จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 736 เจ้าสำนักแห่งสำนักฉิวหลง
วรยุทธ์แบบนี้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ขณะที่ยังไม่รู้ว่าสองคนนี้เป็นใครกันแน่ คนเฝ้าประตูจึงไม่กล้าพูดออกมาตรง ๆ
“พวกมันเป็นคนของสำนักฉิวหลง ส่วนผมขโมยของมีค่าของสำนักฉิวหลงมา ถูกพวกมันพบเข้า เลยตามมาฆ่าแบบนี้”
“แกโกหก!”
ฟางเหยียนเปิดโปงทันทีว่าคนเฝ้าประตูพูดโกหก สาเหตุนั้นง่ายมาก หนึ่ง ตอนที่คนเฝ้าประตูพูดนั้น ดวงตาลุกลี้ลุกลน สายตาล่อกแล่กไปมา เป็นลักษณะเบื้องต้นของการโกหก สอง ตอนที่เขาพูด ไม่มีความมั่นใจ โดยเฉพาะตอนที่เขาพูดขอบคุณก่อนหน้านี้ ทั้งสองประโยคมีความแตกต่างกันอย่างมาก
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด คนเฝ้าประตูที่ถูกจับได้ว่าโกหก ก็กะพริบตาไปมา สายตาล่อกแล่ก ระหว่างคิ้วดูยุ่งเหยิง ไม่กล้ามองหน้าฟางเหยียนตรง ๆ ตอนที่สบตากับเขา คนเฝ้าประตูรีบก้มหัวลงทันที ไม่กล้าหันไปมอง
เทียนขุยก้าวไปข้างหน้า ดึงคอเสื้อคนเฝ้าประตู แล้วลากเขาขึ้นมาทันที จากนั้นเอ่ยพูดด้วยเสียงเย็นชา : “อยากตายใช่ไหม? ถึงได้กล้าหลอกได้แม้กระทั่งจอมพลโผ้จวิน!”
“จอมพลโผ้จวิน?” คนเฝ้าประตูที่เดิมทีให้ตายยังไงก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองพูดโกหก เมื่อได้ยินคำว่าจอมพลโผ้จวิน เขาก็ตกในไม่น้อยเลย ตัวสั่นไปทั้งตัวเหมือนถูกไฟช็อตอย่างจัง
จอมพลโผ้จวิน!
จอมพลที่ชั่วร้ายคนนั้น!
และเป็นคนร้ายที่ฆ่าเจ้าสำนัก!
เห็นสภาพที่น่าอนาถของเจ้าสำนักแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าจอมพลโผ้จวินเป็นคนที่โหดเหี้ยมร้ายกาจมากคนหนึ่ง!
ตอนที่รู้ว่าไอ้หนุ่มที่สภาพเหมือนคนขี้โรคคือจอมพลโผ้จวิน เขายอมตายซะยังดีกว่าตกไปอยู่ในเงื้อมมือของปีศาจคนนี้!
เขาดูเหมือนเข้าใจแล้วว่า ทำไมคนพวกนั้นถึงไม่สามารถต่อสู้กับลูกน้องของจอมพลโผ้จวินได้เลย ที่แท้เขาก็คือจอมพลโผ้จวินที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่นี่เอง!
คนเฝ้าประตูคิดจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายแล้ว!
แต่เทียนขุยจะยอมให้เขาสมใจได้ยังไงล่ะ ตอนที่เขาหุบปากลง เทียนขุยได้ตบปากเขาอย่างจัง!
เพี๊ยะ!
ฟันหน้าหนึ่งซี่หลุดลอยไป!
คนเฝ้าประตูร้องโหยหวนออกมา
“ปีศาจ แกมันเป็นปีศาจ ฆ่าฉันซะเถอะ!”
