จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 707 วาสนาร้าย
ตาแก่จางก็พยายามเก็บอาการตกใจ เขาพยายามทำให้ตนเองมีสีหน้าเหมือนเดิม แล้วพูดเบาๆ ว่า “ไม่เลว เอ็งเดาถูกต้อง รวมทั้งเจ้าแดงนั่นด้วย ทุกอย่างกูเป็นคนจัดการเอง”
“เรื่องบันไดหินเป็นเพียงแค่การทดสอบพวกเราเท่านั้น ส่วนเหตุผลที่คุณมาจับตัวผมไว้ตอนนี้ มันเพียงพอที่จะบอกได้แล้ว ว่าคุณเป็นคนของสำนักไร้หน้า เพียงแค่ไม่มีคนรู้ตัวตนที่แท้จริงของคุณเท่านั้นเอง!”
ตาแก่จางก็อึ้งไปอีกครั้ง สีหน้าที่นิ่งๆ เริ่มเผยอาการออกมา แต่ไม่นานก็เก็บกลับไปอีกครั้ง “เอ็งนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ เลยนะ ตัวตนของเอ็งยิ่งทำให้ปู่สงสัยมากขึ้น”
“หลินถงล่ะ?” ฟางเหยียนไม่อยากจะพูดกับเขามาก ในเมื่อเดาตัวตนของเขาออกมาถูกต้องแล้ว เขาก็ไม่กังวล ที่เอ่ยถึงหลิน ก็เพื่อจะเบี่ยงเบนความสนใจของตาแก่จางเท่านั้น
“ตอนนี้ยัยหนูนั่นสบายดี” ตาแก่จางติดกับดักแล้ว
ฟางเหยียนยิ้มที่มุมปาก เชื่อที่มัดเขาอยู่ถูกเขาแก้ออกอย่างเงียบๆ แต่เขายังแกล้งทำท่าว่าถูกมัดอยู่ แล้วก็ถามไปอีกว่า “คุณอยากรู้ตัวตนที่แท้จริงของผมจริงๆ หรือ? หรือว่า คุณไม่อยากรู้หรือว่าในสำนักไร้หน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เอ็งเองหรือ!”
“ถูกต้องแล้ว แต่ว่าผมไม่มีรางวัลอะไรให้หรอกนะ!” เสียงของฟางเหยียนเยือกเย็นลงเรื่อยๆ สายตาจ้องมองไปยังตาแก่จาง “บอกผมมา ว่าหลินถงเป็นพวกเดียวกับคุณหรือเปล่า!”
“ไม่ เธอไม่ได้เป็นพวกใครทั้งนั้น”
ฟางเหยียนก็เชื่อตาแก่จาง ว่ากันว่า ถ้าอยากจะตรวจดูว่าคนคนหนึ่งโกหกหรือไม่ แค่มองตาของเขาก็รู้แล้ว และสายตาที่ตาแก่จางส่งออกมานั้น ไม่มีความกังวลใดๆ เลย พอที่จะบอกได้ว่าเข้าไม่ได้โกหก
พอมั่นใจแล้วว่าหลินถงไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ฟางเหยียนก็เริ่มสนใจกับสิ่งที่ตาแก่จางกำลังทำอยู่มาก พอรู้ว่าตัวตนของฟางเหยียนแล้ว เขายังอยากจะแก้แค้นให้กับสำนักไร้หน้าไหมนะ?
“ฟางเหยียน ทำไมเอ็งไม่ฟังคำของปู่ ทำไมไม่พาหนูซวงกลับออกไปเร็วๆ? จะให้ปู่ลงมือให้ได้เลยใช่ไหม?” ตาแก่จางตะโกนพูด อย่างมีความโกรธลึกๆ !
ทีนี้ ก็ยิ่งทำให้ฟางเหยียนไม่เข้าใจ
ตาแก่คนนี้ไม่แก้แค้น แล้วทำเรื่องทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไรกัน?
ฟางเหยียนยังคงครุ่นคิด แต่ตาแก่จางกลับเป็นกังวล หลังจากถอนหายใจออกมายาวๆ ก็หันหลังจากไป
ด้านนอกห้องมีเสียงถอนหายใจของตาแก่จางดังเข้ามา “วาสนาร้ายจริงๆ เลย……..”
