จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 652 เวินหลานที่ทำให้ทั้งห้องโถงต้องตกตะลึง
ผ่านไปชั่วครู่ ทั้งสองก็มายังห้องโถงใหญ่ของมหาวิทยาลัย!
ห้องโถงใหญ่ปกติแล้วจะจัดกิจกรรมหมู่ อย่างเช่น การแสดงละครพูด การเต้น และการร้อง รวมถึงงานเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาใหม่
ภายในห้องโถงใหญ่มีความกว้างขวางมาก ใหญ่ราวๆ กับสนามบาสสามสนาม โปสเตอร์โฆษณาของเวินหลานสามารถมองเห็นได้ทั่วไป บนโปสเตอร์นั้น เธอแลสุภาพเรียบร้อย อ่อนโยนน่าตรึงใจ เพียงบนโปสเตอร์ก็ทำให้คนใจสั่นได้ แทงทะลุเข้าไปในใจของคุณ
ทั้งห้องโถงมีผู้คนมากมาย เนื่องจากต้องควบคุมจำนวนของคน ที่นี่เลยมีระเบียบมาก นอกจากความคึกคักที่ไม่ธรรมดาแล้ว ก็มีเพียงป้ายไฟเรืองแสงและแท่งไฟเรืองแสงหลากสีสันที่อยู่เต็มพื้นที่
แสงไฟ เวที รวมถึงพิธีกรต่างก็มาพร้อมแล้ว ล้วนกำลังรอคอยการมาถึงของเวินหลาน
“พี่เหยียน ฉันขอยุ่งเรื่องชาวบ้านหน่อย เวินหลานใช่เทพธิดาสำหรับผู้ชายอย่างพวกพี่หรือเปล่า?”
ฟางเหยียนมองสำรวจห้องโถงใหญ่สีหน้านิ่งเรียบ และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เป็นผู้หญิงที่เจ้าปัญหามากๆ ”
ฟางฟังอึ้งไป เป็นผู้หญิงที่เจ้าปัญหา? หรือว่าพวกเขายังรู้จักกันด้วย?
ในขณะที่เธอคิดจะล้วงลึกขึ้นกว่าเดิมนั้น เจิ้งชงและคนอื่นๆ ก็เดินมาอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของทั้งห้าคนมาพร้อมความเย็นยะเยือกอันน่ากลัว ท่าทางราวกับมีคนติดเงินพวกเขาล้านกว่าอย่างไรอย่างนั้น
“ฟางฟัง ฉันนึกว่าเธอยังไม่เข้ามาซะอีก” ไม่พูดไม่ได้ว่า เจิ้งชงเพื่อที่จะเรียกคะแนนต่อหน้าฟางฟัง ต่อให้บัดนี้จะเกรี้ยวกราดจนกู่ไม่กลับ ทว่าเมื่ออยู่เบื้องหน้าเธอก็ยังคงหนักเอาเบาสู้เช่นเคย ราวกับเป็นอาวุธคนที่ไร้อารมณ์อย่างไรอย่างนั้น
“เข้ามาตั้งนานแล้ว” ฟางฟังเอ่ยขึ้นมา พร้อมเอนอิงไปยังฟางเหยียนตามสันชาตญาณ “พี่เหยียน ได้ยินมาว่าตอนที่เวินหลานเพิ่งจะเข้ามาจินโจวใหม่ๆ มีเรื่องน่าเอือมระอาขึ้นเยอะมากเลย พี่รู้ไหม?”
เมื่อถูกเพิกเฉย ปฏิบัติด้วยอย่างแตกต่างเช่นนี้ เมื่อนึกถึงฟางเหยียน เขาก็เคียดแค้นจนเข็ดฟัน
เมื่อได้ยินเรื่องของเวินหลานตอนอยู่ที่จินโจว เจิ้งชงก็นึกหัวข้อสนทนาหนึ่งออกทันที “ฟางฟัง นี่เธอกำลังทำให้เขาลำบากใจอยู่ไม่ใช่หรือไง? เขาที่เป็นผู้ชายไร้น้ำยาชอบคุยโวโอ้อวดให้คนอิจฉาแบบเขา จะรู้เรื่องที่เป็นความลับเหล่านี้ได้ยังไง?”
