จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 765 ครั้งแล้วครั้งเล่า
สุดท้ายฟางเหยียนยังคงลงมือตอนนี้ไม่ได้ ชิงตี้มีความลับอยู่กับตัวมากมายเหลือเกิน ความลับเหล่านี้มีประโยชน์ต่อการเข้าใจถึงเพลิงเสวนมากยิ่งขึ้น นี่มันจะมีความหมายยิ่งว่าไปแสวงหาด้วยตนเองแล้วบังเอิญประสบความสำเร็จมาก และเขาก็เชื่อมาตั้งแต่แรกว่าตำแหน่งของชิงตี้ในเพลิงเสวนน่าจะไม่ต่ำเลย ถ้าหากฆ่าเธอเสีย เบาะแสที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับเพลิงเสวนก็คงต้องขาดหายไปอีกครั้ง
ถ้ากำจัดชิงตี้ไปแล้ว ต้องการที่จะทำความเข้าใจเพลิงเสวนอีกครั้ง เกรงว่าคงยากในยากเสียแล้ว
“ชิงตี้ เธอทำให้ฉันประหลาดใจเกินไปแล้ว ใช้การตายมาบีบบังคับคนอื่นแบบนี้”
ชิงตี้ได้ยินก็ตาสว่างวาบขึ้นมา ความรู้สึกที่เย็นยะเยือกนั้นได้หายไปแล้ว เธอทราบว่าตนได้รอดพ้นจากภัยอันตรายอีกครั้งแล้ว มองดูคล้ายจะเย็นชาไร้อารมณ์ ทว่าฟางเหยียนไม่คิดที่จะฆ่าเธอ
“ที่รัก ขอบคุณที่คุณไว้ชีวิตฉัน สิ่งที่สามารถบอกคุณได้ ฉันแน่นอนว่าต้องไม่ปิดบัง แต่มีบางเรื่องที่ฉันก็ยังพูดไม่ได้ตอนนี้ เพราะว่าไม่อาจทำตามใจตนเองได้ ยกโทษให้ด้วย”
เทียนขุยไม่พอใจขึ้นมา แถมยังโมโหไม่ราอีกด้วย “โผ้จวิน จะมาใจอ่อนเช่นสตรีไม่ได้นะ ยัยปีศาจนี่ไม่แน่อาจจะปกปิดเรื่องเลวร้ายอะไรรอเราอยู่นะ เพลิงเสวนกับเราไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ ตอนนี้ถ้าไม่ฆ่าเธอไปซะ รอเมื่อเธอเผ่นหนีไป พวกเราก็ไม่มีโอกาสกำจัดเภทภัยแล้วนะ โผ้จวินได้โปรดออกคำสั่ง ให้ผมฆ่ายัยปีศาจคนนี้ทีเถิด”
ชิงตี้กะพริบตาถี่ๆ : “เจ้าบึ้ม ฉันว่านายไม่เพียงแต่แขนขาไม่โตขึ้น สมองก็ยังทึ่มอีกด้วยนะ ไม่ใช่แค่นี้นะหูของนายก็ยังไร้ประโยชน์ ฟังความหมายของที่รักไม่ออกหรือไง? โดยเฉพาะสายตาคู่นั้น มองเหตุการณ์ตื้นเขินจริงๆ เลยนะ ด้อยความรู้สุดๆ อีกต่างหาก ในเมื่อเขาปล่อยฉันแล้ว แน่นอนว่าต้องไตร่ตรองแล้วอย่างดี มองการณ์ไกล ไม่เคยได้ยินเหรอว่า ถ้าไม่เข้าใจก็อย่าพูดน่ะ? จะได้ไม่ต้องไปทำให้คนอื่นเข้าหัวเราะเยาะได้”
“เธอรนหาที่ตาย! ยังกล้าแจ้งข่าวลือที่ทำให้คนเข้าใจผิดอีก!”
“เทียนขุย พอได้แล้ว!”
การกระทำของเทียนขุยหยุดชะงักลงทันที สายตาสองข้างจ้องตาเขม็งอย่างเกลียดชังและโมโหไปยังชิงตี้ แทบอยากจะจับฉีกเนื้อออก เพื่อระบายความโกรธแค้นนี้เต็มทน!
“โผ้จวิน ผมไม่ยอม!”
ใครสามารถยอมได้?
