จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 767 นายน้อย
ทัศนคติทั้งสามของฟางเหยียนถูกลบล้างใหม่อีกครั้งแล้ว!
เพลิงเสวนมีความวุ่นวายอยู่ภายใน อีกทั้งยังแบ่งเป็นสองพรรคอีกด้วย!
และนี่ก็คือเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเพลิงเสวนที่เขารับรู้ได้จนถึงตอนนี้!
และทันใดนั้นเขาก็ได้สติ ในเมื่อชิงตี้บอกความลับที่ใหญ่เช่นนี้ให้กับเขา เป็นที่ทราบกันดีว่าต้องจ่ายด้วยราคาที่เทียบเท่ากัน ทันใดนั้นเขาก็นึกคำพูดที่ชิงตี้เอ่ยกับเขาเมื่อก่อนหน้าขึ้นมา ที่ว่าจะให้เขาภักดีต่อนายน้อยที่ชิงตี้ภักดีด้วย!
ล้อเล่นอะไรกัน!
ฟางเหยียนเป็นใครกัน!
เป็นความรุ่งโรจน์ของประเทศหวา ชายหนุ่มที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก เทพพิทักษ์แห่งประเทศหวา จะให้เขาต้องมาร่วมก่อความชั่วไปกับคนชั่ว เข้าร่วมเพลิงเสวน!
ต่อให้นายน้อยที่ชิงตี้ภักดีด้วยจะเป็นคนดี แล้วอย่างไรเล่า?
เพลิงเสวนเป็นองค์กรชั่วร้ายที่ต่ำช้าสามานย์ที่สุด สำหรับองค์กรเช่นนี้ เขามีหน้าที่กำจัดทิ้ง เพื่อรักษาความสงบให้กับบ้านเมือง ทำให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขมีความสุขมากยิ่งขึ้น
นี่เป็นความศรัทธาที่เขาแสวงหามาตลอดชั่วชีวิต!
ชิงตี้เดาได้ตั้งนานแล้วว่าฟางเหยียนจะไม่เห็นด้วย จึงเอ่ยต่อว่า: “ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ฉันไปโทรศัพท์ และก็คือตอนที่เทียนขุยสะกดรอยตามฉัน ฉันได้รับข่าวสารจากเพลิงเสวน ข่าวสารนี้บางทีมันอาจสำคัญยิ่งกว่าสำหรับคุณ”
ฟางเหยียนเอ่ย ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ : “นอกจากจะบอกว่าค่ายใหญ่ของเพลิงเสวนอยู่ที่ไหน ข่าวสารอย่างอื่นสำหรับฉัน ไม่มีทางที่จะดึงดูดความสนใจจากฉันได้เลยแม้แต่น้อย”
“ที่รัก อยากพูดเด็ดขาดแบบนี้สิ” ชิงตี้กะพริบตา “หลังฉันพูดจบ ถ้าคุณไม่มีการตอบสนองใดๆ งั้นคืนนี้ฉันจะถวายตัวให้คุณเอง ปรนนิบัติคุณอย่างดีเลย ดีไหม”
“พูดมาตรงๆ อย่าอ้อมค้อมแบบนี้!”
“ช่างเป็นผู้ชายที่ไม่รู้จักความโรแมนติกเอาซะเลย อย่างนั้นก็ได้ ฉันจะบอกคุณเลยละกัน นายน้อยเชิญไปพบ!”
รูม่านตาของฟางเหยียนหดตัวเข้าทันที หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น!
นายน้อยเชิญไปพบ!
หากเมื่อครู่คำพูดของชิงตี้ทำให้เขาตกตะลึงจนหาที่เปรียบไม่ได้ คำพูดนี้ทำให้เขาประหลาดใจจนไม่น่าเชื่อได้ คิดไม่ถึงเลยว่านายน้อยแห่งเพลิงเสวนจะเชิญเขาเข้าพบ นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง!
ใช่แล้ว!
