จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 742 ทำตัวโอหังมันผิด
สงครามครั้งใหญ่พร้อมเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ!
เสี่ยวหยู่และเหมินถงก็ได้ตกใจเสียสติไปนานแล้ว อึ้งอยู่กับที่ทำอะไรไม่ถูก แม้แต่จะวิ่งหนีก็ลืมไปจนหมด
เทียนขุยก็ฉีกยิ้มนิ่งๆ โดยไม่สนใจคนตรงหน้า แล้วพูดไปอย่างมั่นใจว่า “จอมพลโผ้จวิน หลินชื่อมันคิดจะฆ่าพวกเราเลยนะครับเนี่ย?”
ฟางเหยียนก็พูดนิ่งๆ ว่า “ง่ายมาก เพราะพวกเราไปส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของผู้อาวุโสใหญ่ของพวกมันเข้าแล้ว”
เทียนขุยนิ่งไปแล้วตอบว่า “เอ่อจอมพลโผ้จวินครับ จะให้กวาดล้างสำนักฉิวหลงไปทั้งหมดเลยไหม?”
“ยังไม่ต้อง อย่าให้เรื่องแค่นี้ทำให้เสียการใหญ่ทั้งหมด”
“แต่ว่าจอมพลโผ้จวินครับ ผมคิดว่าสถานการณ์แบบนี้ มันจะยอมให้เราเปิดโปงแผนชั่วของไอ้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างมันหรือครับ?”
“งั้นก็ต้องมาดูกันว่ามันต้องการอำนาจ หรือลูกชายของมันกันแน่!”
เทียนขุยก็ตาเป็นประกาย “เข้าใจแล้วครับ จอมพลโผ้จวิน”
จากนั้นหลินเทียนก็ถูกหิ้วขึ้นมา คนที่บุกเข้ามาก็อึ้งนิ่งไปตามกัน ทุกคนล้วนหยุดการเคลื่อนไหวลง โดยไม่กล้าบุกขึ้นหน้าไปอีกแม้แต่ครึ่งก้าว และไม่มีความกล้าที่จะบุกเข้าไป นั่นเป็นถึงลูกชายของผู้อาวุโสใหญ่ หัวแก้วหัวแหวนของสำนักฉิวหลง! ถ้าพลาดไปทำร้ายจนบาดเจ็บเพิ่ม ใครจะแบกรับความรับผิดชอบนี้ไหว?
บางคนก็กังวลกว่าพวกลูกน้องนี้อีก คนคนนั้นก็คือหลินชื่อ ตอนที่เทียนขุยลากตัวหลินเทียนออกมานั้น เขาก็ตะโกนออกมาทันทีว่า “หยุดเดี๋ยวนี้!”
“มึงคิดจะทำอะไร?” หลินชื่อถามเสียงขรึม
ฟางเหยียนก็ยิ้มนิ่งๆ “แค่คุยกันเท่านั้นเอง ไม่ต้องกังวลไปหรอก”
“พวกมึงฆ่าเจ้าสำนักของพวกกู แย่งชิงเอาของล้ำค่าที่สุดของสำนักฉิวหลงไป มึงคิดว่ากูยังจะมีอะไรคุยกับมึงได้อีก? อีกอย่าง อย่างคิดว่าจับตัวลูกกูไป แล้วจะมาข่มขู่กูได้ มึงฝันกลางวันไปเถอะ!”
“ผู้อาวุโสใหญ่อย่าโมโหเกินไปสิ นี่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง แค่นี้ก็ทนไม่ได้แล้วหรือไงกัน?”
เทียนขุยมีหรือจะฟังความหมายที่ผู้อาวุโสใหญ่พูดบีบบังคับออกมาไม่ออก จอมพลโผ้จวินมีหรือจะยอมให้ใครมาข่มขู่ได้ง่ายๆ? จะหยามเกียรติกันก็ได้ แต่การเหยียดหยามจอมพลโผ้จวินนั้น มันไม่ถูกแล้วล่ะ เพราะมันคือการเสียมารยาทต่อจอมพลโผ้จวินอย่างมาก
สำหรับคนที่เสียมารยาท แต่ไหนแต่ไรมา เขาก็ฆ่าสถานเดียว!
