จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 706 นิ่งไว้
ฟางเหยียนไม่ได้บอกชัดเจน แต่มองไปยังเขาด้านหลังกระท่อม แล้วพูดนิ่งๆ ว่า “ไปกันเถอะ พวกเราควรขึ้นเข้านั้นได้แล้ว ขอเพียงพวกเราขึ้นเขานั้นไป พวกเราก็รู้แล้ว”
“แต่ แต่ว่าปู่จางยังไม่กลับมาเลยนะ” หลินถงก็อยากขึ้นเขา แต่ว่าปู่จางที่ไปช่วยพวกเขาตามหาเรื่องบันไดหินยังไม่กลับมา เธอจะไปตอนนี้ไม่ได้
“ถ้าผมเดาไม่ผิดล่ะก็ เลือดนี้น่าจะเป็นของปู่จาง!”
“อะไรนะ!” หลินถงเปลี่ยนสีหน้า แล้วก็เอามือปิดปากตัวเอง พร้อมกับหันไปมองในกระท่อม แล้วก็หันมาถามว่า “คุณแน่ใจนะ?”
“ไปกันเถอะ จะหาคำตอบยังต้องอาศัยมัน” พูดไป ฟางเหยียนก็ชี้ไปยังเจ้าแดงที่กำลังเลียขนตัวเองอยู่
หลังจากทั้งสองคนจากไป ไม่ทันไร ก็มีกลุ่มคนเข้ามาบริเวณกระท่อม
สองคนกับหมาหนึ่งตัว เดินไปด้วยลอยเท้าหนักและเบาเข้าไปในป่าลึก ส่วนหลินถงก็กอดแขนฟางเหยียนไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว ในใจของเธอนั้น หนึ่งคนกับหมาหนึ่งตัวเป็นชีวิตที่เธอหวังอยากจะมี เธอหวังว่าจะหาน้ำไร้หน้าให้เจอโดยเร็ว จากนั้นก็ทำตามที่ใจตนเองวางแผนไว้แล้วให้เป็นจริง
ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยู่คนเดียวไปทั้งชีวิต เธอต้องการความอบอุ่นเพื่ออิงอาศัย
“ฟางเหยียน พอหาน้ำไร้หน้าเจอ พวกเราก็เลี้ยงหมาสักตัว ดีไหม? ตอนที่คุณไม่อยู่กับฉัน ฉันจะได้ไม่เหงา”
ฟางเหยียนมีสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน สีหน้าที่หางตาก็แสดงอารมณ์ออกมาแล้วนิ่งไปทันที หลินถงคงจะไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของฟางเหยียน เขาก็ไม่ใช่คนที่ไร้หัวใจ ต้องรู้อยู่แล้วว่าสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง การอยู่ด้วยนั้นเป็นการรับปากที่ดีที่สุด และเขาก็เข้าใจความหมายที่หลินถงพูดออกมา แต่ไม่อาจจะสนองความต้องการของเธอได้
“ฟางเหยียน คุณชอบหมาหรือว่าแมว?” หลินถงออดอ้อนเหมือนเด็กผู้หญิง แล้วก็ถามเองตอบเองว่า “คุณไม่น่าจะชอบแมวนะ คงจะชอบหมาที่ดุๆ มากกว่านะ นิสัยของคุณไม่เหมาะกับการเลี้ยงแมว งั้นเลี้ยงหมาพันธุ์ทิเบตันดีไหม? ตัวใหญ่น่าเกรงขามดี ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่อง ก็เหมือนกับคุณไง ฮ่าๆๆ …..”
“โฮ่งๆๆ ……”
เจ้าแดงก็เห่าใส่ทิศทางหนึ่งขึ้นมา ไม่นาน ก็วิ่งไปทางนั้น
ฟางเหยียนก็พูดนิ่งๆ ว่า “ตามไป”
“ห้ะ อ๋อได้” หลินถงอึ้งเล็กน้อย แล้วมองไปร่างกายที่แข็งแรงของฟางเหยียน พร้อมกับบ่นออกมาว่า “เป็นคนแปลกจริงๆ คุณรู้ภาษาสัตว์หรือไง?”
บ่นก็ส่วนบ่น แต่หลินถงก็รีบตามไปติดๆ
ผ่านป่าทึบ ทั้งสองกับหมาหนึ่งตัวก็วิ่งฝ่าเข้าไปในป่าทึบอย่างรวดเร็ว ไม่กี่นาที เจ้าแดงก็หยุดลง แล้วก็เดินหมุนรอบต้นสนที่ใหญ่สองคนโอบ แต่ไม่นาน มันก็นอนฟุบลงพื้น ทำท่าจะนอนหลับ!
