จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 735 แอบอ้างเจ้านายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน
“พ่อ ทำไมต้องไปประจบประแจงเอาใจซ่งหยิงด้วยล่ะ? ตอนนี้ซ่งอู่ฮุยก็จัดการเรียบร้อยแล้ว พวกเราไม่จำเป็นต้องยกยอปอปั้นแล้ว สำนักฉิวหลงตอนนี้เรียกได้ว่าพวกเรามีอำนาจมากที่สุด! คำโบราณที่ว่า แอบอ้างเจ้านายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน! ใช้ไม่ได้กับพวกเราแล้ว! ซ่งอู่ฮุยสองพ่อลูกในตอนนี้ถูกล่ามโซ่อยู่ในคุก ไม่นานก็คงตายคาคุก พวกเราไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวอีกแล้ว”
“เทียนเอ๋อร์ จำไว้ให้ดีนะ สิ่งที่น่ากลัวสุดสำหรับคนเราคือความใจร้อน ประสบความสำเร็จนิดเดียวก็ดีอกดีใจ แอบอ้างเจ้านายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน อย่างซ่งหยิงเนี่ยนะคู่ควร? เดี๋ยวก็ทำตามแผนได้แล้ว พ่อจะบอกแกไว้อีกอย่างนะ ก่อนจะกลายเป็นเจ้าคนนายคนก็ต้องเริ่มจากการเป็นลูกน้องก่อน เดี๋ยวซ่งหยิงก็จะกลายเป็นหุ่นเชิดของพวกเราแล้ว และพวกเราต่างหากที่จะเป็นผู้นำของสำนักฉิวหลง และหัวเราะเป็นคนสุดท้าย จริงสิ เรื่องฆ่าปิดปากคนเฝ้าประตู แกต้องหาคนที่ไว้ใจได้นะ เข้าใจไหม?”
“วางใจเถอะครับ พ่อ ผมจะให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้ รับรองว่าจะไม่ให้เหลือร่องรอยใด ๆ อีกอย่างนะ ตอนนี้สำนักฉิวหลงอยู่ใต้อำนาจพวกเราแล้ว ใครจะต่อต้านพวกเรา? จริงสิ พ่อ เสี่ยวหยู่ที่เป็นสาวรับใช้นั่นตกลงจะกำจัดไหม?”
“ตอนนี้ยังไม่ต้องก่อน พวกเราต้องการแค่ซ่งหยิง ยึดอำนาจของหล่อน โดยมีฉันเป็นคนจัดการแทน ต่อให้เสี่ยวหยู่นั่นพูดความจริงออกมาแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ?” เบ้าตาที่ดูลึกของหลินชื่อมองไปยังด้านนอก แล้วพูดเสียงต่ำว่า : “เทียนเอ๋อร์ ความรุ่งโรจน์ของพวกเรากำลังจะมาถึงแล้ว!”
“พ่อ ตอนนี้รู้สึกว่าการที่ซ่งอู่ฮุยกลายมาเป็นศัตรูของพ่อ นี่มันแกว่งเท้าหาเสี้ยนชัด ๆ ความคิดเล็ก ๆ ของมัน อยู่ในสายตาพ่อทั้งหมด ตอนนี้เป็นไงล่ะ คิดว่าตัวเองเป็นคนฉลาดแต่กลับตกเป็นเหยื่อคนที่ฉลาดกว่า ยังคิดจะใช้คนเฝ้าประตูมาพลิกสถานการณ์? ไม่รู้เลยว่าอยู่ในแผนการของพ่อทั้งหมด สะใจ สะใจจริง ๆ!”
“เทียนเอ๋อร์ แกเริ่มใจร้อนอีกแล้วนะ? ระหว่างที่เรื่องยังไม่แน่นอน ควรถ่อมตัวเอาไว้จะดีที่สุด เข้าใจไหม?”
“พ่อ ตอนนี้ไม่มีคนนอก แค่เทคนิคเล็กน้อยก็จัดการตัวปัญหาใหญ่ไปได้ ไม่มีค่าพอให้พวกเราดีใจหรือไง? คนเฝ้าประตูอาจคิดไม่ถึงว่า แค่คนธรรมดาไม่เป็นที่สนใจคนหนึ่ง จะล้มรองเจ้าสำนักลงได้!”
“ไอดีใจมันก็คุ้มค่าที่จะดีใจอยู่หรอก” หลินชื่อครุ่นคิดแล้วพูดต่อว่า : “ตอนนี้พวกเรามีสามเรื่องที่จำเป็นต้องทำ หนึ่ง คือกักบริเวณซ่งหยิง ยึดอำนาจมันมา เรื่องนี้ฉันจัดการเอง สอง รักษาอำนาจที่ได้เพิ่มมาให้มีเสถียรภาพ ควบคุมสำนักฉิวหลงให้อยู่ในกำมือพวกเราอย่างเบ็ดเสร็จ เรื่องนี้ฉันก็จะทำเองด้วย ส่วนเรื่องที่สาม จำเป็นต้องให้แกไปทำ นั่นคือฆ่าปิดปากคนเฝ้าประตู เพราะมีเพียงคนตายเท่านั้นที่จะรักษาความลับไว้ได้ตลอดไป เข้าใจไหม?”
