จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 775 สิบแปดผู้อาวุโสเสวียนกู่ ตาย
ในที่สุดก็เผยเขี้ยวเล็บออกมาแล้วสินะ?
ชิงตี้สะดุดกึกในใจ เป็นอย่างที่เธอคาดคิดไว้ไม่มีผิด ฟางเหยียนรับปากว่าจะพบหน้านายน้อย ก็มาพร้อมกับแผนการทันที และตอนนี้เขาได้พูดออกมาด้วยตัวเอง โจมตีอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จนทำให้เธอเวียนหัว สับสนงุนงงไปหมดแล้ว
ชิงตี้กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของฟางเหยียนอย่างอ้อม ๆ กลายเป็นเพชฌฆาตที่ฆ่าพี่น้องพวกพ้อง!
เธอรู้ดี ว่าท่าทีที่ฟางเหยียนมีต่อเพลิงเสวน เป็นความแค้นที่ต้องเอาคืนด้วยเลือด จะแค่หัวเราะแล้วปล่อยผ่านไปได้ยังไง?
“นายน้อย ขอโทษค่ะ ฉัน ฉันคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเรื่องมันจะกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ ถ้ารู้อย่างนี้ ฉันคงไม่มีทางชักศึกเข้าบ้านเด็ดขาด”
นายน้อยส่ายหน้าเล็กน้อย ยังไม่ทันเอ่ยปากพูด หลินซิงก็ทนไม่ไหวชี้หน้าชิงตี้แล้วเอ่ยขึ้นมาด้วยความโมโห : “แค่ขอโทษคำเดียวมันชดใช้ชีวิตผู้ติดตามที่จงรักภักดีสองร้อยกว่าคนที่ตายไปได้เหรอ? ตอนนั้นไม่ควรให้เธอออกไป ตอนนี้เธอคิดจะหลีกเลี่ยงบาปที่เธอก่อไว้งั้นเหรอ? ฆ่าเธอให้ตาย ตายไปก็ไม่มีอะไรให้น่าเสียดาย!”
ชิงตี้ก้มหน้าไม่พูดจา ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด หลินซิงพูดถูก เมื่อสืบสาวราวเรื่องแล้ว เป็นชิงตี้เองที่พาฟางเหยียนกลับมา ชีวิตของคนสองร้อยกว่าคนควรต้องมีคนรับผิดชอบ ดังนั้นเธอจึงไม่มีอะไรให้ต้องคิดอีก ยอมจำนนต่อข้อกล่าวหาของหลินซิงแต่โดยดี
“เธอคิดว่าเงียบแล้วจะหลบหนีเรื่องนี้ไปได้เหรอ? ฉันบอกเธอไว้เลยนะชิงตี้ เรื่องนี้ไม่จบง่าย ๆ แน่!” หลินซิงกล้าล่วงเกินนายน้อยเสียที่ไหนกันล่ะ? จึงได้แต่โยนความผิดไปให้ชิงตี้ หลังจากพูดจบก็รู้เหมือนยังไม่หายโมโห เลยชี้หน้าชิงตี้อีกครั้ง “เธอพูดสิ ว่าเรื่องควรทำยังไง?”
ชิงตี้สีหน้ารู้สึกผิดมากขึ้นเรื่อย ๆ น้ำตาเหมือนหยาดน้ำฝน ที่หยดลงมาแหมะแหมะ : “ฉัน ขอตายชดใช้ความผิดค่ะ!”
“ตายชดใช้ความผิด? เธอล้อฉันเล่นหรือไง? ตอนนี้ ฉันมีเหตุผลที่จะเชื่อได้อย่างเต็มที่ ว่าเธอทรยศ ชีวิตของเธอแค่คนเดียวมันมีค่าเท่ากับชีวิตคนสองร้อยกว่าคนงั้นเหรอ?”
หลินซิงคุกคามอีกฝ่ายอย่างดุร้าย ขณะที่กำลังจะด่าทอกล่าวโทษชิงตี้ต่อ
นายน้อยที่เงียบมาโดยตลอดก็ได้ตวาดขึ้นมาอย่างโมโห : “พอได้แล้ว!”
