จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 830 เห็นคุณค่าของผู้อื่น
เทียนขุยหยุดเดิน จากนั้นก็มองไปรอบด้านที่มืดมิดจนมองไม่เห็นอะไรเลย พร้อมเอ่ยขึ้นเสียงทุ้มต่ำว่า: “โผ้จวินเหมือนว่าพวกเราจะไม่มีทางเดินต่อไปแล้ว”
เบื้องหน้านั้นคือคูน้ำที่พาดเป็นแนวยาว และเป็นหน้าผาลึกที่มองไม่เห็นก้น แม้แต่อุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยพื้นฐานก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้ ข้างๆ กำแพงล้อมรอบก็มีป้ายหนึ่งตั้งอยู่ เพื่อเป็นการเตือนนักท่องเที่ยว ว่าห้ามก้าวเข้ามา เบื้องหน้ามีอันตราย
ถูกคนแกล้งเล่นอย่างนั้นหรือ?
ฟางเหยียนกำลังคิดจะเอ่ยอันใด ทว่าอยู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ขอให้ท่านจอมพลให้อภัยด้วย ที่กระผมต้อนรับได้ไม่ทั่วถึง ดึกดื่นเช่นนี้ยังให้ท่านจอมพลมาที่นี่ด้วยตัวเอง เป็นเรื่องที่ไม่สมควรโดยแท้จริง แต่กระผมก็มีความลำบากใจที่ช่วยไม่ได้เช่นกัน จอมพลโปรดให้อภัยด้วย”
สิ้นเสียง ที่ห่างออกไปไม่ไกลจากทั้งสองคน มีชายชราผู้หนึ่งปรากฏตัว และเขาก็คือหลงเซี่ยวเทียน
เทียนขุยเดินหน้าหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ สีหน้าเตรียมพร้อมระวัง เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “แกเป็นใคร?”
เทียนขุยรับรู้ถึงความกระวนกระวายใจเป็นครั้งแรก ความรู้สึกที่ชายชราผู้นั้นให้กับเขามีเพียงความกดดัน ต่อให้ตอนนั้นเขาจะมีรอยยิ้ม แต่กลับเหมือนคนหน้าเนื้อแต่ใจเสืออย่างไรอย่างนั้น ทำให้เขาร้อนรนใจอย่างถึงที่สุด ไม่เพียงแต่เท่านั้น ความกดดันยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าอากาศที่อยู่รอบด้วยล้วนหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น ลึกซึ้งจนไม่อาจคาดเดา ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
นี่เป็นคนแรกนอกจากฟางเหยียนที่ทำให้เขารู้สึกว่าสุดยอดได้คนหนึ่ง
เป็นศัตรูหรือเป็นมิตร เขาไม่ทราบ ทว่าเวลานี้อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมาอย่างไร้เสียง น่าจะมีเจตนาที่ไม่ดี!
สำหรับคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไป แม้ว่าเทียนขุยจะกระวนกระวาย ก็ไม่เกรงกลัว กำบังหน้าฟางเหยียนเอาไว้ จากนั้นก็เอ่ยสอบถามขึ้นอีกครั้ง: “นายเป็นคนของเพลิงเสวน?”
ส่วนฟางเหยียนกลับมองสำรวจชายชราที่โผล่ออกมาอย่างมีความสนใจ นิ่งเงียบไม่พูดจา ความกดดันที่เทียนขุยรับรู้ ไม่ส่งผลใดๆ ต่อฟางเหยียนเลย ไม่เพียงเท่านี้ ตรงกันข้ามยังมีความรู้สึกราวกับเลือดเดือดดาลเล็กน้อยด้วย!
ถ้าชายชราเป็นคนของเพลิงเสวน ฟางเหยียนสามารถกำจัดเขาได้ภายในท่าไม้ตายทั้งสามแน่นอน!
