมายพวกเขาคือฟางเหยียน ฟางจินหยวนก็หัวเราะร่วนออกมา ซึ่งเกือบทำให้เขาขาดอากาศหายใจ ต้องไอค่อกแค่กติดกันหลายที
การหัวเรานี้ทำให้ผู้ชายตรงหน้างุนงง โพล่งถามออกมาเลยว่า “แกหัวเราะอะไร!”
ฟางจินหยวนแค่นเสียงหึ พูดอย่างเคร่งเครียดว่า “แกให้ฉันมอบตัวฟางเหยียน? ฉันก็ต้องมอบตัวฟางเหยียนหรือไง? แกรู้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน? ส่งหมาแมวที่ไหนมาก็จะให้ฉันมอบคนให้? คิดว่าตระกูลฟางฉันรังแกง่ายนักหรือไง?”
เย่อหยิ่งทระนง! ความเย่อหยิ่งทระนงของเจ้าตระกูลตระกูลใหญ่มันต้องมีสิ!
ฟางจินหยวนไม่สามารถละทิ้งความเย่อหยิ่งที่เป็นของเขาอันนี้ได้!
ผู้ชายคนนั้นอึ้งไปก่อนหัวเราะร่าออกมาเหมือนกัน จากนั้นก็ทำสีหน้าชวนโดนตบพลางว่า “รังแกง่ายไหมฉันไม่รู้ แต่ฉันเข้ามาแล้ว ไม่เพียงเข้ามาแล้ว ยังฆ่าคนตระกูลฟางไปเยอะแล้วด้วย!”
ฟางจินหยวนมีความเย่อหยิ่งของฟางจินหยวน ผู้ชายคนนั้นก็มีความเหิมเกริมของเขาเหมือนกัน!
ฟางจินหยวนยิ้มบางบอกว่า “คุณไม่ใช่คนธรรมดา มุขโจมตีจิตใจจิ๊บจ๊อยพวกนี้อย่าใช้เลย เป็นผู้ชายเหมือนกัน ตรงๆเลยไม่ดีหรอ?”
พูดตามตรง ฟางจินหยวนไม่มั่นใจเลย ขนาดกลางฝ่ามือยังมีเหงื่อออกเลย ที่เขาสามารถแสดงท่าทีเรียบเฉยออกมาได้นั้น เป็นเพราะว่าเขาเป็นเสาหลักของบ้านนี้ ถ้าเขาสั่นเทาไปด้วย เขาหวาดกลัวไปด้วย ตระกูลฟางไม่รอดแน่!
ผู้ชายหนวดเคราดกตรงหน้านี้รวมถึงอีกเก้าคนด้านหลังเขาทำให้เขาไม่มั่นใจ นี่ไม่ได้แย่ไปกว่ากู่ซู๋ที่มาคราวก่อน เขาแอบคาดเดาว่า ต่อให้เป็นกู่ซู๋ไม่แน่ว่าจะสู้หนึ่งคนในจำนวนสิบคนนี้ได้
ผู้ชายหนวดเคราดกหัวเราะหยัน เหมือนได้ยินเรื่องสนุกอะไร “แกอยากตรงๆ?”
“ใช่! ต่างก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ตรงๆมาเลยละกัน! ประลองกัน ถ้าฉันชนะ พวกแกมาทางไหนก็กลับไปทางนั้น ถ้าฉันแพ้…” พอพูดถึงตรงนี้ ฟางจินหยวนชะงักกึก แต่สีหน้ากลับดูมั่นใจมาก พลางพูดต่อด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “ฉันไม่เคยแพ้!”
พวกฟางไห่เซิงคลายความระแวงลง ความกดดันในใจได้รับการปลดปล่อย เหมือนกับได้ระบายอารมณ์ ค่อยหายใจได้คล่องคอหน่อย
สำหรับพวกเขาแล้ว การสู้ของฟางจินหยวนสามารถพลิกสถานการณ์ช่วยตระกูลฟางได้แน่ เพราะขวังซือไม่ใช่ย่อย คนที่กล้าทำร้ายฟางจินหยวน ขวังซือจะทุ่มสุดฝีมือฆ่าทิ้งให้ได้!
พวกเขาจำได้ดี ครั้งแรกที่ฟางเหยียนมา รังสีอำมหิตสะท้าน แทบไม่ต้องสงสัยเลย ขวังซือก็กระโดดออกมา ถึงผลจะแย่ไปหน่อย แต่การกระทำของขวังซือกลับทำให้คนตระกูลฟางรู้สึกภูมิใจนัก โดยเฉพาะครั้งที่สองที่กู่ซู๋มา พอฟางจินหยวนมีอันตราย ขวังซือแสดงฝีมืออีกครั้ง เอาชนะกู่ซู๋ ช่วยฟางจินหยวนไว้ได้อีกครั้ง
รวมการกระทำของขวังซือทั้งสองครั้ง คนตระกูลฟางต่างรู้ดีว่า ครั้งนี้ฟางจินหยวนคิดจะแสดงฉากเดิมอีกครั้ง!
บางทีคงมีแต่แสดงละครฉากเดิม ถึงจะสามารถช่วยให้ลดทอนการบาดเจ็บและตายโดยไม่จำเป็นไปได้
วินาทีนี้เองฟางไห่เซิงรู้สึกอับอายมาก ฟางจินหยวนที่เข้มงวดคร่ำครึเป็นอาจิณ กลับห่วงใยตระกูลฟางทุกลมหายใจเข้าออก เป็นเขาเองที่สายตาสั้นมองการณ์ไม่ไกล จิตใจคับแคบ คิดแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวของตน ทำให้สูญเสียความเชื่อใจของพ่อตัวเอง
ปึก!
จู่ๆฟางไห่เซิงคุกเข่าลงต่อหน้าฟางจินหยวน พูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิดว่า “พ่อ ผมผิดไปแล้วครับ”
ฟางจินหยวนไม่สนใจเขา กลับหันไปมองผู้ชายหนวดเคราดก ถามด้วยดวงตาแดงก่ำว่า “แกกล้าไหม?”
ผู้ชายหนวดเคราดกอึ้ง ก่อนพูดออกมา “กล้าดี! ฉันราชาดาบพันหม่างเทียน เป็นครั้งแรกเลยที่เจอคนแบบแก