ความผิดปกติของเจ้าแดง ทำให้ทั้งสองคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปมาก แล้วก็รีบสังเกตรอบด้านทันที แต่รอบด้านก็ยังปกติ ในป่าตอนเช้า ยังมีน้ำค้างจากเมื่อคืนหลงเหลืออยู่ ตอนที่แสงสาดส่องมา น้ำค้างพวกนั้นก็เหมือนกับน้ำตาของผู้หญิงที่เลิกกับแฟน
หลินถงก็เรียกชื่อของเจ้าแดงออกมา แต่เจ้าแดงเหมือนจะไม่ได้ยิน ก้มหัวลงไปอย่างเดียว
ไม่ได้การแล้ว!
หลินถงหยีตาลง แล้วพูดต่อไปว่า “ฟางเหยียน ฉัน ฉันง่วงจังเลย!”
สิ่งผิดปกติ!
แต่มันคืออะไรนั้น ฟางเหยียนยังไม่รู้ ตอนที่หลินถงจะสลบไปนั้น เขาก็หยิบเข็มเงินออกมา พอปักเข็มเข้าไป หลินถงก็ตื่นขึ้นมาเหมือนกับเพิ่งตื่นนอน มัวขี้ตาลืมตาขึ้นมา แล้วถามว่า “ฉัน ฉันเป็นอะไรไป?”
ฟางเหยียนไม่พูดอะไร แล้วก็มองไปรอบๆ โดยใช้ต้นสนต้นนี้เป็นจุดศูนย์กลาง สามเมตรโดยรอบไม่มีอะไรขยับเลย บนพื้นดินก็ล้วนมีแต่ลูกสนและผลไม้อื่นๆ จุดนี้มันผิดปกติมาก คนที่มีความรู้รอบตัวก็จะรู้ได้ ว่าในป่านั้น สัตว์ปีกหรือสัตว์เล็กทั้งหลายก็จะหยุดพักหรือไม่ก็ต้องล่าหาอาหาร แต่ว่าที่นี่ไม่มีร่องรอยของสัตว์อาศัยอยู่เลย นี่มันน่าแปลกมาก
ระบบการได้กลิ่นของหมามันดีกว่าคน เจ้าแดงหยุดอยู่ที่นี่ คงจะพบอะไรเข้า ดังนั้นเลยหลับอยู่ใต้ต้นไม้นี้
ฟางเหยียนก็สงสัยเหมือนกันว่าตนเองคาดเดาผิดไปหรือเปล่า แต่ว่าเขาเชื่อเจ้าแดง และเชื่อในการคาดเดาของตนเอง หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ฟางเหยียนก็เริ่มสำรวจรอบๆ ทันที พอสำรวจดูก็ทำให้เขาพบกับสิ่งผิดปกติขึ้นมาจริงๆ
ในอากาศเหมือนจะมีกลิ่นหอมฉุนๆ ผสมอยู่ด้วย!
กลิ่นหอมนี้ไม่ใช้ไม้กฤษณา และไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมที่ผู้หญิงชอบใช้ กลิ่นหอมนี้เหมือนสกัดออกมาจากต้นไม้ คล้ายกับกลิ่นการบูร แต่ว่ากลิ่นแบบนี้มันอ่อนมาก รับรู้ได้ยาก
“หลินถง กลั้นหายใจ”
อยู่ดีๆ ฟางเหยียนก็พูดขึ้นมา ทำเอาหลินถงตกใจ แต่เธอก็ทำตาม เธอบีบจมูกตัวเองแล้วถามว่า “ฟางเหยียน คุณเจออะไร?”
