จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 639 มาแล้ว เขามาแล้ว
หากแม้จะมีความหวังเพียงน้อยนิด ฟางจินหยวนก็จะไม่ยอมคิดว่าตระกูลฟางอับจนหนทาง แม้ว่าขวังซือจะแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนหาเหตุผลไม่ได้ก็ตาม ทว่าก็ไม่สามารถที่จะสังหารห้าคนนั้นโดยตรงได้ ทั้งห้าคนนั้นคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา หากหยิบยกผู้ใดผู้หนึ่งในนั้นออกมา เกรงว่าก็คงสามารถก่อให้เกิดเป็นศึกนองเลือดคละคลุ้งได้ทั้งนั้น
ฟางไห่เซิงเช็ดเลือดสดๆ มุมปากตนเองออก พร้อมมองไปยังห้าคนนั้นที่มีเจตนาฆ่าสังหารรุนแรง ภายในใจพลันพึมพำกับตัวเองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ตระกูลฟางจะต้องจบสิ้นแล้วจริงๆ เหรอ?”
สิ้นหวัง!
ขณะที่มองไปยังคนของตระกูลฟางทุกคน ล้วนเห็นความผิดหวังบนใบหน้าของพวกเขาออกมาได้อย่างชัดเจน!
ไม่เพียงแต่ฟางไห่เซิงเท่านั้นที่มีความคิดนี้ แม้แต่ฟางไห่ถางเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ในเวลานี้ เขาคิดเพียงหนีเอาตัวรอด หนีออกจากพื้นที่มหันตภัยนี้ ออกไปจากตรงนี้ มิใช่เพียงความคิดของฟางไห่ถางคนเดียวเท่านั้น รวมไปถึงความคิดโดยทั่วไปของคนตระกูลฟางด้วยเช่นกัน ทว่ายังคงมีผู้ไม่กล้าหนีไปอยู่ดี ถึงอย่างไรฟางจินหยวนก็ยังอยู่ตรงนั้น
ความสิ้นหวังและความหวาดกลัววนเวียนอยู่ในหัวสมองของทุกคน บรรยากาศกลายเป็นพิลึกและตึงเครียดอย่างขีดสุด
ต่อหน้าความตาย ไม่มีผู้ใดสามารถสงบนิ่งจนถึงขั้นไร้ซึ่งความหวาดกลัวได้
เมื่อเทียบกับการรอความตาย พวกเขาอยากจะหนีไปเสียมากกว่า!
ฟางจินหยวนเองก็เป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง เขาสังเกตได้ถึงบรรยากาศที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างผิดแปลก ในเวลานี้เขามีความจำเป็นที่จะต้องสยบอารมณ์ที่ไม่จำเป็นบางอย่างเอาไว้
“ชายฉกรรจ์ตระกูลฟางล้วนแต่มีความกล้าหาญมาตั้งแต่ไหนแต่ไร การกระทำอย่างที่คนต้อยต่ำทำ เช่นการหวาดกลัวความตาย เป็นการกระทำของตระกูลที่หน้าไม่อายทั้งนั้น ใครกล้าคิดหวังที่จะหนีเอาตัวรอดไปในเวลานี้แม้แต่นิดเดียว ฉัน ฟางจินหยวนจะไม่มีทางปล่อยมันไปเป็นอันขาด!”
ไม่มีผู้ใดตอบกลับ ทว่าบรรยากาศที่ผิดแปลกไปนั้นได้เริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ แล้ว โดยเฉพาะเขามองไปยังฟางไห่ถางอย่างจงใจและไม่ตั้งใจ เห็นดังนั้นฟางไห่ถางจึงหน้าถอดสีไปในทันที มีความร้อนตัวจนแสดงอาการออกมาดังเคยเกิดขึ้นมาก่อน
ฟางจินหยวนจงใจที่จะไม่เปิดเผย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาอยู่ลึกๆ หากเป็นคนอื่นในตระกูลฟาง บางทีเขาก็อาจจะเชือดไก่ให้ลิงดู เป็นการตักเตือนให้ผู้อื่นไม่ทำผิดเช่นนี้ ทว่าคนผู้นี้กลับเป็นฟางไห่ถาง ลูกชายที่เขาภาคภูมิใจที่สุด นอกเหนือจากความโมโหแล้วนั้น ที่มากกว่าก็คือความเศร้าหมอง
ไม่ใช่เพียงแค่ฟางไห่ถางเท่านั้น คนหลายคนในตระกูลฟางล้วนแต่เห็นเขาเป็นตัวอย่าง พร้อมทั้งมีความคิดที่จะหนีเอาตัวรอดผุดขึ้นมา เป็นสิ่งที่ไม่สมควรจริงๆ ทว่าจะว่าไป เมื่อเผชิญกับการสังหารหมู่ที่ไร้ซึ่งความหวั่นวิตก ผู้ใดจะไม่เกรงกลัว?