ฟางฟังกำลังที่จะโมโหตอกกลับ แต่กลับพบว่าตนเองถูกมือใหญ่ๆ รั้งไว้ ฟางเหยียนพยักหน้าเบาๆ
“ดูสิ บอกแล้วไงว่าเขาไม่รู้ใช่ไหมล่ะ รู้แต่คุยโวโอ้อวดให้คนอิจฉา มีมือมีเท้าไปทำอะไรอย่างอื่นไม่ดีกว่าเหรอ? ไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาซะบ้าง ว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน ยังอยากจะหัวสูงมองพระจันทร์จริงๆ น่ะเหรอ? แกสมควรได้รับมันเหรอ?”
“นั่นน่ะสิ เห็นแก่กับที่มีการปกป้องจากฟางฟัง ก็เลยหยิ่งผยอง?” โจวซานก็ช่วยเสริมทับ
“จริงๆ เลย ใช้ขนไก่มาทำลูกศร เกาะผู้หญิงจนถึงขั้นนี้เลยเหรอ ช่างเป็นคนพิลึกจริงๆ “
“ฉันจะบอกอะไรนายให้นะฟางเหยียน ตอนนี้นายทำอะไรตามใจได้ แต่อีกหน่อยแกก็อย่าคิดที่จะเกาะแกะฟางฟังไม่แล้วไม่เลิกสักที เพราะว่าอีกเดี๋ยวคุณชายเจิ้งนัดเวินหลาน เอาแกมาด้วยนี่ช่างขายขี้หน้าจริงๆ เลย!
“ไม่รู้จักประเมินค่าตัวเองหรือยังไง? มีคนไม่เหมาะสมกับนาย ก็อย่าเกาะแกะไม่เลิกแบบนี้ เข้าใจไหม?”
สี่คนข้างหลังเจิ้งชง เอ่ยสบถโมโหขึ้นผลัดกัน น้ำลายกระเด็นเต็มอากาศ เจิ้งชงจ้องฟางเหยียนด้วยความไม่สบอารมณ์ อย่าพูดถึงว่าตอนนี้รู้สึกฮึกเหิมมากเพียงใด
ฟางฟังใบหน้าผุดความโกรธเคืองขึ้นมา ตะคอกด้วยความโมโหว่า “เจิ้งชง นายหมายความว่ายังไงกันแน่!”
“ฟางฟัง ฉันไม่ได้หมายความว่ายังไงนะ คนเราน่ะนะ เมื่อไม่มีศักดิ์ศรีแล้ว ก็เหมือนแมลงวันที่น่ารำคาญ จะไล่ยังไงก็ไล่ไม่ไป แน่นอนว่าฉันไม่รังเกียจถ้าจะมีแมลงวัน แต่ฉันกลัวก็แต่เวินหลานจะรังเกียจ ที่พวกเขาพูดไม่มีผิด ฉันไม่สนว่าต้องจ่ายเงินราคาสูง เพื่อที่จะคว้าโอกาสในการร่วมรับประทานอาหารเย็นกับเวินหลานให้ได้ แน่นอนว่า ทุกอย่างนี้ก็เป็นเพราะเธอ ฉันรู้ว่าเธอชอบเวินหลานมาก เพราะงั้นฉันไม่หวังว่าเมื่อตอนที่เขาปรากฏตัวออกมา จะไปทำให้เวินหวานไม่พอใจจนทำให้ปฏิบัติกับพวกเราทุกคนไม่ดี”
“เธอคิดดูนะพวกเนรคุณที่ไม่รู้จักบุญคุณคนอื่น เธอจะไปปกป้องเขาแบบนี้ก็ไม่สมควรหรอกนะ ถ้าเป็นเพราะเขาจริงๆ ที่ทำให้เธอและดาราที่เธอชอบที่สุดต้องมาผิดใจกัน แบบนั้นจะจัดการยังไง เธอว่าถูกต้องไหม?
“ไก่บ้าน ต่อให้จะคลุมหนังหงส์ สุดท้ายก็ยังเป็นไก่บ้านอยู่วันยังค่ำ ไม่ใช่หงส์!”