เดิมทีเขาต้องการที่จะปฏิเสธ ทว่าเมื่อกลับมาครุ่นคิดให้ดีๆ แล้ว เหมือนว่านี่จะเป็นโอกาสที่ดีอย่างหนึ่ง โอกาสดีที่จะสามารถกำจัดเพลิงเสวนได้อย่างราบคาบ ทำให้พวกเขาได้รับโทษที่ก่อกรรมทำชั่วเอาไว้
ใช่แล้ว!
คำพูดนี้ของชิงตี้ ทำให้ฟางเหยียนสนใจขึ้นมาโดยสิ้นเชิง!
ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือเลว อย่างไรก็ตามเขาก็เป็นคนของเพลิงเสวนอยู่ดี และจะได้ถือโอกาสนี้กำจัดให้เรียบทั้งหมด!
เรื่องดีๆ เช่นนี้เขาจะปล่อยไปได้อย่างไร?
เมื่อได้เจอนายน้อยแล้ว ก็ฆ่าเขาเสียเลยก็ได้แล้ว!
ฟางเหยียนวางแผนไว้เช่นนี้!
“ได้ ฉันจะไป!”
ชิงตี้มักจะรู้สึกเสมอว่ามีบางอย่างผิดปกติไป กลับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จึงทำได้เพียงพยักหน้าเบาๆ
เช้าวันต่อมา ฟางเหยียนและอีกสองคนก็ออกไปอย่างเงียบๆ ไม่ได้รบกวนใครทั้งสิ้น
——
ณ บนเทือกเขาที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาท่ามกลางภูเขาที่สูงตระหง่าน นี่มันคือหมอกเมฆปกคลุม ราวกับดินแดนสวรรค์โลกภายนอก อีกทั้งในหมู่ภูเขาที่มีหมอกเมฆปกคลุมนั้น กลับมีสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่หนึ่งแห่ง สถาปัตยกรรมนั้นมีลักษณะเป็นแบบโบราณ กว้างขวางและยิ่งใหญ่ เหมือนปราสาทที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งเสียมากกว่า เมื่อปรากฏอยู่ท่ามกลางภูเขาอย่างลึกลับเช่นนั้นแล้ว ก็ยิ่งเหมือนเป็นภาพลวงตา น่าอัศจรรย์และเสมือนจริง
สถาปัตยกรรมสร้างบนภูเขา ราวกับกำเนิดอยู่บนภูเขาลึกอย่างไรอย่างนั้น ยึดพื้นที่ทั้งเทือกเขาทั้งหมดไป ขนาดเท่ากับเขตบ้านเรือนของสมัยปัจจุบันที่เป็นที่นิยม ทั้งยังมีแต่จะมากกว่าไม่มีน้อยกว่าแต่อย่างใด
ที่นี่ไม่ใช่ปราสาทแต่อย่างใด และไม่ใช่อารามเต๋า รวมถึงวัดด้วย ที่นี่คือฐานที่ตั้งแห่งหนึ่งที่มีศักยภาพของเพลิงเสวน
หากเข้าไปดูใกล้ๆ ก็จะมองเห็นชัดเจนว่าบนสำนักจะมีอสูรเพลิงตัวใหญ่ที่วาดจากทองอยู่ด้วยหนึ่งตัว อีกทั้งรอบทิศก็ยังสามารถเห็นอสูรเพลิงสีแดงเพลิงตามทั่วไปได้ ทั้งน่าเกรงขามและยิ่งใหญ่ ไม่เคยอนุญาตให้ผู้ใดเหยียดหยามได้
ท้องสภาสีฟ้าอร่ามและมีหมอกปกคลุม ทำให้ทั้งสถาปัตยกรรมนี้ราวกับอยู่ในภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น ที่นี่อยู่ใกล้กับหนานหลิง ระยะห่างทางตรงไม่เกินสามร้อยลี้ ทว่าไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน และราวกับเป็นดินแดนสวรรค์ที่เห็นได้น้อยครั้งแห่งหนึ่ง