“อยากตายขนาดนี้เลยเหรอ งั้นฉันจะให้แกได้สมใจ!” สำหรับคนที่ลืมบุญคุณคนอย่างนี้ เทียนขุยไม่เกรงใจอยู่แล้ว ขณะที่กำลังจะลงมือ กลับถูกฟางเหยียนส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อห้ามปรามไว้
เลยปล่อยคนเฝ้าประตูลง เขากลัวจนถอยออกห่างจากฟางเหยียน ไม่เหมือนกับเสแสร้งเลยสักนิด ทำเอาฟางเหยียนงงไปเล็กน้อย เขาไม่ใช่ผีสักหน่อย ต้องกลัวขนาดนี้เลยเหรอ? เยี่ยวเล็ดแล้ว กลัวจนเยี่ยวเล็ดแล้ว ไม่รู้จะพูดยังไงดี
“ฉันถามแกตอบ”
ฟางเหยียนพูดสั้น ๆ ได้ใจความ น้ำเสียงเหมือนมีพลังลึกลับที่ทำให้ไม่สามารถปฏิเสธได้ วินาทีนั้นทำให้คนเฝ้าประตูสงบนิ่งลง นี่ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เขาใช้พลังชี่อย่างหนึ่ง ทำให้คนเฝ้าประตูหยุดคลุ้มคลั่งไปได้
“ทำไมแกถูกตามฆ่า?”
“ฆ่าปิดปาก!” ถึงแม้คนเฝ้าประตูสงบนิ่งลงแล้ว แต่แววตายังคงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แม้แต่ตอนพูดออกมา น้ำเสียงยังสั่นเครือ เนื่องจากความกลัวที่อยู่ในใจ ทำให้คนเฝ้าประตูเล่าสาเหตุที่ถูกฆ่าปิดปากออกมา
เมื่อฟังจบ ฟางเหยียนกับเทียนขุยก็สบตากัน เทียนขุยอ้าปาก แต่กลับถูกฟางเหยียนส่ายหน้าปฏิเสธ
“แล้วทำไมแกเห็นฉันถึงต้องกลัวขนาดนี้?”
“เพราะแกฆ่าเจ้าสำนักของพวกเราตายอย่างโหดร้ายทารุณ สภาพน่าอนาถจนทนดูไม่ได้ ควักลูกตา ตัดจมูก เอาน้ำกรอกหู ทรมานอย่างโหดเหี้ยมจนตาย” สุดท้าย คนเฝ้าประตูได้พูดเสริมขึ้นอีกว่า : “เลือดออกทางทวารทั้งเจ็ด กระดูกแตกหักทั้งตัว!”
ฟางเหยียนสีหน้าเหมือนเดิม แต่เทียนขุยกลับทนต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้อ้าปากด่าออกไป : “มึงแม่งพูดอะไรห๊ะ? จอมพลโผ้จวินจะไปทรมานเจ้าสำนักพวกแกทำไม? พวกแกถูกคนอื่นเป่าหูชัด ๆ นี่เรื่องบ้าอะไรกัน!”
เทียนขุยกร่นด่าสาปแช่งอย่างถึงที่สุด ทำเอาคนเฝ้าประตูสายตาเลื่อนลอย ใช่แล้ว เขาก็สับสนเหมือนกัน ไม่รู้ตกลงจะเชื่อใครดี?
ฟางเหยียนเอ่ยพูดเสียงต่ำ : “อยากแก้แค้นไหม?”
คนเฝ้าประตูเหม่อมองไปที่พ่อแม่ แล้วพูดเสียงต่ำ : “แค้นนี้ต้องชำระ!”
“ได้ งั้นนำทางเถอะ”
เพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว คนเฝ้าประตูก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ “พวกนายแค่สองคน? เกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้อาวุโสใหญ่”
เทียนขุยตะคอกด้วยเสียงเย็นชา : “พูดมากอยู่ได้ นำทางไป!”
