จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 651 เด็กน้อยที่พูดผิด
รอยยิ้มนั้น?
เดิมฟางเหยียนยิ้มเป็นด้วยหรือ? ฟางฟังตกอยู่ในภวังค์ของภาพลักษณ์อีกด้านหนึ่งของฟางเหยียนตลอด เธอตกตะลึงจนถึงขีดสุดจริงๆ ที่เธอเคยพบ เป็นผู้ที่เย็นชาไร้อารมณ์มาโดยตลอด ทั้งยังเป็นความเย็นชาที่ไม่เอาผู้ใดไว้ในสายตาเลย
นี่ยังใช่ฟางเหยียนอยู่หรือไม่?
แม้จะไม่ทราบว่าเหตุใดฟางเหยียนจึงไม่เป็นเหมือนเดิม ทว่าเธอเชื่อว่าลูกผู้พี่ก็ยังเป็นลูกผู้พี่ อยู่วันยังค่ำ
หลังจากที่พนักงานแคชเชียร์กลับมาด้วยสองมือเปล่า ในใจของเจิ้งชงก็ยิ่งโมโหเพิ่มขึ้น เขาเดาออกแล้วว่าเมื่อครู่ฟางเหยียนต้องการทำอะไรกับพนักงานแคชเชียร์ นั่นจำต้องเป็นการปล้นชิงตามไฟ ฉวยโอกาสชิงผลประโยชน์เมื่อผู้อื่นเดือดร้อนเป็นแน่ เอาเสื้อผ้าแบรนด์อาร์มานี่ มาเยอะเสียหน่อย ทว่าตอนนี้พนักงานแคชเชียร์ไม่ได้นำเสื้อผ้ากลับแต่อย่างใด แสดงถึงปัญหาอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเสื้อผ้าในสต๊อกไม่มีแล้ว!
ประหยัดเงินไปได้อีกแล้ว!
เยี่ยมไปเลย!
ความประจบสอพลอเข้ามาเยือน เจิ้งชงดีใจจนแทบจะสาบานเป็นพี่น้องกับฟางเหยียน ณ ตอนนั้นเลย อยู่ๆ เขาก็พบว่าไม่ได้เกลียดเจ้าหมอนี่ ฉลาดหลักแหลมยิ่งกว่าโจวซานอีก เข้าท่าเสียจริง แถมการยกยอผู้อื่นก็มีกลยุทธ์ โดยเฉพาะตอนนี้ที่เจ้าหมอนี่เริ่มมาคลอเคลียเขา ทั้งทำให้ฟางฟังทราบได้ว่าผู้ใดถึงจะเหมาะสมกับเธอ ทั้งยังแสดงถึงหน่วนก้านตนเองออกมาได้ด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวแท้ๆ
เมื่อเห็นพนักงานแคชเชียร์กลับมาแล้ว ฟางเหยียนก็ยังคงมีใบหน้าที่ ‘ประจบประแจง’ อยู่ดังเดิม เขาเอ่ยขึ้นถามด้วยสีหน้าร่าเริง “นายแน่ใจนะคะว่าจะจ่ายบิลทั้งหมดในร้าน?”
“น้องฟาง พูดคำนี้ก็ถือเป็นการตบหน้าพี่ไม่ใช่หรือไง? พวกเราก็แค่ผิดเองที่รู้จักกันช้าไป พี่ได้ที่นั่งแถวหน้ามาสองสามใบพอดีเลย จะได้มองใบหน้าอันงดงามของเวินหลานได้ใกล้ๆ หน่อย เดี๋ยวพี่พานายไป ว่ายังไง?”
“ถ้างั้นก็ต้องขอบคุณคุณชายเจิ้งมากๆ นะ” ฟางเหยียนดีใจมาก เขาดีใจมากจริงๆ เขาคิดว่า “ถ้าเจิ้งชงรู้ช่วงที่จะถูกกลั่นแกล้งจนหัวหมุน เขาจะร้องไห้จนเวียนหัวสลบในห้องน้ำเลยหรือเปล่า?”