หลังผ่านประตูบานใหญ่อลังการเข้าไป ก็จะเห็นเป็นตำหนักกลางของสถาปัตยกรรม ตำหนักกลางนั้นยิ่งใหญ่และอลังการ สิ่งที่มองเห็นนั้นคือห้องโถงขนาดใหญ่ ส่วนชื่อของห้องโถงขนาดใหญ่นั้นคือห้องโถงจงรักภักดี คำว่าจงรักภักดีนั้นใช้ตัวอักษรจ้วนในการเขียน ช่างเป็นธรรมชาติราบรื่น แต่กลับไม่ขาดความน่าเกรงขาม
พรมปักลายเต็มทั่วพื้นที่ โดยปูตั้งแต่หน้าประตูไปจนถึงเก้าอี้มีพนักพิงที่สลักอสูรเพลิงตัวหนึ่งเอาไว้ ลวดลายที่ปักบนพรมนั้นก็คืออสูรเพลิงที่อ้าปากเห็นเขี้ยว และสองข้างของพรมนั้นคือเก้าอี้สิบแปดตัว ตั้งอยู่ด้านข้างทั้งสองอย่างสง่า ลำดับเท่านั้น ไม่มีอันใดเด่นกว่ากัน เพียงแค่การจัดเรียงเก้าอี้ก็มองออกได้ไม่ยากว่า นี่เป็นการจัดเรียงตามความหมายของกษัตริย์ในโบราณ
ทั้งห้องโถงทั้งหลังมีภาพของอสูรเพลิงเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้นั่ง หรือว่าคานห้องโถงจนกระทั่งผ้าม่านบาง ก็มีเช่นเดียวกัน
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ คนที่เข้าสู่ห้องโถงจงรักภักดีก็เร่งเข้ามาตามๆ กัน
คนเหล่านี้เป็นผู้อาวุโสและวัยกลางคนมากที่สุด ทุกคนต่างก็สวมชุดที่ไม่ใช่ของสมัยปัจจุบัน แต่เป็นเสื้อผ้าจีนโบราณชุดยาวสีคราม และยังมีบางคนที่ถึงขั้นไว้ผมเปียยาวๆ ด้วย ราวกับเป็นตระกูลขุนนางชนชั้นสูงในสมัยโบราณอย่างไรอย่างนั้น
ผู้คนที่มาต่างก็เข้านั่งประตำแหน่งของตนเอง เป็นจำนวน 18 คนไม่เยอะและไม่น้อยเกินไป ทว่าตำแหน่งตรงกลางของห้องโถงจงรักภักดีนั้น หรือก็คือเก้าอี้มีพนักพิงที่สลักอสูรเพลิงตัวนั้น กลับไม่เห็นมีผู้ใดเข้ามาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว
18 คนนี้เรียกว่าสิบแปดผู้อาวุโสเสวียนกู่!
ตำแหน่งสูงศักดิ์ สถานะไม่ต่ำ ต่อให้จะอยู่องค์กรภายในของเพลิงเสวนอันยิ่งใหญ่ ก็ยึดครองตำแหน่งแถวหน้าเช่นเคย แต่ละคนต่างก็มีสถานะที่สูงส่งทั้งนั้น
ทั้ง 18 คนก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยว่าเมื่อไรคนบนเก้าอี้จะมา ต่างก็เริ่มพูดคุยกันจอแจ
“ไม่รู้เหมือนกันเนอะว่าครั้งนี้ที่นายน้อยเรียกพวกเรามา มีเรื่องอะไรกันแน่? พวกท่านไม่รู้เลยว่าการมาที่นี่โดยไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น ภายใต้คนของตนเองนั้นมันเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวแค่ไหน”
“พอได้แล้วน่า ท่านน่ะหรือปวดหัว? ท่านไม่รู้อะไรว่าสถานที่ที่กระผมอยู่นั้น ถึงจะเรียกว่าความอึดอัด ข้างบนนั้นคือสาขาดำ ไม่รู้ว่ามีกี่สายตาที่จับจ้องมองกระผม พูดตามตรงไม่เกินไปเลยนะ กระผมไปเข้าห้องน้ำก็ยังมีคนติดตามเลย นี่มันไม่มีอิสระในมนุษย์โดยแท้จริง!”