หลินเทียนพยักหน้า เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถาม : “พ่อ แล้วองครักษ์เจ้าตระกูลจะทำยังไง?”
“องครักษ์เจ้าตระกูล?” หลินชื่อพึมพำออกมา แล้วส่ายหน้าทันที : “คนกลุ่มนี้กล้าหาญแต่ไม่มีสมอง คิดอะไรไม่เป็น ได้แต่ฟังคำสั่งของเจ้าสำนัก แต่เป็นแบบนี้ก็ดี สามารถใช้เรื่องที่ซ่งหยิงถูกกักบริเวณมาควบคุมพวกมัน ต้องบอกว่า พวกมันทั้งยี่สิบคนฝีมือการต่อสู้ไม่ธรรมดาเลย หากฉันไปสู้รบปรบมือด้วยก็ไม่เป็นผลดีเลย”
หลินเทียนครุ่นคิดแล้วเอ่ยถาม : “งั้นต้องฆ่าพวกมันทิ้งเลยไหม? จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง?”
“ไม่ต้อง ยี่สิบคนนี้แหละที่เป็นเป้าหมายของพวกเรา หากได้พวกมันมา เท่ากับว่าได้ครองทั้งสำนักฉิวหลง เอาล่ะ ไปจัดธุระเถอะ”
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว งั้นพ่อ ผมไปจัดการคนเฝ้าประตูก่อนนะ”
หลินชื่อจ้องไปที่นอกหน้าต่าง แล้วพยักหน้าเล็กน้อย
ทั้งสองคนแยกย้ายกันไปจัดการ หลินชื่อรับผิดชอบเรื่องจับตัวซ่งหยิง ส่วนหลินเทียนก็เริ่มลงมือฆ่าปิดปาก
“ทำได้ไม่เลว ตอนนี้แกรีบไปซะ นี่เป็นคำสั่งของศิษย์พี่หลินเทียน” มีเสียงกระซิบมาจากด้านในห้องคนเฝ้าประตู
คนเฝ้าประตูเอ่ยถาม : “แล้วพ่อแม่ฉันล่ะ?”
“ไปพร้อมกันกับแก ไปไกลเท่าไหร่ยิ่งดี เข้าใจไหม?”
“เข้าใจแล้ว”
เมื่อคนเฝ้าประตูเดินออกมาจากห้อง ด้านหลังของเขาได้มีเงาคนหลายคนโผล่มาทันที แล้วตามไปอย่างเงียบ ๆ
——
ที่เชิงเขาสำนักฉิวหลง มีเงาคนสองคนวิ่งมาด้วยความรวดเร็ว จุดประสงค์ของพวกเขาคือสำนักฉิวหลงนั่นเอง เงาทั้งสองเงานั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นฟางเหยียนกับเทียนขุย
“จอมพลโผ้จวิน ด้านหน้าเหมือนมีเสียงต่อสู้กัน!”
“ไปดูหน่อยสิ!”
ที่นี่เพิ่งผ่านการสู้รบมา มีคราบเลือดเปื้อนอยู่ตามกิ่งไม้และใบหญ้า คนเฝ้าประตูต่อสู้อย่างดุเดือด บนตัวเต็มไปด้วยสีแดงจากเลือด โดยเฉพาะบนหน้าอกมีแผลฉกรรจ์ที่ดูสาหัสมาก จนสามารถมองเห็นกระดูกบนตัวเขาได้เลย ด้านหน้าเขา พ่อแม่ได้ถูกมีดฟันตายไปแล้ว
คนเฝ้าประตูตะคอกออกมาอย่างบ้าคลั่ง : “ทำไม! ผู้อาวุโสใหญ่บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าขอแค่ฉันเชื่อฟัง ก็จะปล่อยครอบครัวฉันไป อ๊าก!”
“มีเพียงคนตายเท่านั้นที่จะรักษาความลับไว้ได้ตลอดไป เข้าใจไหม?”
“พวกแกมันไม่รักษาคำพูด!”
“เอาล่ะ แกไปตายได้แล้ว!” ขณะที่พูด คนที่เป็นหัวหน้าได้สะบัดมือใหญ่ ๆ นั่น คนที่อยู่ด้านหลังก็พุ่งเข้าไปหาคนเฝ้าประตูทันที
คนเฝ้าประตูหมดเรี่ยวแรงแล้ว เขาที่อ่อนล้าโรยแรง จะสู้กับคนหกเจ็ดคนได้ยังไงกัน? แต่เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาจึงต้องฝืนยกมีดขึ้นมา แต่เมื่อเขายกมีดขึ้นมา ก็ถูกปัดมีดออก คนที่เหลือได้เข้าไปฟาดฟันเขาอย่างดุเดือด
เห็นได้ชัดว่า!