เห็นได้อย่างชัดเจน ว่าคำพูดสุดท้ายของเจิ้งชงนั้นชี้เฉพาะมายังฟางเหยียน
หลังฟังจบ ฟางฟังก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ เจิ้งชงช่างไม่รู้จักเกรงกลัวเสียจริง คิดไม่ถึงว่าจะกล้าพูดดูถูกต่อหน้าฟางเหยียนเช่นนี้ หรือว่าเขาไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของฟางเหยียนจริงๆ ?
เคยเห็นคนที่วอนตาย แต่ไม่เคยเห็นคนที่วอนตายแบบนี้มาก่อน!
แต่ฟางเหยียนในเวลานี้กำลังนั่งหลับตาบำรุงจิตอยู่บนเก้าอี้ ราวกับเรื่องทุกอย่างไม่เกี่ยวกับเขาอย่างไรอย่างนั้น
และเป็นเพราะอย่างนี้ จึงทำให้เจิ้งชงได้โอกาสอีกครั้ง “ฟางฟัง ฉันจะขอเอาคำพูดตัวเองที่พูดผิดกลับคืน เจ้าหมอนี่ก็ดูรักศักดิ์ศรีมากเลย ถ้ารู้แบบนี้จะทำอย่างนั้นตั้งแต่แรกทำไม? ตอนนี้รู้จักว่าตัวเองด้อยค่าแล้ว? ก็จริง เวินหลานที่เป็นถึงเทพธิดา อย่าว่าแต่นายที่เป็นคนแบบนี้เลย แม้แต่ผู้หญิงคนอื่นได้เห็นเข้าก็ยังต้องรู้สึกต่ำต้อย แต่นอนว่า ฟางฟังยกเว้นเธอนะ เธอคือเทพธิดาในใจของฉันตลอดไป ผลักเวินหลานออกไปไกลเลย”
สีหน้าของฟางฟังย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ทว่าเจิ้งชงกลับไม่สังเกตเห็นว่า มันกลายมาเป็นดุดันยิ่งขึ้น เจิ้งชงพูดเหน็บแนมฟางเหยียนต่อว่า “เจ้าหนู นายไม่รู้จักคำว่า รู้จักเจียมตัวหรือไง? ต้องให้ฉันพูดชื่อเหรอ? ฉันจงใจที่จะไว้หน้านายโดยเฉพาะ อย่าไม่รับไว้สิ เข้าใจไหม? ถ้าฉันเป็นนาย ฉันคงไม่มีแม้แต่หน้าอยู่ตรงนี้!”
ฟางเหยียนยังคงนิ่งเงียบไม่พูดจา ฟางฟังใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง!
เจ้าหมอนี่คิดอยากตายจริงๆ น่ะหรือ?
เจิ้งชงอารมณ์ดียิ่ง มีความรู้สึกสะใจขึ้นมาทันที เขาทำให้ฟางเหยียนจนปัญญาที่จะตอบกลับ เขาไม่พูดจาอะไรเลย แสดงถึงอย่างหนึ่งว่า นั่นก็คือฟางเหยียนเกรงกลัวเข้าแล้ว กลัวก็ถือว่าแล้วกันไปแล้วเช่นนั้นหรือ? เมื่อถูกเขากระทำมาเช่นนั้น เจิ้งชงจะกลืนความโกรธเคืองนี้ลงได้อย่างไร?
เขาจงใจที่จะกระตุ้นให้ฟางเหยียนโกรธ ขอเพียงแค่ฟางเหยียนลงมือก่อนเนื่องจากความโมโห เช่นนั้นเขาก็จะดูไม่ดีต่อหน้าฟางฟังเป็นอย่างมาก ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดที่ชอบพวกใช้กำลัง! ทว่าผลสุดท้ายก็คือเจ้าหมอนี่ไม่ตกหลุมพราง!