หลินซิงจึงหยุดพูดอย่างไม่สบอารมณ์ สายตาที่มองไปยังชิงตี้ เต็มไปด้วยความร้ายกาจ สีหน้าของชิงตี้ดูลำบากใจมากขึ้นเรื่อย ๆ นายน้อยออกหน้าแทนเธอเป็นเรื่องที่ดี แต่จากที่เธอเห็น ยิ่งทำให้หลินซิงเกลียดแค้นตัวเองมากขึ้น
“หลินซิง นายกำลังสอนฉันอยู่หรือไง?”
หลินซิงก้มหน้าเล็กน้อย “นายน้อยครับ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
“งั้นนายหมายความว่ายังไง?” นายน้อยถามกลับ : “ฉันเป็นคนเชิญจอมพลมา ฉันเป็นคนบอกให้ชิงตี้เชิญมา ถึงจะไม่ได้ประโยชน์อะไรแต่ก็ยังได้ลงมือทำ นายพูดจาว่าร้ายเธออย่างนี้ เท่ากับว่านายกำลังตบหน้าฉันอยู่?”
“นายน้อย ผมเปล่าครับ”
นายน้อยแสยะยิ้ม : “งั้นนายหมายความว่า ฉันทรยศด้วยเหมือนกันสินะ?”
น้ำเสียงเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ อุณหภูมิของอากาศโดยรอบลดต่ำลงหลายองศา!
หลินซิงเอ่ยพูดเสียงสั่น : “เปล่าครับ นายน้อย ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริง ๆ ผม……”
“นายไม่ได้หมายความอย่างนั้นก็ดี ไม่อย่างนั้น……” พูดถึงตรงนี้ เขาก็เมินใส่หลินซิง แล้วหันไปมองฟางเหยียน : “จอมพล ขายหน้าคุณแย่เลย คุณวางใจเถอะครับ หากจอมพลยังไม่หายโมโห หัวของลูกน้องผม คุณเอาไปได้เลย”
ท่าทีจริงใจ คำพูดน่าเชื่อถือมาก
เมื่อเห็นฟางเหยียนกำลังจะเอ่ยพูดอีกแล้ว นายน้อยจึงยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดต่อไปว่า : “ฆ่าผมหนึ่งคน สามารถเปลี่ยนท่าทีของจอมพลได้ ผมตายไปก็ไม่เสียดายครับ แต่ผมเชื่อว่าจอมพลจะคิดว่า เก็บผมไว้จะมีประโยชน์กว่าฆ่าผมทิ้ง”
ฟางเหยียนเอ่ยพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ : “รู้ได้ยังไง?”
“เพราะจอมพลไม่ใช่จอมมารฆ่าคน ไม่อย่างนั้นชิงตี้คงไม่มีชีวิตมาจนถึงตอนนี้หรอกครับ”
“หล่อนมีของที่ฉันต้องการ ฉันเลยไว้ชีวิตหล่อน”
นายน้อยยิ้มเล็กน้อย : “จอมพลครับ ผมคิดว่าชิงตี้น่าจะเคยพูดเรื่องเพลิงเสวนกับคุณแล้ว ถูกต้องครับ เป็นอย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ เพลิงเสวนแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างทำตามใจตัวเอง พวกมันก่อความวุ่นวายให้กับเพลิงเสวน ทำชั่วตามอำเภอใจ พวกมันมีกำลังอยู่เหนือพวกเรา แอบกดขี่พวกเรา เพื่อลดกำลังของพวกเราลง นี่เป็นสิ่งที่พวกมันอยากเห็น”
เงียบไปครู่หนึ่ง พบว่าฟางเหยียนไม่ได้จะเอ่ยพูดอะไร นายน้อยจึงพูดต่อไปว่า : “ผมไม่ปฏิเสธว่าคนของเพลิงเสวนฆ่าพี่น้องของคุณ ผมก็เป็นคนของเพลิงเสวน ฉะนั้นแม้ว่าจอมพลจะฆ่าผม ผมก็จะไม่กล่าวโทษอะไร แต่ผมเชื่อว่า จอมพลไม่ใช่คนที่กระหายเลือดอย่างนั้น กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา ดังนั้นนี่คือเหตุผลที่ผมเชิญจอมพลมา”
“แกกำลังลบล้างความผิดให้ตัวเองงั้นเหรอ?”