หากจะโทษจริงๆ ก็คงต้องโทษที่ตระกูลฟางไม่สามารถที่จะรับมือกับวิธีการเข่นฆ่าที่เหี้ยมโหดระดับนี้ได้ แน่นอนว่า ไม่รวมฟางเหยียน เขานั้นสามารถทำร้ายขวังซือจนได้รับบาดเจ็บได้อย่างง่ายดาย ทว่าเขาจะเข้ามาให้ความช่วยเหลือพวกเขาจริงๆ หรือ?
ฟางจินหยวนไม่ทราบ เขาไม่ทราบแม้กระทั่งว่า บัดนี้ฟางเหยียนอยู่ที่ใด
เขาจะรู้สึกดีใจเพราะเห็นตระกูลฟางถูกทำลายหรือไม่?
ว่ากันถึงแก่นแท้แล้ว ความคาดหวังที่ฟางไห่ถางเผยออกมาให้เห็นนั้น ก็อยู่ในหลักเหตุผลเช่นกัน ก็เพราะพวกเขาไม่มีกำลังอันแข็งแกร่งหนุนหลัง ส่งผลให้ตระกูลฟางได้รับความเสียหายใหญ่หลวงนัก
ภายในใจรู้สึกเย็นยะเยือก สิ้นหวัง ราวกับตกลงไปในรูน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น จากความคิดในใจ ฟางจินหยวนได้ยอมรับการกระทำทุกประการของฟางไห่ถางแล้วไปโดยปริยาย ถึงอย่างไรมีเพียงการมีชีวิตรอดอยู่ จึงจะมีความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด
ทว่าเขาจะถอยไม่ได้ หากถอยหลังหนึ่งก้าว ตระกูลฟางก็ไม่สามารถฟื้นกลับมาได้โดยสิ้นเชิง!
ทันใดนั้นเอง เขาก็มองไปยังหญิงหน้ากากพยัคฆ์ “ท่าน ผมยอมใช้กำลังของตัวผมคนเดียว ชดใช้ความตายแทนครอบครัวตระกูลฟางทั้งหมด ปล่อยตระกูลฟางผมไปเถอะ ตกลงไหม?”
หญิงหน้ากากพยัคฆ์หยุดการกระทำตนเองลง ในมือพลางโยนร่างที่แน่นิ่งลงพื้น ทำอย่างไม่สนใจราวกับเป็นขยะอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นจึงยิ้มเย็นชาเอ่ยขึ้นว่า “นี่แกกำลังขอร้องฉันงั้นเหรอ?”
“ใช่!”
ฟางจินหยวนสูดหายใจเข้าลึก เอ่ยตอบอย่างหนักแน่น ไม่มีผู้ใดทราบว่า ขณะที่เขาเอ่ยประโยคเหล่านั้นออกมา ภายในใจรู้สึกทุกข์ตรมมากเพียงใด เขาเป็นใคร ฟางจินหยวนเชียวนะ! ผู้นำตระกูลของตระกูลสูงส่งที่สุดในประเทศหวา ถือเป็นเกียรติของประเทศหวา แต่กลับก้มหัวอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งนี้จะทำให้เขาสบายใจได้อย่างไร
ทว่าเพื่อตระกูลฟาง เขาจำต้องทำเช่นนี้ หน้าตาศักดิ์ศรีคุ้มครองชีวิตได้หรือไม่?
โบราณกล่าวไว้ว่า: เมื่อคนคนหนึ่งยอมปล่อยวางศักดิ์ศรีของตนลง เขานั้นได้มองเห็นความเป็นความตายเป็นเรื่องปกติตั้งนานแล้ว ไม่มีเรื่องอันใดที่จะสามารถทำร้ายเขาได้
และฟางจินหยวนในบัดนี้ ก็เป็นเช่นนี้
เมื่อคำพูดเมื่อครู่ของฟางจินหยวนเปล่งออกมา คนทั้งตระกูลฟางก็มีความรู้สึกแตกต่างกันไป ทั้งประหลาดใจ หวาดกลัว กระส่ายกระสับ สุดท้ายรวมกันเป็นความอับอายอยู่ลึกๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” หญิงหน้ากากพยัคฆ์หัวเราะเสียงดังขึ้นมา “ฟางจินหยวน ก็บอกไปแล้วไง ฉันหวังว่าปากของคนตระกูลฟางแกจะแข็งเหมือนกระดูก แต่ว่า แกทำฉันผิดหวังเกินไปแล้ว ผิดหวังสุดๆ ไปเลย ไม่ต้องห่วงหรอกน่า คำพูดที่ฉันเคยพูดฉันจะต้องทำให้ได้ ฉันจะทำให้แกได้เห็นกับตาตัวเองว่าคนของตระกูลฟางแกตายลงกันยังไง!”