เห็นฝีมือการต่อสู้ของเทียนขุยแล้ว คนเฝ้าประตูไม่กล้าพูดมากอีก ได้แต่นำทางไปแต่โดยดี
เทียนขุยเข้าไปใกล้ แล้วพูดเสียงเบา : “จอมพลโผ้จวิน หรือว่าผมสืบไปผิดทาง? สำนักฉิวหลงไม่ใช่หมารับใช้ของเพลิงเสวน?”
ฟางเหยียนได้ยินที่เทียนขุยกล่าวโทษตัวเอง ก็ครุ่นคิดแล้วเอ่ยพูด : “เหมือนอย่างที่คนเฝ้าประตูพูด เป็นเพราะเจ้าสำนักของสำนักฉิวหลงเดินทางไปทั่วทุกที่ จนทำให้สำนักขาดหัวหน้า เกิดความวุ่นวายภายใน แบ่งออกเป็นสามฝ่าย ฝ่ายแรกคือผู้อาวุโสใหญ่เป็นหัวหน้า ฝ่ายที่สองคือซ่งอู่ฮุยเป็นหัวหน้า เพียงแต่ตอนนี้ถูกใส่ร้ายจนต้องติดคุก ส่วนฝ่านที่สาม คือองครักษ์เจ้าตระกูล”
องครักษ์เจ้าตระกูลตัดไปได้เลย พวกเขาฟังแค่คำสั่งของเจ้าสำนักเท่านั้น พูดได้ว่าสำนักฉิวหลงได้แย่งเป็นสองขั้วอำนาจ แต่ตอนนี้ซ่งอู่ฮุยถูกใส่ร้าย ผู้อาวุโสใหญ่มีอำนาจผูกขาดเพียงผู้เดียว เกิดความขัดแย้งภายในสำนักก็จริง แต่ฉันรู้สึกว่าต้องมีเรื่องอะไรซ่อนเร้น กลัวว่าจะไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้นน่ะสิ”
“จอมพลโผ้จวิน งั้นพวกเราควรทำยังไงดี?”
“ไปที่สำนักฉิวหลงก่อน ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
——
ณ สำนักฉิวหลง
ภายในห้องหลงเหมินวางเครื่องเซ่นไหว้เต็มไปหมด ตรงกลางห้องมีโต๊ะแปดเซียนวางอยู่หนึ่งตัว บนโต๊ะแปดเซียนมีบันไดเล็ก ๆ วางอยู่แท่นหนึ่ง มีหมอกขาวปกคลุมรอบบันได มีกลิ่นไม้จันทร์หอมอ่อน ๆ โชยออกมา ราวกับเป็นแดนสวรรค์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ที่หัวบันไดมีแท่นขนาดเล็กวางอยู่หนึ่งอัน แท่นนี้เรียกว่าแท่นมังกรบิน บนแท่นแท่นมังกรบินวางมังกรขนาดใหญ่เหมือนจริงอยู่ตัวหนึ่ง
นี่เป็นการไหว้บรรพบุรุษที่เป็นเอกลักษณ์ของสำนักฉิวหลง
การไหว้บรรพบุรุษนอกจากไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ยังมีจุดประสงค์อีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือเป็นสิ่งที่ต้องทำในสมัยก่อนเมื่อเจ้าสำนักขึ้นรับตำแหน่ง เหมือนกับพิธีบรมราชาภิเษกของกษัตริย์
ไม่ต่างอะไรกับการบวงสรวงสวรรค์ เพียงแต่การบวงสรวงสวรรค์ต้องบวงสรวงทั่วทั้งแผ่นดิน ส่วนการไหว้บรรพบุรุษเป็นการสักการบูชาบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วของสำนักฉิวหลง
แน่นอนว่า ทุก ๆ หนึ่งร้อยปีของสำนักฉิวหลงจะมีการไหว้บรรพบุรุษตรงที่บูชามังกร ถือเป็นการบวงสรวงสวรรค์ด้วยส่วนหนึ่ง
ทั้งห้องหลงเหมินดูเคร่งขรึมและยิ่งใหญ่ ลูกศิษย์ระดับสูงต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม ส่วนซ่งหยิงนั่งอยู่บนม้านั่งสลักลายมังกร สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ด้านขวามือของเธอ ก็คือผู้อาวุโสใหญ่หลินชื่อ ตามมาด้วยหลินเทียนที่นั่งหน้าเชิดขึ้น ซึ่งตอนนี้มีท่าทีสำรวม จ้องมองไปยังมังกรตัวใหญ่ที่อยู่บนแท่นมังกรบินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อคิดพิจารณาก็จะรู้ได้ว่า พิธีสักการบูชานี้เป็นเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์มากแค่ไหน
“วันนี้มีกระผมหลินชื่อเป็นผู้นำในการสักการบูชา เพื่อให้นายน้อยซ่งหยิงได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักแห่งสำนักฉิวหลง ไหว้บรรพบุรุษ!”