คนพวกนี้คิดจะฟันคนเฝ้าประตูให้ตาย โหดร้ายทารุณที่สุด!
คนเฝ้าประตูหลับตาลงอย่างไร้ทางสู้ เขาหมดหนทางแล้ว!
เพล้ง เพล้ง เพล้ง……
ทุกคนตกใจ ส่วนคนที่ตกตะลึงที่สุดคือคนเฝ้าประตู แวบแรกที่เขาลืมตาขึ้นมา ก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ใช่แล้ว เขายังไม่ถูกมีดฟันจนตาย!
และตอนนี้เอง น้ำเสียงที่เย็นชา น่าตกใจเหมือนฟ้าร้องคำราม ได้ดังสนั่นกระแทกใจทุกคน
“ตั้งหลายคนรุมทำร้ายคนคนเดียว? ไม่มีคุณธรรมเอาซะเลย!”
พูดจบ ฟางเหยียนกับเทียนขุยก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
คนฆ่าปิดปากเมินเฉยต่อฟางเหยียนที่ดูท่าทางเหมือนคนขี้โรค สายตาจับจ้องไปยังเทียนขุยที่เป็นคนพูดเมื่อครู่นี้
“พวกแกเป็นใคร? กล้าขัดขวางเรื่องของสำนักฉิวหลง? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง!”
อวดดี อวดดีจริง ๆ!
ในเมื่อฟางเหยียนส่งสัญญาณบอกว่าจะช่วยคนคนนั้น งั้นเทียนขุยก็ต้องเข้ามายุ่งเรื่องนี้ด้วยอยู่แล้ว สิ่งที่ทำให้เขายิ่งไม่ชอบใจก็คือ ไอ้หมอนี่มันกล้าอวดดีขนาดนี้ คนเราก็เป็นแบบนี้ แกไม่เคารพฉัน? แล้วทำไมฉันต้องเคารพแกด้วย?
“มึงแม่งตาบอดหรือไงวะ ไม่เห็นเหรอว่ากูมาช่วยคน?”
“หืม?” คนที่เป็นหัวหน้าอึ้งไปเลย ในพื้นที่ของสำนักฉิวหลง กลับมีคนกล้าอวดดีกว่าเขาอีกเหรอ? “ในเมื่อมึงรนหาที่ตาย งั้นกูจะทำให้มึงสมใจ ฟันมันซะ!”
เทียนขุยทำเหมือนไม่เห็นคนที่กำลังพุ่งเข้ามาหา กลับหันไปมองฟางเหยียนแล้วเอ่ยถาม : “จอมพลโผ้จวิน จะไว้ชีวิตหรือว่าไม่ไว้?”
เดินทางอยู่ในเขามานานขนาดนี้ ยังไม่เห็นคนเลยสักคน ตอนนี้อุตส่าห์ได้เจอคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังเป็นคนของสำนักฉิวหลง เขาไม่อยากตัดสินใจโดยพลการ ทำให้ฟางเหยียนโมโห
“ฆ่าซะ ยกเว้นเขา!”
เทียนขุยพยักหน้า แล้วค่อยเดินไปด้านหน้าอย่างช้า ๆ
“ไม่เจียมตัวเลยจริง ๆ อย่าคุยโวโอ้อวดนักเลย แค่มึงสองคนเนี่ยนะ อยากฆ่า……”
ทันใดนั้น เสียงพูดของคนที่เป็นหัวหน้าก็หยุดไปกะทันหัน สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและกระสับกระส่าย เหมือนเห็นอะไรที่น่ากลัวไม่มีผิด
ใช่แล้ว!
เพียงชั่วพริบตาเดียว ลูกน้องของเขาก็ตายกันหมด ไม่รอดแม้แต่คนเดียว!
เทียนขุยมองไปที่คนนั้น แล้วแสยะยิ้มพลางเอ่ยพูด : “แค่นี้?”
“มึงกล้าฆ่าคนของสำนักฉิวหลง หาเรื่อง……”
คำว่าตายยังไม่ทันได้หลุดออกจากปากเขา ก็ล้มทั้งยืนเลยทีเดียว!
ก่อนตาย เขาเห็นเพียงอะไรเลือนรางตรงหน้า จากนั้น ก็หายไป!
ความตื่นเต้นที่รอดชีวิตมาได้ ยังไม่น่าตกตะลึงเท่ากับ วรยุทธ์ของชายร่างกำยำคนนี้ เก่งกาจมากเหลือเกิน เกรงว่าแม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่หลินเทียน ก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
คนเฝ้าประตูเอ่ยด้วยความเคารพ : “ขอบพระคุณมากครับที่ช่วยชีวิตเอาไว้”
ฟางเหยียนเพิกเฉยต่อคำขอบคุณของคนเฝ้าประตู เอ่ยถามเสียงราบเรียบว่า : “ไม่ต้องรีบขอบคุณ บอกมาสิว่าทำไมพวกมันถึงไล่ฆ่านาย