เดิมทีฟางเหยียนกำลังจะลงมือไป แต่ก็หยุดมือไว้ก่อน พอแอบย่องมาที่หน้าต่าง ก็เห็นว่าหลินถงถูกจับมัดไว้ที่เก้าอี้ด้านนอก ในปากถูกอะไรยัดไว้ ใบหน้าเรียวๆ ของเธอเต็มไปด้วยอาการตกใจ เห็นได้ชัดว่าเธอเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน ว่าปู่จางที่สนิมกันเหมือนญาติแท้ๆ จะลงมือกับเธอได้
ตาแก่จางดึงผ้าที่ยัดปากของหลินถงไว้ออกมา “หนูซวง ฟางเหยียนคือคนที่กวาดล้างคนของสำนักไร้หน้าใช่ไหม?”
ใบหน้าเรียวๆ ของหลินถงก็ตกใจ แล้วก็รีบถามว่า “ปู่จาง ปู่เป็นอะไรไปคะ? จับพวกเรามาทำไมกัน? แล้วฟางเหยียนล่ะคะ? ปู่เอาเขาไปไว้ที่ไหน?”
“หนูซวง ดูเหมือนว่าตอนนี้หนูจะออกจากสำนักไร้หน้าอย่างสิ้นเชิงแล้วสินะ ปู่ดีใจด้วยนะ แต่ปู่ไม่เข้าใจ หนูออกไปแล้ว ยังจะกลับมาทำไมอีก? หนูไม่รู้หรือไงว่าที่นี่มันอันตรายมาก?”
พูดถึงจุดนี้ ตาแก่จางก็สะอื้นไห้เสียงต่ำออกมา
หลินถงก็ยิ่งไม่เข้าใจ แล้วพูดอย่างสงสัยว่า “ปู่จาง เป็นอะไรไปคะ?”
ตาแก่จางมองหลินถง แล้วก็พูดอย่างทำอะไรไม่ได้ว่า “เรื่องนี้ต้องเล่าตั้งแต่ตอนที่สำนักไร้หน้าถูกกวาดล้าง สำนักไร้หน้าประสบภัย จนต้องกลายเป็นขี้ข้าคนอื่น จริงๆ ตายก็ไม่มีอะไรน่าเสียดาย แต่กลางดึกคืนหนึ่ง มีคนลึกลับคนหนึ่งมาหาปู่เจอ แล้วก็พูดตัวตนของปู่มาอย่างชัดเจน แล้วยังให้ปู่จัดการเรื่องหนึ่ง เรื่องนั้นหนูน่าจะเดาออกแล้วนะ ก็คือคอยป้องกันคนไม่ให้เข้าไปในสำนักไร้หน้า”
“บอกตามตรง ปู่ไม่ได้อยากจะหลอกหนูหรอก ก่อนหน้าที่พวกหนูจะมา มีคนมาที่นี่มากมาย และถูกปู่ฆ่าตายหมดแล้ว แต่ฟางเหยียนเป็นคนที่ปู่รู้สึกแตกต่าง เขามีแรงกดดันส่งมาถึงตัวปู่ ตอนที่เผชิญหน้ากัน ก็เหมือนกับมีภูเขาใหญ่ตรงหน้า แรงกดดันทวีคูณ แต่พอนึกถึงคำที่คนลึกลับคนนั้นบอกไว้ ปู่ก็ต้องทำตาม อันดับที่ปู่ต้องตรวจดูตัวตนของหมอนั่น ก็เลยตั้งใจให้ย่าหนูพูดเรื่องศพนั้นออกมา แต่ไม่ใช่เรื่องบันไดหิน”
หลินถงฟังแล้วก็อึ้งไป อ้าปากค้างมองตาแก่จางเล่าต่อไป
ส่วนตาแก่จางก็จุดบุหรี่ดูดเอง แล้วก็สูดเข้าปอดไป จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “ศพนั้นจะต้องเป็นศพของเจ้าสำนักอู๋หมิงแน่ แต่ย่าของหนูเธอแกล้งพูดให้เป็นคำว่าบันไดหิน ก็เพื่อที่จะทำให้พวกหนูเข้าใจผิด แต่พวกหนูก็ยังสนใจเรื่องบันไดหินนี้เสียอีก ต่อให้เราสองผัวเมียจะชอบหนูมาก แต่ปู่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะปู่อยากมีชีวิตอยู่”
พอสิ้นเสียง ตาแก่จางก็รู้สึกว่าคอเย็นๆ สีหน้าตกใจ แม้แต่หลินถงเองก็อ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก
“ฟาง ฟางเหยียน อย่าฆ่าปู่จากได้ไหม” หลินถงขอร้องต่อเขา
“เอ็งไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ” ตาแก่จางไม่ได้ร้องขอชีวิต แล้วก็พูดไปเบาๆ ว่า “สำนักไร้หน้ามีวันนี้ ก็สมควรแล้ว”
ฟางเหยียนไม่ได้ตอบ แล้วก็ถามเบาๆ ว่า “ผมถามแค่ครั้งเดียว คนลึกลับคนนั้นคือใคร?”
