จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 692 เฉลียวฉลาด
“เฒ่าสารพัดพิษ!” เต๋ายอดเซียนกล่าวอย่างเซ็ง
“ไม่ ถ้าพูดว่าเฒ่าสารพัดพิษก็ต้องเป็นท่านพี่เต๋า แต่ข้าก็แค่ไม่อยากเข้าไปร่วมความชั่วร้าย แบบนั้นมันเหนื่อยไป ถึงตอนนั้นทำเอาไม่เป็นผู้เป็นคนอึดอัดใจมาก มนุษย์ล้วนรู้กันว่าวิชาพลังอภิปรัชญาเป็นเจ้าโลก เพียงแต่พวกมันคิดสั้นๆ ไม่รู้ระดับด้านนอกของนินจา หลังจากปรมาจารย์แล้วยังมีระดับยอดดาวเหนือ แต่หลังจากระดับยอดดาวเหนือล่ะ? ยังมีระดับอื่นอีกมั้ย?”
พูดถึงจุดนี้ จางตุนเทียนดื่มเหล้ากรึบเดียวหมด มองเต๋ายอดเซียนจากนั้นกล่าวว่า “ในนามห้าสำนักใหญ่ได้ถูกพังไปแล้วสองสำนัก เหลือสำนักฉิวหลงสำนักกุ่ยกู๋อีกทั้งแก๊งเก้ามังกร ข้าว่าพวกเขาน่าจะร้อนใจกว่าข้าเสียอีก เพลิงเสวนปรากฏกาย ใต้กล้าจะวุ่นวายเป็นสิ่งที่กำหนดไว้แล้ว แต่ข้าก็แค่ปลีกตัวออกมา ไขว่คว้าศิลปะการต่อสู้ที่สูงกว่า อย่างนี้ผิดเหรอ? ”
สิ่งที่นินจาหลีกเลี่ยงมากที่สุดคือทุกอย่างบีบไว้ ตัดความปรารถนาแบบคนทั่วไปออกก็เกินไป ไม่มีใครสามารถปลงได้
“ผ่านไปร้อยปาก ท่านยังคงปากดีเช่นเคย” เต๋ายอดเซียนส่ายหน้า “เจ้าจาง ท่านคิดว่าท่านจะคำนึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองได้มั้ย?เพลิงเสวนไม่ได้ง่ายแบบนั้นอย่างที่คุณคิดนะ มันนิ่งสงบมาสองพันกว่าปี เกรงว่าพื้นเพและฝีมือไม่เป็นรองใครเลยล่ะ”
“แน่นอน ท่านอยากไขว่คว้าพัฒนาศิลปะการต่อสู้ หรือท่านยังไม่เห็นเหตุการณ์เบื้องหน้าชัดเจนอีกเหรอ?ปรมาจารย์ที่รู้จักกันดีของประเทศหวามีด้วยกันสี่คน ระดับยอดดาวเหนือไม่มีใครเคยได้ยิน แน่นอน ท่านคิดว่าข้าคือระดับยอดดาวเหนือ ข้าแค่อยากบอกท่าน ว่าวิธีฝึกฝนของพวกเรากับนินจาทางธรรมไม่เหมือนกัน พูดง่ายๆ หกคำ สวยแต่รูปจูบไม่หอม”
จุดนี้จางตุนเทียนก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เขารู้ดีมาก ว่านินจาอีกทั้งผู้บำเพ็ญตนที่ระดับยอดดาวเหนือเหมือนกัน ระดับยอดดาวเหนือของนินจาจะเก่งกว่าขึ้นมาหน่อย ผู้บำเพ็ญตนจะให้ความสำคัญกับพลังในการขับเคลื่อน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ แต่นินจาฝึกร่างกายฝีมือขึ้นมาอย่างแท้จริง ในระดับเดียวกัน แข็งแกร่งมาก
“จะว่าไป พี่เต๋า ท่านคิดว่าจอมพลเป็นอย่างไร?งัดกับเพลิงเสวนองค์กรที่มีมากว่าหลายพันปีได้หรือไม่?”