ดีใจ วันนี้เจิ้งชงดีใจจริงๆ ยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ไม่เคยสบายใจเช่นนี้มาก่อน
ครั้นตามเสียงเท้าเดินอันเร่งรีบที่ดังมาจากด้านนอกร้านอาร์มานี่ ทำให้รอยยิ้มของเขาหยุดชะงักอยู่อย่างนั้นทันที ในใจของเขามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อเห็นรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของฟางเหยียน!
จากนั้นกลุ่มคนก็พุ่งเข้ามายังร้านอาร์มานี่ ราวกับม้าป่าถูกปลดพันธนาการ บริเวณที่ไปถึงราวกับเป็นลมพายุกวาดล้าง เสื้อผ้าบนเคาน์เตอร์แขวนเสื้อผ้าถูกแย่งชิงจนว่างเปล่า บรรยากาศรุนแรงจนถึงที่สุด
ส่วนฟางเหยียนเองก็ปกป้องฟางฟังเอาไว้ด้านหลังทันที ฟางฟังตระหนักรู้ขึ้นมาทันทีราวกับเพิ่งตื่นขึ้น
“พี่เหยียน พี่นี่เลวจริงๆ เลยนะ!”
“สำหรับคนแบบนี้ ไม่คุ้มที่จะไปเห็นใจ!”
สิ้นเสียงฟางเหยียน ร่างกายกำยำก็พุ่งขึ้นมาบนเคาน์เตอร์แคชเชียร์ ไม่รู้ว่าไปเอาไมค์มาจากไหนกำไว้ในมือ เมื่อเขาเปล่งเสียง ผู้คนที่นั่นก็พลุ่งพล่านขึ้นมา อีกทั้งตัวเจิ้งชงเองก็สีหน้าถอดสีทันควัน ทั้งใบหน้าเขียวปั๊ด ราวกับยักษ์เขียวอย่างไรอย่างนั้น ร่างกายสั่นเทาราวกับเขย่าตะแกรง เดือดดาลขึ้นมา
“ทุกคนไม่ต้องรีบร้อนไป เข้ามาทีละคน ร้านตลอดสายนี้สามารถแย่งซื้อได้ตามใจชอบ คุณชายเจิ้งของเรามีเงิน วัตถุประสงค์ของเราก็คือแบ่งเบาความกลัดกลุ้มที่คุณชายเจิ้งมีเงินมากมายเท่านั้น เพราะฉะนั้นทุกคนแสดงเต็มที่เลยเถอะนะ สู้ๆ ทุกคน อ้อ จริงสิ จำเอาไว้ด้วยนะว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในวันนี้คุณชายเจิ้งจะเป็นคนจ่ายทั้งหมด!”
ร้านค้าตลอดสาย!
ทั้งสายนี้อย่างน้อยก็มี 20 กว่าร้าน…
เหล่านี้เป็นร้านที่ราคาแพงฟุ่มเฟือยทั้งนั้นเลย! ไม่ใช่ร้านขายข้างทาง!
นี่มันอะไรกัน!
เจิ้งชงโมโหจนตาร้อนผ่าว รู้สึกเพียงว่าภายในหัวขาดออกซิเจน มีเสียงดังครืนครืนทั่วทั้งหัว คนที่พุ่งเข้ามาในร้านอาร์นี่อย่างน้อยมีจำนวนประมาณสิบกว่าคนได้ ทั้งหมดต่างก็กวาดเอาชุดไปไม่เหลือสักชุด เพียงร้านเดียวก็สามารถทำให้เขากระอักเลือดได้ อีกทั้งที่ทำให้เขาใจสลายยิ่งกว่าเดิมก็คือ สถานการณ์เดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ร้านอื่น!
เอื้อ…
เจิ้งชงรู้สึกภายในลำคอเดือดพล่าน คลื่นร้อนๆ กระจายออกมาลำคอ!
กระอักเลือด!
โมโหจนกระอักเลือด!