นายน้อยตกใจเล็กน้อย เอ่ยพูดอย่างระมัดระวังและเกรงกลัว : “ไม่ใช่ครับ จอมพล ผมอยากให้คุณช่วยผม”
“แกเห็นฉันเหมือนคนโง่หรือไง?”
นายน้อยชะงักไป ทำให้จอมพลไม่พอใจเอาซะแล้ว จึงรีบพูดอธิบาย : “เปล่าครับ จอมพล ผมสามารถบอกทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ รวมถึงพวกมันด้วย!”
ทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่ายหากอยากบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ เพื่อจะจับที่พึ่งนี้เอาไว้ให้มั่น นายน้อยอย่างเขาก็ยอมทุ่มสุดตัว!
ฟางเหยียนรู้สึกสนุกขึ้นมาทันที เพลิงเสวนแตกแย่งเป็นสองฝ่าย นายน้อยคนนี้กล้าหาญเหนือใคร จึงถูกกดขี่อย่างหนักเป็นธรรมดา และเขาอยากใช้ฟางเหยียนมาสู้กับพวกมัน ต้องบอกเลยว่า นายน้อยคนนี้กล้าหาญเหลือเกิน คิดวางแผนมาถึงฟางเหยียน หากเทียบกับพวกไร้ยางอายเหล่านั้นที่รู้จักแต่วางแผนชั่วร้าย เขาถือว่าเป็นคนมีความสามารถที่หาได้ยากมากจริง ๆ
คนฉลาดจะรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ส่วนอะไรที่มันไม่จริง มีแต่จะทำให้ตัวเองโง่เขลา กลยุทธ์ทีเปิดเผยอย่างจริงใจของนายน้อยคนนี้ ทำให้ฟางเหยียนรู้สึกชื่นชมจริง ๆ โดยเฉพาะเขาที่เพิ่งอายุยี่สิบต้น ๆ แต่กลับมีแผนการที่ลึกล้ำเช่นนี้ ฟังดูแล้วก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย
เห็นฟางเหยียนครุ่นคิด นายน้อยจึงรู้สึกโล่งใจโดยไม่แสดงออก เขารู้ดีว่า ฟางเหยียนหวั่นไหวแล้ว จึงรีบหันไปมองชิงตี้ แล้วเอ่ยพูดเสียงเบา ๆ : “ชิงตี้ มัวเหม่ออะไรอยู่ รีบชงชาให้จอมพลสิ หากดูแลจอมพลไม่ดี ฉันจะสอบสวนเธอ”
ชิงตี้พยักหน้าอย่างรู้ตัว แล้วรีบเดินเข้าไปในตำหนักกลาง
เทียนขุยรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ ชงชาคือการขอโทษนี่นา หากฟางเหยียนเดินเข้าไปในตำหนักกลางแล้ว อยากจะฆ่าให้หมดสิ้นคงทำได้ยากแล้วล่ะ
เขาเอ่ยพูด : “จอมพลโผ้จวิน นี่เป็นแผนถ่วงเวลานะครับ ไอ้หมอนี่มันรู้ดีอยู่แก่ใจ รู้จักเอาศักดิ์ศรีของผู้แข็งแกร่งมาผูกมัดคุณ เพื่อแลกกับการมีชีวิตรอด! พวกเราอย่าเสียเวลาพูดกับมันเลย ฆ่าทิ้งซะเถอะครับ ความแค้นที่ต้องเอาคืนด้วยเลือดจำเป็นต้องล้างแค้นนะครับ!”
ฟางเหยียนยิ้มอย่างเรียบ ๆ : “ฆ่าต้องฆ่าอยู่แล้ว ฉันอยากดูว่าตกลงมันจะทำให้ฉันหวั่นไหวได้สักเท่าไหร่”
รอยยิ้มบนใบหน้านายน้อยนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็เลือนหายไปทันที เขาโค้งตัวลงต่ำทำมุมเก้าสิบองศา แล้วเอ่ยพูด : “เชิญท่านจอมพลเข้าไปในตำหนัก เพื่อหารือเรื่องใหญ่ด้วยกันครับ!”