“จอมพลท่านนี้บุ๋นบู๊ครบครันทั้งสอง อำนาจยิ่งใหญ่ เป็นยอดฝีมือที่เก็บตัว ส่วนจะเก่งขนาดไหน ข้าไม่กล้าเดา ข้าพูดได้แค่นี้ ตอนนั้นเขาป่วยมาที่ภูเขาทิพย์เพื่อหาความลับที่จะเปิดหินทิพย์ ภายใต้การบีบของข้า ไม่จำนนต่อใคร ส่วนเพลิงเสวนองค์กร ไม่มั่นใจ มันซ่อนตัวเป็นนิจ เชี่ยวชาญตลบหลังที่สุด”
“แม้ข้าจะยังไม่เคยรู้ความซ่อนเร้นที่แท้จริงของเพลิงเสวน แต่เมื่อสองร้อยปีก่อนข้าโชคดีได้เจอกับถังจู่ท่านหนึ่งของเพลิงเสวน ถังจู่คนนี้ฝีมือแข็งแกร่งมาก ตอนนั้นอยู่ได้เหนือระดับต้าชี่ใกล้จะเป็นระดับปรมาจารย์ เพียงแต่ตอนนี้บางทีอาจจะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก สำหรับพวกเขาคนแปลกๆประเภทนั้น มีชีวิตมากไปอีกเป็นร้อยสองร้อยปีไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
จางตุนเทียนหมดคำพูด สองร้อยปีก่อนถังจู่คนหนึ่งใกล้จะเป็นระดับปรมาจารย์ แล้วสองร้อยปีต่อมาฝีมือจะเป็นยังไงกันแน่ เกรงว่าไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะคาดเดาได้ ตอนนี้เขาโชคดีมาก ได้ใช้กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ ให้ภายในของสำนักเทียนซือไปถึงฝั่ง ไม่งั้นสิ่งที่รอเขาอยู่จะเป็นการล้างแค้นบ้าคลั่งของเพลิงเสวน
เหตุผลง่ายมาก การกระทำทุกอย่างของเพลิงเสวนได้เบนออกจากวัตถุประสงค์เดิมไป ได้กลายเป็นองค์กรอำมหิตที่น่าเกลียดชังสุดๆไปแล้ว ขอให้เป็นคนหรือสำนักที่มีจิตใจดีงามอยู่บ้างล้วนไม่อยากเป็นสุนัขรับใช้ของเพลิงเสวน และยิ่งไม่อยากเสื่อมเสียชื่อเสียง แน่นอน นอกจากสำนักไร้หน้า ที่พวกเขาลุ่มหลงโลภในอำนาจมากไป ดังนั้นจึงถูกทำลายล้าง
และสำนักเทียนซือถูกทำลายในนาม แต่มองจากอีกมุม สำนักเทียนซือถอนตัวออกจากเกมได้สำเร็จ สามารถมองดูการเปลี่ยนแปลงของใต้หล้า โดยไม่สนใจได้ แม้นี่จะผิดมนุษย์มนาทั่วไป แต่เพลิงเสวนไม่ใช่สิ่งที่สำนักเทียนซือจะผิดใจด้วยได้ รักษาชีวิตไว้ยังมีโอกาสเติบโต ตอนที่ต้องออกแรง สำนักเทียนซือไม่รีรอแน่นอน
และจางตุนเทียนไม่ใช่คนหัวโบราณ กลับกันเขายังเป็นคนที่มีความชอบธรรมคนหนึ่ง ถึงตอนนี้ ไม่ข้องเกี่ยวจะเป็นการดีที่สุด โดยเฉพาะตอนที่ยังไม่รู้เจตนา เขาตัดสินใจไม่ยุ่งเกี่ยว มาภูเขาทิพย์เลี่ยงปัญหา นี่ก็คือเหตุผลที่เขามาที่นี่
“พี่เต๋า เรื่องราวอยู่เหนือการควบคุมของเรา และท่านก็เลือกที่จะไม่สนใจ?”
เต๋ายอดเซียนหัวเราะเหอะๆ “เจ้าจางนะเจ้าจาง นึกไม่ถึงว่าท่านตาแก่จะหลอกถามข้า?ข้าอยู่ภูเขาทิพย์มานานกว่าสองร้อยปี ไม่เคยเห็นอะไรบ้าง?ท่านคิดว่าข้ากลัวเพลิงเสวน?”
จางตุนเทียนส่งสายตาเข้าใจให้เต๋ายอดเซียน “เอาจริงๆ ข้าค่อนข้างรอเทพแห่งสงครามนี้ของเรานะ ข้าอยากรู้จริงๆว่าเขาจะจัดการสัตว์ประหลาดเพลิงเสวนลึกลับนี่ที่ซ่อนในมุมมืดได้อย่างไร”
“พอล่ะ คนอื่นไม่เกลียดท่าน ท่านก็มีความสุขไปเถอะ ยังคิดจะชิงผลประโยชน์เมื่อคนอื่นเพลี่ยงพล้ำอีกเหรอ?ท่านไม่เพียงเจ้าเล่ห์ ยังชั่วร้ายอีก ไม่รู้จริงๆว่าสำนักเทียนซือฝึกฝนคนที่ไม่ชัดเจนแบบท่านอย่างนี้โดยเฉพาะหรือเปล่านะ?”
“ฮ่าๆๆ……” จางตุนเทียนหัวเราะเสียงดัง แว็บเดียว เหล้าหนึ่งไหตกถึงท้อง กล่าวจากใจว่า “เหล้าดี!”