“จอมพลโผ้จวิน จะไปพูดมากกับมันทำไม เปิดโปงโฉมหน้ามันไปเลย หรือไม่ก็ฆ่ามันเสีย เพื่อหยุดแผนชั่วของเพลิงเสวน”
ฟางเหยียนก็พูดอย่างไม่เผยสีหน้าออกมาว่า “เทียนขุย บางครั้งจะใช้แต่กำลังอย่างเดียวก็ไม่ได้ ถ้าทุกเรื่องต้องใช้กำปั้นเพื่อแก้ปัญหา งั้นโลกนี้ก็ไม่วุ่นวายไปหมดแล้วหรือ? แน่นอนว่าบางเรื่องก็ต้องใช้กำลังเพื่อแก้ไขถึงจะสำเร็จ แบบนี้มันเรียกว่าแก้ปัญหาตามสถานการณ์”
เทียนขุยก็ยังพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “หรือว่าจอมพลโผ้จวินจะยอมให้คนอื่นมาเหยียดหยามงั้นหรือครับ?”
“จำไว้ว่า ไม่ว่าจะเป็นหยินเหมินหรือว่าชาวบ้านที่พวกเราปกป้อง พวกเขาล้วนเป็นส่วนหนึ่งของประเทศหวาเหมือนกัน หลินชื่อใจร้อนอยากจะช่วยลูกชาย แล้วใช้กำลังทั้งสำนักฉิวหลงมาฝังไปพร้อมกัน เพราะความเห็นแก่ตัว เลยต้องเอาทุกชีวิตที่ไม่เกี่ยวข้องมาชดใช้ไปด้วย นี่ก็คือความเศร้าโศกของพวกเรา แล้วพวกเราจะมีหน้ายอมรับเกียรติยศที่ชาวบ้านมีให้กับพวกเราได้อย่างไร?”
“ตามที่ผมรู้มา สำนักฉิวหลงก็ไม่ได้ร้ายไปเสียทั้งหมด เป็นเพราะการขัดแย้งภายในทำให้หยินเหมินไม่เป็นสุข คนอื่นๆ ไม่ควรเป็นเครื่องมือของพวกมัน อีกอย่าง ถ้าผมกวาดล้างทั้งสำนักฉิวหลงไป พวกเราก็จะเป็นดั่งข่าวลือที่เพลิงเสวนปล่อยออกมาน่ะสิ?”
เทียนขุยก็ยังไม่พอใจ ฟางเหยียนก็พูดนิ่งๆ ว่า “ความเสียหายส่วนตัว เมื่อเทียบกับชีวิตของทุกคนแล้วนั้น มันจะเท่าไรกันเชียว และที่พวกเราปกป้องนั้นคืออะไรเล่า นั่นก็คือความสงบสุขของประชาชน ยิ้มรับการดูถูกเหยียดหยามเท่านี้จะเท่าไรกันเชียว?”
เทียนขุยก็หยักหน้าไปเหมือนจะรู้ “แต่จอมพลโผ้จวินครับ หรือว่าพวกเราจะปล่อยไอ้แก่ก้อนขี้หนูคนนี้ไปอย่างนั้นหรือครับ?”
ฟางเหยียนก็ยิ้มออกมา “ใครบอกว่าจะปล่อยมันไป?”
“พวกมึงซุบซิบอะไรกันวะ? มึงอยากคุยไม่ใช่หรือไง? กูตกลง แต่มีข้อแม้ว่า พวกมึงจะต้องปล่อยลูกชายกูก่อน!”
ทุกคนในสำนักฉิวหลงก็อึ้งไปตามกัน ผู้อาวุโสใหญ่เปลี่ยนความคิดตั้งแต่ตอนไหน? อาศัยคนมากมายแบบนี้ แค่ถ่มน้ำลายใส่ไป ก็เพียงพอที่จะให้พวกมันจมน้ำลายตายแล้ว ชนะแน่นอน ยังจะต้องคุยอะไรอีก?