“ก็จริง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม กระผมก็รู้สึกราวกับว่าพวกเราถูกจับได้แล้ว แค่คิดก็น่าเวทนาเหมือนกันนะ ที่ถูกคนของตัวเองจับตามอง อีกทั้งยังกัดไม่ปล่อยอีกด้วย น่าเวทนาจริงๆ เลย หลายครั้งที่กระผมคิดที่จะลงมือเสียแล้ว ทว่าเมื่อครุ่นคิดดูดีๆ การขาดสติทำอะไรโดยผลีผลามนั้น นี่มันคือความโชคร้ายของตระกูลเชียว”
“เฮ้อ ท่านปรมาจารย์แยกตัวเองบำเพ็ญตบะอยู่ ไม่มีผู้นำออกมา เพลิงเสวนจำต้องถูกเขาเล่นสนุกด้วยจนจบสิ้นแน่ ไม่รู้ว่าช่วงนี้พวกเขาจะมีแผนการอะไรมาอีก และไม่รู้ว่าจะส่งผลเสียหายต่อพวกเราแบบไหนบ้าง คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าไปผิดใจกับจอมพลแห่งประเทศหวา ช่างเป็นคนผู้น้อยที่ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดจริงๆ ผู้ที่ลำบากก็คงต้องเป็นพวกเราแล้วละ”
“……”
หลังสิ้นเสียงประโยคนี้ ทั้งหมดทุกคนต่างก็มีความทุกข์อยู่ในใจผุดขึ้นมาต่อเนื่องไม่หยุด พอมาคิดดูดีๆ แล้วก็จริง ถูกคนของตัวเองจับตามอง แค่คิดก็อัดอั้นตันใจจนถึงที่สุด ทั้งต้องการจะลงมือกลับไม่สามารถทำได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสียจริง
ทั้งห้องโถงใหญ่มีเสียงถกกันดังต่อเนื่อง คนกลุ่มหนึ่งโมโหขึ้นมา ทั้งน้ำลายก็กระจายออกมาไม่ขาดสาย เห็นได้ชัดว่ากักเก็บความโกรธเคืองมามากมายนัก ต้องการที่จะระบายมันออกมาภายในเวลาชั่วพริบตา
เว้นแต่ชายวัยกลางคนสองคนที่นั่งอยู่ข้างหน้า ไม่ได้เอ่ยอันใด สีหน้าเคร่งขรึมหนักแน่น
เสียงดังเซ็งแซ่ที่ราวกับอยู่ในตลาด ค่อยๆ เงียบลงช้าๆ ไม่น้อยคนมองไปยังสองคนนั้น
มีคนเอ่ยถามขึ้นมา: “พี่ใหญ่ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมหน้าตาท่านถึงได้เคร่งเครียดขนาดนี้”
เขาคือพี่ใหญ่ในสิบแปดผู้อาวุโสเสวียนกู่ นามว่าหลินซิง เป็นผู้ชายอายุ 50 ปี
หลินซิงสูบบุหรี่หนึ่งฟอด สายตามพลันมองไปยังเก้าอี้มีพนักพิงที่ว่างเปล่าเบื้องหน้าตน จึงได้เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม: “พวกเราถูกพวกมันเล่นงานแล้ว!”
ทั้งห้องโถงจงรักภักดีก็มีเสียงดังขึ้นมาเซ็งแซ่อีกครั้ง ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความโมโหและไม่พอใจ ผู้คนที่อยู่ในสถานที่แน่นอนว่าต้องทราบดีว่าที่หลินซิงบอกว่า พวกมันนั้นหมายความว่าเช่นไร เพียงแต่ไม่ทราบว่าถูกเล่นงานหมายความว่าอย่างไรเท่านั้น คนผู้นั้นเอ่ยซักถามต่ออีกครั้ง หลินซิงดับบุหรี่ที่อยู่ในมือ ส่ายหัวอย่างเอือมระอา และขณะที่เขากำลังจะอธิบายนั้น
ก็พบว่ามีเสียงเดินเท้าดังขึ้นมาจากด้านนอก จากนั้นก็มีเสียงอันน่าเกรงขามดังตามมา
“นายน้อยมาถึงแล้ว!”