แม้ฟางเหยียนก็ยังไม่ยอม ทว่าหากฆ่าชิงตี้แล้วก็จะสะใจดี ทว่าเบาะแสที่กว่าจะเก็บสะสมมาได้ก็ต้องขาดไปเลยมิใช่หรือ? หากต้องการเข้าใจเพลิงเสวนอีกขั้นเกรงว่าคงต้องยากเพิ่มยิ่งขึ้นอีก เพลิงเสวนเดิมก็เป็นองค์กรที่เก็บซ่อนตัวมาเนิ่นนาน ตราบใดที่มันไม่อยากจะเผยตัวตนออกมา เกรงว่าคงไม่สามารถที่จะรับรู้ได้เลยว่าเขาอยู่ที่ใด
ต่อให้จะไม่พอใจ ทว่าเขาก็จำต้องกักเก็บความผลีผลามเอาไว้ แล้วรับมือกับปัญหาของชิงตี้อย่างใจเย็นและมีปัญญา
“เทียนขุย ชายชาตรีล้วนมีหลักการเป็นของตนเอง ที่ไม่ฆ่าชิงตี้ก็มีเหตุผลที่ไม่ฆ่า อยู่ติดตามฉันมาตั้งนานขนาดนี้แล้ว หรือแค่การตระหนักรู้เท่านี้ก็ไม่มีอย่างนั้นเหรอ? ชิงตี้ไม่น่ากลัวหรอก ฆ่าเธอแล้วสามารถระบายความแค้นที่อยู่ในใจได้ แต่ว่าจะทำให้ขาดข่าวคราวของเพลิงเสวนเพราะเธอนะ ได้ไม่คุ้มเสีย เข้าใจไหม?”
เทียนขุยค่อยๆ ระงับโทสะเอาไว้ เขาเพิ่งจะเข้าใจการผ่านเรื่องยากลำบากด้วยการทำใจของฟางเหยียน การเก็บชิงตี้ไว้ จะมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง ทว่ากลับเป็นเพราะความโกรธ เกือบจะทำลายแผนการใหญ่ของโผ้จวินไปเสียแล้ว
เทียนขุยนิ่งเงียบไปชั่วครู่: “โผ้จวิน เทียนขุยเข้าใจแล้ว”
“บางครั้งความเคียดแค้นก็สามารถกระตุ้นความคิดในการก่อสงครามนับไม่ถ้วนได้ แต่ความเคียดแค้นก็ทำให้คนสูญเสียสติสัมปชัญญะได้เช่นกัน การสงบเสงี่ยม ใจเย็น ไม่ผลีผลามเมื่อเจอเรื่องราวอันใด ถึงจะเป็นคนที่ทำการใหญ่”
“โผ้จวิน ผมมองเหตุการณ์ตื้นเขินจริงๆ เลยนะ ด้อยความรู้สุดๆ ถูกความโกรธครอบงำจนทำให้ขาดสติไป เกือบจะทำเรื่องใหญ่แล้ว”
ฟางเหยียนพยักหน้าเบาๆ ถือว่าเป็นการให้อภัย
“ที่รัก ฉันพบว่าต่อหน้าคุณ ฉันบริสุทธิ์ใจ ไม่มีความลับอะไร”
ฟางเหยียนเงียบเป็นเวลาชั่วครู่หนึ่ง ยกแก้วน้ำชาแมลงขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก ไม่เอ่ยอันใดอีก
ชิงตี้ยักไหล่ ไม่เอ่ยอันใดเพิ่ม ทว่าขณะที่เธอกำลังหันหน้ามองไปข้างหลัง คิ้วของเธอก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย พร้อมบ่นพึมพำกับตนเอง:
“ทำไมข้างนอกมีสัตว์ในตำนานได้?”
บริเวณที่สายตาของชิงตี้มองไปนั้น มีภาพของเพลิงเสวนลอยอยู่บนอากาศนอกหน้าต่าง ซึ่งเป็นสัตว์ในตำนานที่บอกแจ้งเหตุ มิใช่ภาพที่สั่งการบอกว่าให้ทำการสังหาร
“ที่รัก ตอนทานข้าวเรียกฉันหน่อยนะ ฉันขอไปเข้าห้องน้ำหน่อย”
ไม่รอให้ฟางเหยียนเอ่ยตอบกลับ ชิงตี้ก็ออกไปเสียแล้ว
เทียนขุยเอ่ยขึ้นอย่างไม่ไว้วางใจ: “โผ้จวิน ชิงตี้อาจจะหนีไปนะ!”
ฟางเหยียนครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า: “ตามออกไปดูหน่อย”
“โผ้จวิน ถ้าเธอหนีไปจริงๆ ต้องอภัยให้ผมด้วยที่จะกระทำการก่อนแล้วรายงานทีหลัง!”
ฟางเหยียนพยักหน้าเบาๆ
หลังชิงตี้ออกจากห้องรองรับแล้วนั้น ก็เดินหันหน้าระแวงหลังอย่างระมัดระวังตลอดทาง เมื่อมายังส่วนลึกของป่าไผ่บริเวณหนึ่ง และมั่นใจแล้วว่าด้านหลังไม่มีคน จึงได้ล้วงอุปกรณ์รับข่าวสารที่เล็กๆ งานประณีตชิ้นเล็กๆ อันหนึ่งออกมา ราวกับใช้คาถาบังตา ก่อนที่จะเปิดออก ก็ได้มองสำรวจบริเวณรอบๆ ให้มั่นใจอีกครั้งหนึ่ง จึงจะต่อสายอุปกรณ์ชิ้นนั้นไป
การสะกดรอยตามนั้นในสำนักเจ็ดพิฆาตถือเป็นวิชาที่ต้องร่ำเรียน เทียนขุยไม่อยากจะเปิดเผย ก็เกรงว่าไม่มีผู้ใดมองเห็นเขาได้
เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะฆ่าชิงตี้เสียเลย ทว่าสุดท้ายก็เลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ในที่ที่ไกลๆ แห่งนี้ ทว่าขณะที่เทียนขุยต้องการที่จะลงมือนั้น ชิงตี้กลับไม่ได้ปืนกำแพงเข้าไปแต่อย่างใด แต่เธอกลับเดินเข้าไปในป่าไผ่อย่างน่าสงสัย
หรือว่าเธอต้องการที่จะแจ้งข่าวสาร?
ทว่าหากเข้าใกล้ชิงตี้เมื่อไร เทียนขุยก็คงต้องถูกจับได้ไม่ใช่หรือ?
ในขณะนี้ เขาทำได้เพียงจ้องมองชิงตี้ด้วยความระมัดระวัง พยายามตั้งหูขึ้นฟังว่าเธอต้องการจะพูดอะไรกันแน่! ทว่าชิงตี้ราวกับกดเสียงให้เบาลงอย่างตั้งใจ ไม่ให้ผู้อื่นได้ยิน
ขณะที่เขาต้องการจะเข้าไปใกล้อีกนิด กลับพบว่าชิงตี้ได้สิ้นสุดการรายงานข่าวสารเสียแล้ว จากนั้นก็เดินออกจากป่าไผ่มาด้วยสีหน้าหนักอึ้ง เขาจึงรีบพุ่งกลับห้องรองรับด้วยความเร็วทันที จากนั้นก็นำสิ่งที่เห็นรายละเอียดทุกประการบอกกับฟางเหยียน โดยไม่ลังเลสักนิด
ฟางเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามว่า: “นายบอกว่า เธอแค่ไปโทรศัพท์งั้นเหรอ? แต่กลับสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมาก?”
“ถูกต้อง โผ้จวิน” เทียนขุยครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นจึงบอกเล่าการคาดคะเนของตนเองออกมา “เธอคงไม่ใช่ว่าถูกเพลิงเสวนทอดทิ้งหรอกใช่ไหม”
ได้ยินดังนั้น ฟางเหยียนก็อึ้งไป
หากสิ่งที่เทียนขุยเอ่ยนั้นเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นชิงตี้ก็ไร้คุณค่าใดๆ โดยสิ้นเชิง!
ขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น ชิงตี้ก็กลับมายังห้องรองรับ ภายในดวงตานั้น สามารถมองเห็นความหนักอึ้งที่ไม่จางหายไปของเธอ
หลังเงียบเป็นเวลาชั่วครู่หนึ่ง ชิงตี้มองไปยังฟางเหยียน เอ่ยอย่างจริงจังว่า: “ที่รัก มีเรื่องบางเรื่องที่ฉันจะต้องบอกคุณ”
ชิงตี้กำลังจะวอนขอชีวิตเช่นนั้นหรือ?