พอรู้สึกว่าเย็นๆ ที่ลำคอ ตาแก่จางก็ตัวสั่น แต่เขากลับส่ายหัวเบาๆ แล้วพูดนิ่งๆ ว่า “คนลึกลับคนนั้น ปู่ไม่รู้จัก แต่ว่าในมือของเขามีมีดอยู่เล่มหนึ่ง เป็นมีดที่มีรอบสนิมเหมือนกับมีดทำอาหาร”
หลินถงก็พูดอย่างตกใจ “ฟางเหยียน มีดของคุณ?”
ถูกต้อง!
มีดในมือของฟางเหยียน ก็คือมีดที่ตอนนั้นมีตาแก่ตาบอดบังคับให้เขาซื้อ และหลังจากที่เขาเอามีดนั้นไว้ มีดนั้นก็หายไป แต่หลังจากนั้น ฟางเหยียนรู้ว่าตาแก่ตาบอดมาจากสำนักกุ่ยกู๋ และเป็นเจ้าค้างมีด
อาการตกใจของหลินถงก็ดึงดูดให้ตาแก่จางสนใจ เขาไม่สนใจความเย็นที่ส่งมายังลำคอ เขาก้มหัวมองดู แล้วทั้งตัวก็เหมือนถูกฟ้าผ่า พูดอย่างตกใจว่า “มีด มีดเล่มนี้เอ็งได้มาจากไหน!”
“ฮ่าๆๆๆ ……”
อยู่ดีๆ ตาแก่จางก็หัวเราะขึ้นมา ตื่นเต้นจนหายใจแทบไม่ทัน จนไอออกมาแรงๆ “หนูซวงไม่ต้องตายแล้วล่ะ พวกเขาเป็นพวกเดียวกัน ฟ้ามีตาจริงๆ ฟ้ามีตา นี่ไม่ใช่วาสนาร้าย ไม่ใช่วาสนาร้อย”
ฟางเหยียนสามารถมั่นใจได้ว่าตาแก่จางไม่ได้คิดร้าย แล้วก็เก็บมีดที่พาดลำคอของเขากลับไป หลังจากแก้มัดให้หลินถงแล้ว ก็จ้องมองตาแก่จาง พร้อมพูดเสียงต่ำว่า “คนที่ให้คุณคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ คือคนลึกลับที่ถือมีดอย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง ฝีมือของเขาไม่ธรรมดา มีพลังมากมายเหลือคณา โดยเฉพาะมีดขึ้นสนิมที่อยู่ในมือเขา ทำให้เขาเก่งมาก มีสนิมนั้นก็ตัดเหล็กขาดง่ายๆ เหมือนตัดโคลน แข็งแกร่งมาก ไม่มีใครอยากจะเป็นวิญญาณที่ตายจากมีดเล่มนั้น ส่วนปู่เองก็เหมือนกัน ก็เลยตอบตกลงเขาไป ว่าจะเฝ้าอยู่ที่นี่ จะไม่ให้ใครเข้ามารบกวน!”
คำพูดของตาแก่จางมีความน่าเชื่อถือมาก หลังจากเปิดใจกันแล้ว เขาก็ไม่ได้คิดจะหลอกลงทั้งสองคนนี้อีก
ไม่แค่ฟางเหยียนที่อึ้งไป แม้แต่หลินถงก็เหมือนกัน
คนของสำนักกุ่ยกู๋มีอยู่ทั่วทุกที่จริงๆ ตั้งแต่ที่สำนักไร้หน้าถูกกวาดล้าง พวกนั้นก็เริ่มทำงาน ตั้งใจไม่ให้คนมาที่นี่ ต่อให้ต้องเปิดเผยตัวตนของตนเอง ก็จะปกป้องป่าผืนนี้ไว้
เพียงแต่ฟางเหยียนกับหลินถงไม่รู้ ว่าเจ้าตค้างมีดทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
“ปู่จางคะ นอกจากเรื่องนี้ ไอ้คนนั้นยังได้บอกอะไรอีกไหม?” หลินถงเข้าไปถาม เธออยากรู้ว่าที่ปู่จางพูดว่า วาสนาร้าย ก่อนหน้านี้คืออะไร แล้วก็ถามอย่างสงสัยว่า “แล้วก็ ที่ปู่พูดว่า วาสนาร้าย มันคืออะไรกันคะ?”