“ท่าน จะฆ่าล้างชั่วโครตจริงๆ งั้นเหรอ!” ฟางจินหยวนตะโกนอย่างโมโหออกมาอย่างฉุนเฉียว
“ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ!” หญิงหน้ากากพยัคฆ์ยิ้มเบาๆ “ฉันคิดว่าตระกูลฟางไม่จำเป็นต้องมีอยู่ต่อไปแล้ว และแกก็ด้วย ถึงยังไงพวกแกตระกูลฟางก็ทำให้ฉันขายหน้าเป็นครั้งแรกแบบนี้ ถ้าไม่กำจัดตระกูลฟางทิ้งไป คนทั้งยุทธภพจะมองฉันยังไง? แล้วก็ ความแค้นของนักเบญจธาตุจะไม่แก้แค้นได้ยังไง? แกไม่ต้องห่วงนะ ฆ่าคนตระกูลฟางแกจนหมดแล้ว คนต่อไปก็จะเป็นฟางเหยียน เขาจะต้องตายน่าเวทนายิ่งกว่าพวกแกอีก!”
ฟางจินหยวนเนื้อตัวสั่นเทา เนื่องจากความโกรธ “แกรู้ไหมว่าการที่แกทำแบบนี้ จะต้องส่งผลที่ไม่ดีตามมาให้แกมากแค่ไหน!”
“ผลที่ไม่ดี?” หญิงหน้ากากพยัคฆ์หัวเราะขึ้นมา “ผลที่ไม่ดีของฉันก็คือ เข่นฆ่าทั่วทุกสารทิศ! หม่างเทียนฆ่าพวกมันซะ ส่วนผู้นำตระกูลฟางเหลือไว้ให้ฉันเป็นคนสุดท้าย ฉันจะให้เขาได้เห็นกับตาตัวเอง ว่าความรู้สึกที่เจ็บปวดเหมือนดาบฟาดฟันมันเป็นยังไง!”
สิ้นเสียงคำพูดนี้ หญิงหน้ากากพยัคฆ์ก็ได้ เดิน‘รวดเร็ว’เข้าไปหาขวังซือ เพื่อให้ความสะดวกแก่ทั้งสี่คนที่อยู่ข้างหลังเท่านั้น
และในช่วงเวลานี้เอง ฟางจินหยวนก็ตะโกนขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด “ขวังซือ ถอยกลับมาปกป้องคนในตระกูลฟาง”
ขวังซือเงยหน้าร้องคำรามอย่างเกรี้ยวกราด พร้อมเคลื่อนย้ายร่างกายของตนเองอย่างไม่เต็มใจนัก มากำบังอยู่เบื้องหน้าคนทุกคนเอาไว้ ทุกคนถอนหายใจโล่งอกอีกครั้งหนึ่ง มีขวังซืออยู่ด้วย พวกเขาก็จะมีโอกาสรอดชีวิต
ชายฉกรรจ์ตระกูลฟางกำลังเสื่อมทรุดลงตั้งแต่นานแล้ว ไม่สามารถที่จะสู้รบได้อีก บาดแผลเจ็บหนักบนร่างกายมีไม่น้อย แม้แต่ฟางไห่เซิง และฟางไห่ถางสองพี่น้องเองก็เช่นกัน อีกไม่นาน ทุกคนแห่งตระกูลฟางก็จำต้องถูกสังหารจนราบคาบ
พวกเขากลัวหรือไม่?