หรือจะบอกว่าเธอทราบว่าตนเองไร้คุณค่าในการใช้ประโยชน์แล้ว กำลังจะขอร้องให้ฟางเหยียนไว้ชีวิตเธอสักครั้ง?
เป็นไปไม่ได้หรอก!
ชิงตี้เป็นผู้หญิงที่ฉลาดผู้หนึ่ง หากถูกเพลิงเสวนทอดทิ้ง สิ่งที่รอคอยเธออยู่ก็คงจะเป็นการดับสูญ การหาที่พึ่งพิงแน่นอนว่าคงเป็นหนทางเดียวที่อยู่ต่อหน้าเธอแล้ว ทว่าฟางเหยียนสามารถใช้พลังหนึ่งเดียวในการต่อกรกับเพลิงเสวน แน่นอนว่าเขาก็ต้องเป็นทางเลือกที่ไม่เลวทางเลือกหนึ่งเลย
เทียนขุยมั่นใจในการคาดคะเนของตนเองขึ้นมา ไม่รู้ว่าทำไม เขามักจะรู้สึกว่าเป็นไปได้มากว่าชิงตี้จะถูกทอดทิ้ง หลังถูกทอดทิ้งแล้วแน่นอนว่าเธอก็จะต้องหาที่พึ่งพิงอาศัย ฟางเหยียนจึงจะเป็นคนที่สามารถรับประกันชีวิตของเธอได้ เพราะฉะนั้นเขาจะได้ถือโอกาสนี้ในการกำจัดชิงตี้ไปเสียเลย เพื่อระบายความแค้นที่อยู่ในใจ
เทียนขุยเอ่ยขึ้น เสียงทุ้ม: “โผ้จวิน คุณต้องคิดดีๆ เชียวนะ!”
“เทียนขุย ฉันเข้าใจความคิดของนาย ให้เธอได้พูดก่อนเถอะ” เอ่ยมาถึงตรงนี้ ฟางเหยียนจึงมองไปยังชิงตี้ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น: “ชิงตี้ สถานการณ์ตอนนี้ของเธอแย่มาก ถ้าอยากจะให้ฉันปกป้องเธอ งั้นเธอจะต้องรายงานข่าวสารมาทั้งหมด เพื่อแลกกับการที่ฉันปกป้องเธอ”
ชิงตี้ชะงักไปชั่วขณะ เอ่ยถามด้วยความอึ้งว่า: “ที่รัก คุณกำลังพูดอะไรอยู่เหรอ? สถานการณ์ไม่ดี? ปกป้อง? ปกป้องอะไร? แล้วคุณมองจากไหนว่าสถานการณ์ฉันไม่ดีน่ะ?”
เทียนขุยซักถามต่อ: “ไม่ใช่ว่าเธอถูกเพลิงเสวนทอดทิ้งหรอกเหรอ?”
ชิงตี้เอ่ยถามกลับ: “ทำไมต้องทอดทิ้งด้วย?”
“แล้ว…แล้วทำไมหน้าต้องเครียดแบบนี้ด้วยล่ะ?”
ชิงตี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย: “นายสะกดรอยตามฉัน?”
“พอได้แล้ว” ฟางเหยียนทำลายการทำตัวไม่ถูกให้เทียนขุย เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบว่า: “เธอจะบอกอะไรฉัน?”
เห็นได้ชัดว่าชิงตี้ไม่อยากจะปล่อยไปเช่นนี้ ซักถามเทียนขุยต่อ: “นายสะกดรอยตามฉันใช่ไหม?”
“ใช่ ใช่แล้วมันจะทำไม!” เทียนขุยสีหน้าดุดัน เอ่ยด้วยความไม่พอใจ: “ถ้าไม่ใช่แพราะโผ้จวินจิตใจเมตตาละก็ ตอนนี้เธอคงเป็นวิญญาณอยู่ในมือของฉันไปตั้งนานแล้ว!”
บรรยากาศคุกรุ่นมากๆ บรรยากาศที่ตึงเครียดนี้อบอวลไปทั่วทั้งห้องรองรับ!
“พอได้แล้ว!” ฟางเหยียนเอ่ย ด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “เธออยากจะบอกอะไรฉัน ก็บอกมาตรงๆ !”