“ท่านดื่มน้อยๆหน่อย เหล้านี้บ่มยาก ไม่รู้ต้องเสียเวลาและกำลังของข้าไปเท่าไหร่จึงจะได้……” เต๋ายอดเซียนตระหนักได้ว่าตัวเองพูดผิดแล้ว ทันใดนั้นก็เอา‘ไห’คำนี้ถอนคำพูดไป รีบเปลี่ยนคำพูดว่า “ได้เหล้าที่รสชาติดีมา ท่านดื่มน้อยๆหน่อย”
จางตุนเทียนสบตาไม่พูดไม่จา จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา พุ่งไปที่เต๋ายอดเซียนโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “เหล้าดีจะไม่ขาดความน่าสนใจได้อย่างไร มาประลองกันหน่อย!”
“ท่านนักพรตเก่งกาจ ท่านคิดว่าข้ากลัวท่านเหรอ?มา!”
ทันใดนั้น พายุพัดมา ทั้งสองประลองกัน
……
หนานหลิง บ้านพักที่ใกล้น้ำและภูเขา
ฟางเหยียนกลับมายังบ้านพักก่อนหน้านี้ นอกจากรีสอร์ทหยูฉวนแล้ว เป็นที่ที่เขาโปรดปราน แน่นอน ที่นี่ไม่สามารถฟื้นฟูร่างกายของเขาได้ แต่กลับทำให้จิตใจของเขาบริสุทธิ์ได้
ปัญหามากมาย ต่างไม่เป็นดังใจหวัง จิตใจสงบจึงจะทบทวนตัวเอง แล้วได้รู้ถึงข้อเสียของตัวเอง
อาจารย์ของฟางเหยียนเคยพูดประโยคที่มีเหตุผลมาประโยคหนึ่ง ก็คือแดนประเสริฐหลังจาก‘จิตใจสามดวง’ ‘จิตใจสามดวง’ที่ว่ามีสภาพจิตใจ จิตใจสงบ สิ้นสุดของใจ เมื่อไม่มีปัญหาจิตใจไม่ว่างเปล่า มีปัญหาไม่วุ่นวาย เรื่องใหญ่ไม่กลัว เมื่อเจอเรื่องเล็กก็จะจัดการได้ท่วงที
ฟางเหยียนอดไม่ได้ที่จะถามใจตัวเอง ช่วงนี้เคว้งคว้างเกินไป จนค่อยๆสูญเสียสาระสำคัญไป และสาระสำคัญคือการทบทวนตัวเอง ไขว่คว้าฟื้นฟูร่างกายอย่างเดียว จนสูญเสียความเข้าใจต่อจิตใจ เพิ่มความวิตกกังวลกับผลเสียขึ้นมา สูญเสียความนิ่งสงบไป
เมื่อกลับมาที่บ้านพักนี่อีกครั้ง ให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดินต่อฟางเหยียน แน่นอน จักรพรรดิชิงตี้ผู้น่ารำคาญไม่รู้อยู่หนใด ไร้ซึ่งความวุ่นวาย
นั่งลงที่สะพานไม้อีกครั้ง ฟังเสียงลำธารที่ไหลผ่าน เขามีความรู้สึกจิตใจผ่องแผ้วอย่างหนึ่ง
เทียนขุยอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ ไม่พูดไม่จา ไม่กล้ารบกวนเขา และก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว ฟางเหยียนปล่อยลมหายใจเบาสบายออกมา ค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ เทียนขุยเสิร์ฟชาให้ ฟางเหยียนดื่มไปหนึ่งอึกแล้ววางลง
“เทียนขุย ช่วงนี้ได้อะไรมาบ้าง”
เทียนขุยชะงักเขาคิดว่าจอมพลโผ้จวินลืมแล้ว หลังจากที่กลับมาจากรีสอร์ทหยูฉวน ก็นั่งนิ่งมาโดยตลอด ราวกับพระแก่ชันษาเข้าฌาน จนลืมทานข้าว ถึงตอนนี้จู่ๆก็ถามขึ้นมา ทำเอาเทียนขุยตั้งสติไม่ทัน
“จอมพลโผ้จวินครับ จากการพบปะกับเสี่ยวหงช่วงนี้……” เดิมทีเทียนขุยกล่าวอย่างจริงจัง แต่จู่ๆเมื่อพูดถึงเสี่ยวหง สีหน้าเขาเปลี่ยนไป ใช่ ผู้หญิงที่รักมากตายด้วยน้ำมือของตัวเอง ความทรมานแบบนี้ใครจะเข้าใจ?ที่ว่าไม่รักนั่นหลอกลวงทั้งนั้น
คนที่บอกเลิกอย่างไร้ยางอาย มักจะเจ็บปวดที่สุด และก็ตัดขาดไม่ได้ที่สุด และเทียนขุยก็เป็นเช่นนั้น เขาโกรธ เขาไม่เต็มใจ เขาแค้น หลายๆอารมณ์รวมเข้าด้วยกัน
มีคนพูดไว้ การลืมความแค้นที่ดีที่สุดคือการล้างแค้น ชีวิตของเสี่ยวหง เขานับเป็นความแค้นต่อเพลิงเสวน แค้นนี้ต้องชำระ!