ผู้อาวุโสรองครุ่นคิดไป แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสใหญ่ ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกชาย แต่แค้นของท่านเจ้าสำนักจะไม่ชำระไม่ได้ ขอให้ผู้อาวุโสใหญ่พิจารณาด้วย”
ผู้อาวุโสสามก็พูดเสริมว่า “ใช่ครับ ผู้อาวุโสใหญ่ เรื่องมันก็ต้องแบ่งหนักเบา ส่วนกรแก้แค้นให้กับเจ้าสำนัก ตอนนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ของพวกเรา หวังว่าผู้อาวุโสใหญ่จะไม่ลังเลกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ผู้อาวุโสใหญ่โปรดพิจารณาด้วย”
ผู้อาวุโสสี่ก็พูดความเห็นของตนเองเหมือนกัน “ผมก็เห็นด้วยกับการที่จะแก้แค้นให้กับเจ้าสำนัก ความเสียหายส่วนตัวมีหรือจะเทียบกับความแค้นอันใหญ่หลวงได้ ดังนั้นผมก็เห็นด้วยว่าควรบุกฆ่าจอมพลโผ้จวินเลยทันที เพื่อแก้แค้นให้กับเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสใหญ่โปรดพิจารณา”
ผู้อาวุโสทั้งสามคน พูดความเห็นของตนเองออกมากันหมด มีเพียงผู้อาวุโสห้าที่ไม่ได้พูดอะไร เพื่อแสดงความเห็นของตนเองเลย แต่กลับไปค้านความเห็นของผู้อาวุโสทั้งสามคน
“เหลวไหล ผมคิดว่าพวกคุณเหลวไหลกันไปหมด!” ผู้อาวุโสห้าพูดอย่างจริงจังว่า “คนที่ตายก็ตายไปแล้ว คนที่อยู่ก็ต้องมีชีวิตต่อไป อย่าทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้สามารถฆ่าจอมพลโผ้จวินได้ก็จริง แต่พวกเราก็ต้องแลกกับสุดยอดปีศาจไปด้วย นี่ก็คือการสูญเสียของสำนักฉิวหลงเหมือนกัน ถ้าใช้กำลังทั้งหมด จอมพลโผ้จวินก็ต้องตกมาอยู่ในเงื้อมมือของเราอยู่ดีไม่ใช่หรือไง? ในเมื่อมันอยากคุย ก็ลองฟังมันดูว่ามันอยากจะคุยอะไร”
“ืท่านห้าคุณหมายความว่าอย่างไร?” ผู้อาวุโสรองพูดออกมาอย่างโมโห “คุณคิดว่าพวกเราสามคนเลอะเลือนไปแล้วหรือไง? ห้ะ! คุณคิดว่าพวกเราไม่สนใจว่าหลินเทียนจะเป็นตายร้ายดีเลยหรือไง? ห้ะ!ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดของสำนักฉิวหลง ก็คือแก้แค้นให้กับเจ้าสำนัก คือการแก้แค้น!”
ผู้อาวุโสรองโมโหจนน้ำลายกระเด็น จนเกือบจะกระเด็นไปใส่หน้าผู้อาวุโสห้า ผู้อาวุโสห้าก็ทำหน้ารังเกียจ “ผู้อาวุโสรอง คุณไม่ได้แปรงฟันมานานเท่าไรแล้วเนี่ย ทำไมปากเหม็นอย่างนี้!”