เมื่อเสียงพูดว่าไหว้บรรพบุรุษสิ้นสุดลง ห้องหลงเหมินที่เดิมทีเงียบสงบก็เริ่มมีเสียงดังขึ้นมา ผู้อาวุโสทั้งสี่คนเริ่มสวดพึมพำ ๆ รวมถึงผู้อาวุโสใหญ่หลินชื่อด้วย
เมื่อสวดจบ ทั้งห้องหลงเหมินได้เงียบลงอีกครั้ง
“ลำดับต่อไป เชิญเจ้าสำนักซ่งหยิง ไหว้บรรพบุรุษ!”
แต่เมื่อพูดจบ หลินเทียนก็มาที่ข้าง ๆ หลินชื่อ แล้วพูดเสียงต่ำว่า : “พ่อ คนที่ส่งออกไปให้จัดการฆ่าปิดปาก จนถึงป่านนี้ยังไม่กลับมาเลย”
หลินชื่อเอ่ยพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ : “ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน ไปดูสิว่าพวกมันมัวโอ้เอ้อยู่ที่ไหน โดยเฉพาะคนเฝ้าประตูต้องฆ่าปิดปากให้ได้ เข้าใจไหม?”
“ครับ ผมจะไปให้ลูกน้องไปจัดการเดี๋ยวนี้”
ซ่งหยิงลุกขึ้นยืน ไหว้สักการะที่ป้ายบรรพบุรุษด้วยธูปสามดอก สุดท้ายได้เดินไปตรงหน้าแท่นมังกรบิน แล้วโค้งคำนับสามครั้ง จากนั้นโน้มตัว เอาธูปสามดอกปักไปที่บนหัวของมังกรตัวใหญ่ที่อยู่บนแท่นมังกรบิน
หลินชื่อพยักหน้า โน้มตัวเล็กน้อย โค้งคำนับแล้วเอ่ยพูด : “พิธีเสร็จสิ้น ทำความเคารพเจ้าสำนัก!”
พูดจบ ทุกคนในห้องหลงเหมินได้คุกเข่าลง
ซ่งหยิงพูดอย่างเรียบ ๆ : “ลุกขึ้นเถอะ”
เจ้าสำนักแห่งสำนักฉิวหลง!
ในที่สุดเธอได้กลายเป็นคนที่เธอเกลียดที่สุด เธอรู้สึกคับแค้นใจมาก แต่ความแค้นที่พ่อถูกฆ่าตาย ต้องถูกชำระ! จึงจำเป็นต้องขึ้นเป็นเจ้าสำนักก่อน ถึงสามารถโยกย้ายกำลังพลในสำนักฉิวหลงได้ ดังนั้นเธอจึงได้กลายเป็นคนที่เธอเกลียดมากที่สุด!
“จากนี้ไป แจ้งให้ลูกศิษย์ของสำนักฉิวหลงที่อยู่ด้านนอกทุกคนกลับมาโดยทันที หากกลับมาไม่ได้ก็ไล่ออกจากสำนักไป เปิดศึกแก้แค้นกับจอมพลโผ้จวินอย่างเต็มกำลัง ไม่ตายไม่เลิก!”