ฟางเหยียนก็ยังนิ่งไม่พูด จุดสนใจของเขาไปอยู่บนพวกดอกไม้ต้นหญ้ารอบๆ พอมองไปรอบๆ กลับไม่มีดอกไม้ที่มีสรรพคุณกล่อมประสาทเลย คิ้วก็ขมวดแน่น มันไม่ใช่กลิ่นธรรมชาติแน่ ต้องมีคนทำขึ้นมา ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่า ทำไมรอบๆ ต้นสนห่างออกไปสามเมตร จึงไม่มีร่องรอยสัตว์ดำรงชีวิตอยู่เลย
ทุกอย่างมันเกิดจากกลิ่นหอมที่ซ่อนอยู่ในอากาศนี้
สำหรับการวิเคราะห์กลิ่นนี้นั้น ฟางเหยียนมีสิทธิ์อธิบายได้ดีที่สุด อยู่ในกองทัพมานาน นอกจากพวกที่จ้องจะเข้ามารุกรานประเทศหวาแล้ว ศัตรูที่ใหญ่ที่สุดก็คืออันตรายในป่าที่ไม่รู้มาก่อน เช่นแก๊สพิษ สัตว์ป่า เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างกัน ก็จะสร้างความบังเอิญขึ้นมา และอาจจะมีผลต่อความปลอดภัยในชีวิตคนได้
กองทัพที่รักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดน เนื่องจากตำแหน่งของสภาพภูมิประเทศ มีเขตติดต่อกับป่าดึกดำบรรพ์มาก และสำนักเจ็ดพิฆาตก็ได้สร้างวิชา “การเดินทัพ:ความรู้เบ็ดเตล็ดในป่าไม้” ขึ้นมา ล้วนเป็นวิธีการเอาตัวรอดในป่าที่คนสมัยก่อนใช้ชีวิตของตนเองไปสัมผัสมาจริงๆ หนึ่งในนั้นได้กล่าวถึงการวิเคราะห์เรื่องกลิ่นในป่า ถือว่าเป็นหนังสือที่มหัศจรรย์มากในกองทัพ
“หอมมากเลย!” หลินถงกลั่นหายใจจนหน้าเรียวๆ ของเธอแดงไปหมด ตอนที่หายใจออกนั้น ก็ได้สูดเข้าไปด้วย แล้วพูดออกมา
“หลินถง อย่าเพิ่งพูดอะไร กลั้นหายใจไว้ ผม……..”
ฟางเหยียนพูดถึงตรงนี้ แล้วก็หยุดไป เพราะเขาพบว่าตนเองติดกับดักแล้ว ในหัวก็มึนงง หลินถงก็ฟุบลงพื้น!
หลังจากทั้งสองคนล้มลง ก็มีเงาคนเข้ามาใกล้พวกเขา
ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านไปนานเท่าไร อยู่ดีๆ ฟางเหยียนก็ตื่นขึ้นมา แล้วพบว่าตนเองถูกมัดมือมัดเท้าไว้ ส่วนหลินถงก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เขาพบว่าตนเองมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย สิ่งที่ตามองเห็น ล้วนเป็นสิ่งก่อสร้างที่ทำขึ้นจากไม้ ที่นี่ล้วนมีแต่กลิ่นเหมือนกับในป่าเลย
ตอนที่กำลังมองดูรอบๆ นั้น ด้านนอกห้องก็มีเสียงแก่ๆ เย็นๆ ส่งเข้ามา
“ตื่นแล้วหรือ?”
ฟางเหยียนลุกขึ้นมานั่ง สายตาก็เป็นประกาย แล้วพูดออกไปทีละคำว่า “คุณก็คือตาแก่จางสินะ!”
“ฮ่าๆๆๆ ……” ด้านนอกห้องมีเสียงหัวเราะส่งเข้ามา “จริงด้วย เอ็งคือคนฉลาดที่สุดเท่าที่ปู่เคยเจอมา ไม่นานก็สามารถเดาตัวตนของปู่ได้แล้ว”
พอสิ้นเสียง ประตูก็ถูกเปิดออก แล้วเผยใบหน้าแก่ๆ นั้น
“เอ็งฉลาดมาก แต่เอ็งทำไมต้องแกล้งโง่ด้วยล่ะ? ปู่บอกเอ็งแล้ว ว่าให้เอ็งรีบออกไป แต่เอ็งไม่เพียงไม่ออกไป ยังจะคิดขึ้นเขามาอีก? เขานี้เอ็งคิดจะเข้ามาง่ายๆ หรือไง?”
ฟางเหยียนก็ยิ้มแบบสนุก “ถ้าผมเดาไม่ผิดล่ะก็ ทุกอย่างนี้คงจะเป็นเพราะคุณทำขึ้นมาสินะ และคุณก็คือคนที่เอาบันไดหินนั้นไป และก็คือคุณเองที่ตั้งใจให้เมียคุณพูดเรื่องนี้ออกมา ส่วนเหตุผลน่ะหรือ ไม่บอกก็รู้ คุณอยากจะลองทดสอบตัวของพวกเรา!”
นิ่งไว้!
ถูกคนอื่นควบคุม แต่ก็ยังนิ่งได้แบบนี้ ก็ทำให้ตาแก่จางต้องมองเขาในแบบใหม่ ความนิ่งที่ฟางเหยียนเผยออกมา ราวกับเขาไม่ใช่คนที่ถูกจับตัวไว้ แต่เป็นตาแก่จางที่ต้องยอมให้คนอื่นตัดสิน