ทว่าพูดจนสะใจแล้ว เขาสาบานว่าจะไม่ยอมปล่อยฟางเหยียนไปง่ายดายเช่นนี้เป็นแน่
ขณะที่เขากำลังจะตำหนิฟางเหยียนนั้น ไฟในห้องโถงใหญ่ก็ดับลงทันที และในช่วงเวลานี้ ทำให้แสงไฟทั้งหมดในห้องโถงใหญ่นี้หายไปชั่วพริบตา สุดท้ายมาจับอยู่บนเวทีใหญ่ แสงไฟสีสันหลากหลายกลายเป็นสีแดงทั้งหมด ฉายไปยังตรงกลางของเวทีของห้องโถงใหญ่ แสงไฟสีแดงสาดส่องอยู่บนเวที ราวกับพระอาทิตย์สีแดง
ผู้คนทั้งหมดต่างก็ต้องตกตะลึง เสียงซุบซิบดังขึ้นกระฉ่อน
บนเวทีนั้น มีกลีบดอกไม้ร่วงหล่นมาเรื่อยๆ ระบำไปพร้อมกับแสงไฟ และหล่นลงสู่พื้น
ทั้งห้องโถงใหญ่เต็มไปด้วยเสียงร้องกรี๊ด แทบจะเป็นแฟนคลับผู้หญิงที่คลั่งไคล้กันหมด น้ำเสียงสูงและใส เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ตลอดทั้งห้องโถงมีเสียงกรี๊ดไม่ขายสาย บรรยากาศก็คึกคักขึ้นมาตามแฟนคลับผู้บ้าคลั่ง
โรงแมนติก!
สวย!
ผู้ที่เข้ามาอยู่ในห้องโถงใหญ่เกือบจะเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยนี้ทั้งหมด ไม่เคยเห็นฉากที่โรแมนติกเช่นนี้มาก่อน
มีนักศึกษาชายที่ฉลาดไม่น้อยคน ทราบแล้วว่าถึงเวลาสารภาพรักแล้ว!
ความโรแมนติกยังคงดำเนินต่อไป การสารภาพรักก็เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้ ทั้งห้องโถงใหญ่มีฉากอันน่าตกตะลึงที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเกิดขึ้น
เสียงกรี๊ดดังขึ้นเรื่อยๆ ต่างก็กำลังร้องเรียกชื่อของเวินหลานซ้ำไปซ้ำมา
“เวินหลาน…”
“เวินหลาน…”
ภายใต้การรอคอยของผู้คนนับหมื่น อยู่ๆ ไฟที่รวมกันก็ดับลง แสงไฟสีขาวอันอ่อนโยนสาดส่องมาบนเวที ทั้งห้องโถงมีเสียงร้องกรี๊ดขึ้นอีกครั้ง ทว่าเสียงนี้ยังไม่ทันได้ดังต่อเนื่องนานเท่าไร ทั้งห้องโถงก็เดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง!
เนื่องจากทุกคนเห็นฉากที่ทำให้พวกเขาต้องตกตะลึงจนตาค้าง
ภายใต้แสงไฟสีขาวนั้น เวินหลานออกมาแล้ว
เธอสวมกระโปรงยาวสีขาวปนสีฟ้าน้ำทะเล พลิ้วไหวสยาย ราวกับความสดใสมีชีวิตชีวาเข้าปกคลุมจิตใจของทุกคนทันที คำพรรณนาทุกคำก็ไม่เท่าคำว่า สวยดุจ! นางฟ้า!
เรียกเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ คำ เธอเดินอย่างเชื่องช้าออกมาโอบผีผาและปิดบังใบหน้าเอาไว้
เธอราวกับไม่ใช่ผู้หญิงบนโลกนี้ แต่คล้ายกับผู้หญิงที่บำเพ็ญเพียร การปรากฏตัวของเธอทำให้ชายหลายคนต้องคลั่งไคล้ไปตามๆ กัน ผู้หญิงไม่น้อยคนที่เริ่มละอายใจ ความงามของเธอ ทำให้คนต้องตกตะลึง โดยเฉพาะกระโปรงยาวสีขาวปนสีฟ้าน้ำทะเล ราวกับออกมาจากภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น!
ความงดงามทำให้ทั้งห้องโถงต้องตกตะลึง เสียกรี๊ดดังขึ้นต่อเนื่องไม่ขาดสาย เสียงอันดังกึกก้องราวกับต้องการจะทำให้ทั้งห้องโถงใหญ่ต้องพังทลายลง
แม้แต่ฟางเหยียนที่สงบนิ่งก็ยังต้องตกตะลึง ไม่พูดไม่ได้ว่า เวินหลานในคืนนี้สมกับที่เป็นตัวเอกของงานจริงๆ ทั้งโรแมนติก ทั้งสวยงาม มีเสน่ห์แห่งผู้หญิงตะวันออกพึงมี