กลัวจริงๆ
ไม่มีผู้ใดที่ไม่กลัวความตาย
โดยเฉพาะการสังหารหมู่ที่ไร้ซึ่งความลังเลใจ แม้แต่ผู้ร่ำเรียนวิชาการต่อสู้ก็ยังอกสั่นขวัญหายไม่น้อย ที่พวกเขากระทำกับคนในตระกูลฟางนั้นราวกับหั่นผักหั่นปลา สังหารอย่างเหี้ยมโหดตามใจชอบ
ครั้นขอเพียงแค่ขวังซือกลับมา พวกเขาก็มีความหวังที่จะมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นแล้ว
“ไห่อิง พันแผลให้คนเจ็บหน่อย ตัวเธอเองก็ต้องระวังด้วยนะ” ฟางจินหยวนเอ่ยขึ้นเสียงเบา
อันที่จริงไม่ต้องให้ฟางจินหยวนบอก ฟางไห่อิงก็ทำเช่นนั้นอยู่แล้ว
“เทพธิดา ทำยังไงดี? ขวังซือถอยกลับไปคุ้มกันแล้ว พวกเราสังหารหมู่ไม่ได้แล้วสิ”
“ทำยังไงงั้นเหรอ? ไร้น้ำยาจริงๆ ยังต้องให้ฉันบอกนายอีกว่าต้องทำยังไงงั้นเหรอ? นายกำลังสอนฉันอยู่?”
หม่างเทียนสีหน้าถอดสี จากนั้นก็เดินเข้าไปหาขวังซืออย่างเด็ดเดี่ยว โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เมื่อวาดมือออกมา ดาบที่อยู่ในมือก็หลายเป็นลูกธนูอันแหลมคมดอกหนึ่งลอยพุ่งเข้าใส่ขวังซือทันที
เขาทราบนิสัยของเทพธิดาดี จุดจบของการขัดคำสั่งเธอนั้นมีเพียงตายสถานเดียว หากต้องถูกเธอฆ่าตาย ไม่สู้ตายในสนามรบเสียยังจะดีกว่า!
เขาทราบดีว่าการโจมตีนี้ไร้ประโยชน์ ทว่าเป็นการแสดงออกจากใจจริง!
ชิ้ง!
ดาบที่อยู่ในมือกลายเป็นผงเหล็กทันที เหมือนเมื่อก่อน!
เขาพุ่งเข้าไปโดยไม่ลังเลอีกครั้ง อีกทั้งครานี้ เขาตัดสินใจแล้วว่าจำต้องตาย!
“ลงมือ!” หญิงหน้ากากพยัคฆ์เอ่ยขึ้นอีกครา
ทั้งห้าคนบุกเข้าไปโจมตีจากห้าทิศทาง ขวังซือคำรามขึ้นมากึกก้องทั่วท้องนภา ร่างกายสั่นสะเทือน จากนั้นก็เข้าไปหาหญิงหน้ากากพยัคฆ์อีกครั้ง ขวังซือที่กำลังเกรี้ยวกราดอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือวิธีลงมือ ล้วนเพิ่มระดับขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ ทุกหมัดที่โจมตีเข้าไปกระแทกเข้าเนื้อโดยตรง จำต้องระบายความเกรี้ยวกราดในใจออกมาให้ได้!
เหอะ!
ขวังซือคนเดียวจะรับมือกับการโจมตีแบบต่อเนื่องของคนห้าคนได้อย่างไร อีกทั้งทุกคราที่เขาหลบหลีก หญิงหน้ากากพยัคฆ์ก็จะสังหารคนของตระกูลฟางทิ้งหนึ่งคน
ฟางจินหยวนหลับตาลง ภายในใจเย็นชาไร้ความรู้สึกจนถึงขีดสุด เขาเอ่ยพึมพำขึ้นมาว่า “ตระกูลฟางจะจบสิ้นแล้วเหรอ!”
ไม่เพียงเขาฟางจินหยวน ผู้คนทั้งหมดในตระกูลฟางต่างก็ได้รับความหวาดผวาและความสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน ทุกคนต่างก็ทราบดีว่า ตระกูลฟางนั้นได้จบสิ้นโดยสิ้นเชิงแล้ว!
และในขณะที่ทั้งห้าคนกำลังเพิ่มกำลังโจมตีนั้น ทันใดนั้นเองประตูใหญ่ก็เปิดออก น้ำเสียงที่ตามมา ทำให้ทุกคนทั้งตระกูลฟางต่างต้องเนื้อตัวสั่นเทา ความสิ้นหวังบนใบหน้าสลายหายไปในทันใด สิ่งที่มาแทนที่ก็คือความตื่นเต้นและความประหลาดใจ ไม่เพียงแต่พวกเขา แม้แต่หญิงหน้ากากพยัคฆ์ก็ยังหยุดชะงักไป พร้อมจ้องมองชายหนุ่มที่เดินเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างอึ้งๆ
“ได้ยินมาว่า…แกจะทำให้ฉันตายอย่างน่าเวทนา?”