“คุณชายเจิ้งๆ ไม่เป็นอะไรใช่ไหม…”
“ฟางเหยียน ฉันไม่ขออยู่ร่วมโลกเดียวกันกับแก!” เจิ้งชงตะโกนด้วยน้ำเสียงดุดันเสร็จแล้ว ทันใดนั้นก็เลือดพุ่งเดือดดาลขึ้น โมโหจนสลบไสลไปในทันที
ฟางเหยียนที่เบียดเสียดผู้คนออกมาจากร้านอาร์มานี่ รอยยิ้มบนใบหน้าอยู่ๆ ก็หายไป กลายมาเป็นความเย็นชาดั่งเช่นเมื่อก่อนอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันนี้ ทำให้ฟางฟังปรับตัวไม่ได้เล็กน้อย ท่าทางที่เขายิ้มขึ้นมาดูดีมากจริงๆ ทว่าเหตุใดจึงต้องทำท่าทางเย็นชาเช่นนี้ตลอดด้วย?
“พี่เหยียน ทักษะการแสดงนี้ของพี่สุดยอดเกินไปแล้ว รางวัลออสการ์ต้องให้ตุ๊กตาทองพี่แล้ว ว่าแต่ ที่พี่ทำแบบนี้มันโหดร้ายเกินไป เสียหายเกินไปหรือเปล่า พี่ไม่เพียงแต่เทคนิคเก่งกาจ แถมยังเก่งทุกด้านด้วย ใครจะกล้ามาเป็นศัตรูกับพี่ได้ เกรงว่าคงต้องนอนไม่หลับทั้งค่ำคืนเป็นแน่ คุณชายเจิ้งโมโหจนหน้ามืดแล้ว ถ้าไม่มีพันล้านเกรงว่าคงออกจากประตูใหญ่ของศูนย์การค้านานาชาติหวนไท่ไปไม่ได้แน่นอน จะว่าไปแล้ว ฉันก็ต้องขอบคุณพี่ด้วย”
“ไม่เป็นไร คนแบบนี้ไม่สมควรที่จะได้รับการเห็นใจ” คำพูดของฟางเหยียนสกัดความต้องการที่จะเอ่ยของฟางฟังไปทันที
“ถ้างั้น พี่หิวแล้วสินะ พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ ฉันรู้จักร้านอาหารจีนร้านหนึ่งไม่เลวเลย โดยเฉพาะปลาย่างร้านเขา ฝีมือการทำสุดยอดมาก พี่น่าจะเคยกินใช่ไหม ชื่อว่า แซบจี๊ด ปลาเผา”
ฟางเหยียนพยักหน้าเบาๆ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินเคียงข้างกัน ทิ้งไว้เพียงเจิ้งชงที่สับสนงงงวยเอาไว้ รวมถึง ‘ผู้ปล้นสะดม’ ที่พลุ่งพล่านด้วย
ทั้งสองทานข้าวเสร็จ ก็เร่งไปที่มหาวิทยาลัยทันที
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ ทั้งเมืองเงียบสงัดต้อนรับค่ำคืนที่เป็นของมัน ถนนหนทางมีแสงไฟส่องสว่าง ผู้คนเดินขวักไขว่ แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรือง
ณ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตเจียงตู
ครั้งนี้ฟางเหยียนไม่ได้เลือกที่จะนั่งรถเก๋งธงแดง นั่นเป็นเพราะฟางฟังขอร้องมา เนื่องจากไม่อยากจะเป็นที่สนใจเกินไป แล้วส่งผลให้มีปัญหาตามมา
รถบัสคันใหญ่ขับมุ่งไปยังมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตทั้งสองคนลงจากรถ เดินเคียงข้างกันเข้าไปในรั้วมหาวิทยาลัย
ต่อให้จะเป็นมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตยามค่ำคืน ทว่าผู้คนที่เดินผ่านไปมานั้นมากมายไม่ขาดสาย แต่ละคนเต็มไปด้วยพลังที่มีชีวิตชีวาของช่วงวัยรุ่น แสดงถึงจิตวิญญาณความเป็นวัยรุ่นอันรุ่งโรจน์
“พี่เหยียน…” ฟางฟังราวกับคิดอันใดออก เธออ้าปากขึ้นมา แต่สุดท้ายกลับระงับเอาไว้ ทำได้แค่เพียงมองนู้นนี่นั่นโดยไม่ตั้งใจไป ทว่าสายตาคู่นั้นกลับไม่ละไปจากฟางเหยียนเลย
ฟางเหยียนจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าฟางฟังต้องการเอ่ยอันใด ยัยเด็กผู้หญิงคนนี้แม้จะมองดูไม่แยแส ไม่สนใจอันใด ทว่าสำหรับเรื่องครอบครัว เธอค่อนข้างที่จะให้ความสำคัญเช่นเคย โดยเฉพาะตลอดทางที่มานี้เธอก็โน้มน้าวฟางเหยียนราวกับไม่ตั้งใจ หมายจะให้เขาล้มเลิกความเคียดแค้นต่อตระกูลฟาง กลับสู่ตระกูลฟางเสีย
ทว่าตอนนี้เขายังปล่อยวางความแค้นไม่ได้ หากวางความเคียดแค้นลงก็เท่ากับไม่เคารพพ่อแม่ของตัวเอง ทำให้พ่อแม่ที่เสียชีวิตไปแล้วต้องอับอาย
“เธออยากจะบอกว่าให้พี่เปลี่ยนอคติที่มีต่อตระกูลฟาง?”