เทียนขุยกลัวฟางเหยียนจะตอบตกลง จึงรีบเอ่ยโน้มน้าว : “จอมพลโผ้จวิน แค้นที่ต้องชำระด้วยเลือด ต้องล้างแค้นนะครับ!”
ฟางเหยียนเอ่ยพูดอย่างราบเรียบสบาย ๆ : “ไม่เป็นไร ลองฟังดูก่อนว่าเขาจะพูดอะไร”
ท่าทางยิ่งใหญ่ดั่งราชาที่มองคนอื่นด้วยสายตาดูถูกเผยออกมาชั่วขณะ นายน้อยรูม่านตาหดลงทันที แววตาเต็มไปด้วยความสุขุม พลังของผู้ทีเหนือกว่าคนนี้ทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ค่อยออก แต่ความสุขุมนั่นก็เปลี่ยนไปในชั่วพริบตา แววตาเปล่งประกายขึ้นมาแทน มีเขา ก็เพียงพอที่จะพลิกเกมแล้ว!
เทียนขุยได้แต่นิ่งเงียบอย่างไม่สบอารมณ์ แต่เขาหันหน้ากลับไปมองสามร้อยกว่าคนนั่น “หัวของพวกแกวางไว้บนตัวของพวกแกชั่วคราว อีกเดี๋ยว ฉันจะมาเอาไป!”
กว่าเกลี้ยกล่อมฟางเหยียนได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หลินซิงกลับหาเรื่องขึ้นมาอีกแล้ว!
“นายน้อยครับ ผมไม่เห็นด้วยที่จะให้มันเข้าไปในตำหนัก ตำหนักกลางเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่จะล่วงเกินไม่ได้นะครับ คุณจะให้เพชฌฆาตอย่างมันเข้าไปในตำหนัก จะไม่ทำให้ตำหนักกลางแปดเปื้อนเหรอครับ? นายน้อยได้โปรดคิดทบทวนด้วยเถอะ!”
ทบทวนบ้านแกสิ!
นายน้อยถึงกับอยากฆ่าเขาเลยทีเดียว!
แม่งเอ้ยถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะลอบหาเรื่องกูอีก ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริง ๆ ใช่ไหม?
นายน้อยมองหลินซิงด้วยสายตาอำมหิต : “แล้วความคิดของนายล่ะ?”
หลินซิงชะงักไป นายน้อยรับฟังแล้วเหรอ? เขากลับไม่รับรู้ถึงสิ่งปกติรอบตัวเลยแม้แต่น้อย ยังคงพูดจาฉะฉานต่อไป : “ความคิดของผม นั่นก็คือฆ่าเพชฌฆาตคนนี้ซะ เอาเลือดของมันมาบูชาให้กับคนเหล่านั้นที่ตายไป……”
เสียงของหลินซิงหยุดลงกะทันหัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกช็อกและหวาดกลัว!
ตอนนี้ เขารู้สึกแค่เย็นวูบวาบที่คอ เหมือนมีอะไรกำลังทะลักออกมา!
เมื่อก้มหน้ามอง ที่คอก็เหมือนน้ำพุไม่มีผิด เลือดสด ๆ พุ่งกระจายไปทั่ว!
เสียงเลือดสาดกระเซ็น……
หลินซิงเอามือกุมคอไว้ แววตาเต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง ปากพะงาบ ๆ แต่กลับพูดไม่ออกสักคำ ในที่สุดก็ล้มทั้งยืน ตายจากไป!
พี่ใหญ่ของสิบแปดผู้อาวุโสเสวียนกู่ตายแล้ว คนที่เหลือต่างพากันเงียบกริบ ทั้งขาทั้งท้องสั่นไม่หยุด
นายน้อยปรายตามอง : “ยังมีใคร ไม่เห็นด้วยอีกไหม?”