เห็นได้ชัดว่า ผู้อาวุโสห้ากำลังหลอกด่าผู้อาวุโสรองกลับไปอย่างอ้อมๆ แต่เขาก็อยู่มานานขนาดนี้แล้ว มีหรือจะฟังไม่ออก ตอนที่กำลังจะด่ากลับไปนั้น ก็ถูกผู้อาวุโสใหญ่ห้ามไว้
“ทุกท่านพูดถูกต้อง ผมก็เห็นด้วยกับความเห็นของทุกคน พวกคุณพูดถูก ความเสียหายส่วนตัวจะเทียบกับผลประโยชน์ส่วนรวมได้อย่างไร ผมไม่ควรเอาความแค้นส่วนตัวไปหยุดยั้งการความแค้นของทั้งสำนักฉิวหลง จุดนี้ผมคิดผิดไปจริงๆ”
ผู้อาวุโสทั้งสามก็ก้มหน้าด้วยความอับอาย มีเพียงผู้อาวุโสห้าที่ยืนยืดอกมองไปยังผู้อาวุโสทั้งสาม ราวกับเป็นไก่ชนที่เพิ่งชนะการต่อสู้มา เย่อหยิ่งได้ใจไม่สนใจโลก
“แต่ก็นะ สำนักฉิวหลงของพวกเราก็ไม่เบา พวกมันมีแค่สองคน พวกเราจะจัดการกับมันแน่ ผมบอกไว้แล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมจะไม่สามารถแก้แค้นให้เจ้าสำนักไปด้วย และสามารถช่วยสุดยอดปีศาจของสำนักฉิวหลงมาให้ได้ด้วยเล่า? แน่นอนว่า ผมไม่ได้กลัวตาย แต่ผมกลัวไม่มีคนสืบสกุล ถ้าพวกมันกลัวขึ้นมา แล้วฆ่าสุดยอดปีศาจของสำนักฉิวหลงไป พวกเราจะสูญเสียเยอะเกินไปหรือเปล่า? นี่มันจะไม่คุ้มเอานะ”
พูดออกมาอย่างมีเหตุผล โดยไม่มีช่องโหว่ใดๆ สีหน้าจิ้งจอกแก่เจ้าเล่ห์ก็เผยออกมา ไม่นานก็สามารถพูดเพื่อช่วยลูกชายตนเองได้ แล้วยังสามารถลากจูงผู้อาวุโสทั้งสามคนได้ด้วย ให้พวกเขาไม่มีที่ยืน
จริงๆ แล้วคำพูดที่ทำให้ผู้อาวุโสทั้งสามคนสะอึกก็คือ สำนักฉิวหลงจะต้องฆ่าพวกสองคนนั้นแน่ นี่ก็เหมือนเป็นการให้ความมั่นใจแก่พวกเขา ก็แค่ให้ไอ้พวกสองคนนั้นได้มีชีวิตเพิ่มไปอีกไม่กี่นาทีเท่านั้น!
ด้วยเหตุนี้ ผู้อาวุโสทั้งสามก็เลยยิ่งอับอาย ที่พวกเขานั้นมีสายตาที่ไม่กว้างไกล ไม่เหมือนกับผู้อาวุโสใหญ่ที่มีสายตากว้างไกล ทั้งสามคนก็ค่อยทำความเคารพ แสดงถึงการขอโทษ ส่วนผู้อาวุโสใหญ่ก็โบกมือปฏิเสธไป ถือว่าเป็นอันยอมรับแล้ว
“ในเมื่อพวกคุณไม่มีความเห็นอะไรแล้ว งั้นพวกเราก็มาดูหันหน่อย ว่าพวกมันจะคุยอะไร”
ผู้อาวุโสทั้งสามก็พูดออกมาพร้อมกันว่า “ทุกอย่างน้อมรับฟังผู้อาวุโสใหญ่”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นผมก็ขอขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสามด้วย” พอหันหน้ากลับมา หลินชื่อก็หน้าบึ้ง น้ำเสียงก็เย็นยะเยือก “พวกมึงคิดจะคุยอะไร แล้วก็ รับปล่อยลูกเสียเดี๋ยวนี้ ถึงจะคุยกันได้!”
“จอมพลโผ้จวิน ผมรู้สึกไม่อยากจะคุยแล้วล่ะครับ” เทียนขุยก็กำคอเสื้อของหลินเทียนแน่นขึ้น แล้วพูดเสียงขรึมว่า “พ่อมันเป็นแบบไหน ลูกมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ท่าทางที่โอหังแบบนี้ ผมทนไม่ไหวจริงๆ ผมว่าจอมพลโผ้จวินไม่ควรจะวางตัวง่ายนะครับ เดี๋ยวใครๆ ก็มาโอหังอยู่เหนือหัวจอมพลโผ้จวินได้หมด!