ฟางฟัง อืม อย่างว่านอนสอนง่าย “พี่เหยียน คุณปู่รู้ตัวว่าผิดไปแล้ว พี่จะ…”
“ไม่ได้!” ฟางเหยียนเอ่ยปฏิเสธไปอย่างหนักแน่น “ฟางฟัง เรื่องบางเรื่องพี่เหยียนไม่อยากให้เธอลำบากใจ และยิ่งไม่อยากให้เธอต้องมาแบกรับภาระอะไรสักอย่าง ไม่รู้ว่าเธอเคยได้ยินคำพูดนี้หรือเปล่า หากยังไม่เคยผ่านความลำบากเหมือนผู้อื่น ก็อย่าตัดสินใจแทนเขา”
หากยังไม่เคยผ่านความลำบากเหมือนผู้อื่น ก็อย่าตัดสินใจแทนเขา!
คำพูดนี้ทำให้คำพูดที่เตรียมมานานของฟางฟังต้องหยุดชะงักไปทันที
ใช่แล้ว!
ยังไม่เคยเข้าไปในขั้นขอบเขตที่เจ็บปวดทรมานจนแทบขาดใจมาก่อน แล้วจะลืมอดีตไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร? ในขณะที่คุณใช้ชีวิตอย่างเต็มที่โดยไร้ซึ่งความกังวลใดๆ ในขณะที่คุณถูกเด็กคนอื่นๆ รังแก ในขณะที่คุณตกอยู่ในความสุขที่พ่อแม่สร้างมาให้ ฟางเหยียนแอบเสียใจอยู่ในมุมไหนกันแน่นะ? ไม่มีผู้ใดทราบว่าฟางเหยียนที่สูญเสียพ่อแม่ไปในหลายปีมานี้ เขาผ่านพ้นมาได้อย่างไร
ฟางฟังทราบดีว่า เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะโน้มน้าวฟางเหยียน สิ่งที่เขาเคยผ่านมา เธอไม่เคยประสบมาก่อน ไม่บรรลุถึงขั้นปล่อยวางบาดแผลลงได้อย่างสบายๆ
“ถ้างั้นก็เอาเหอะ พี่เหยียน พวกเราไปกันเถอะ” ฟางฟังกักเก็บความไม่สบายใจก่อนหน้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม เอ่ยว่า “พี่เหยียน อยู่ที่ซอยหลินยินได้ความรู้สึกเหมือนกลับมาอยู่ในช่วงเวลามหาลัยไหม…”
ฟางฟังยังพูดไม่จบ ทันใดนั้นก็ชะงักไป รอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้า รู้สึกทำตัวไม่ถูกอย่างหนัก ตามที่เธอทราบมา ดูเหมือนว่าลูกผู้พี่จะไม่เคยได้เรียนมหาวิทยาลัยเลย เช่นนี้มันทำลายศักดิ์ศรีของเขาเกินไปแล้วหรือไม่? สายตาของฟางเหยียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่สะทกสะท้านอันใด เมื่อเห็นถึงตรงนี้ เธอก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยอันใดแล้ว ก้มหน้าลงราวกับเด็กน้อยที่กระทำผิด
ไร้ซึ่งบทสนทนาตลอดทาง