หลงเซี่ยวเทียนชักสายตาที่มองฟางเหยียนกลับ ความชื่นชมในดวงตาไม่หยุดไปเลยแม้แต่น้อย ช่างเป็นคนวัยหนุ่มที่ประสบความสำเร็จแต่วัยเยาว์อย่างที่ว่ากันเสียจริง เป็นผู้แกร่งกล้าท่ามกลางผู้คน ลึกลับจนไม่อาจคาดเดาได้ หลังจากได้เห็นตัวจริงแล้ว อยู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าวิธีที่ตัวเองทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง!
แสดงถึงความชื่นชอบก่อน กับถูกบังคับให้ชื่นชอบ เป็นคนละเรื่องกัน!
เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง เอ่ยตรงไปตรงประเด็น: “ผมคือหลงเซี่ยวเทียนจากแก๊งเก้ามังกร”
หลงเซี่ยวเทียนจากแก๊งเก้ามังกร?
ไม่ใช่คนของเพลิงเสวน?
นี่ช่างน่าสนใจ!
เทียนขุยหันหน้ามองไปยังฟางเหยียน ภายในสายตาเต็มไปด้วยความฉงนใจ จึงเอ่ยถามว่า: “โผ้จวิน เอายังไง?”
ไม่ใช่คนของเพลิงเสวน กลับทำให้ฟางเหยียนเหนือความคาดหมายมาก!
หรือว่า…
แก๊งเก้ามังกรก็อยากจะมาร่วมด้วยอีกแรง?
ก็ดีเหมือนกัน จะได้ลดเรื่องยุ่งยากลงแล้ว!
“บอกจุดประสงค์ที่คุณให้ผมมาที่นี่”
น้ำเสียงของฟางเหยียนเบามาก ทว่าเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม!
บรรยากาศที่เดิมก็เย็นยะเยือกอยู่แล้ว กลายเป็นอุณหภูมิติดลบทันที หลงเซี่ยวเทียนยิ้มอย่างทำตัวไม่ถูก และขมขื่นมากเช่นกัน คนที่มีปัญญาต่างก็มองออก ว่าจอมพลโผ้จวินกำลังมีน้ำโหแล้ว!
หลงเซี่ยวเทียนยิ้ม จากนั้นก็ทำท่าทางแสดงถึงการเชื้อเชิญ: “ขอเชิญจอมพลไปพูดคุยกันบนเขาเถิด ถึงอย่างไรกำแพงมีหู ประตูมีตา”
ฟางเหยียนนิ่งเงียบครุ่นคิดชั่วครู่ เอ่ยว่า: “มีอะไรก็คุยกันที่นี่ ฉันไม่ชอบให้คนอื่นจูงจมูกเดิน!”
“จอมพล ได้โปรดระงับโทสะเถิด กระผมไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใดเลย แต่ว่ากระผมก็ลำบากใจจริงๆ รอให้ท่านมากับกระผมแล้ว กระผมจะบอกทั้งหมดเป็นแน่”
ฟางเหยียนเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นจึงได้ก้าวไปข้างหน้าทันที แต่กลับถูกเทียนขุยห้ามไว้ เขาส่ายหน้าเบาๆ : “โผ้จวิน ระวังหน่อย ตาแก่คนนี้จะต้องมีเจตนาไม่ดีอะไรแน่ๆ ”
หลงเซี่ยวเทียนแค่นหัวเราะ: “จอมพล แก๊งเก้ามังกรไม่ใช่เพลิงเสวน”
สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มตลอด ท่าทางนอบน้อม ยิ่งทำให้เทียนขุยจับจุดไม่ได้ยิ่งขึ้น
ฟางเหยียนเดินตามหลงเซี่ยวเทียนไปทันที ราวกับไม่ได้ลังเลใจเลย
เมื่อทั้งสามคนเข้าไป ตอนนี้มีแต่ความมืดที่แม้แต่ยื่นมือก็มองไม่เห็น สิ่งที่สายตามองไปก็ล้วนเป็นแสงเล็กๆ ของดวงดาวเต็มไปหมด บนตึกใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก มีไผโหลวยิ่งใหญ่อลังการแห่งหนึ่งตั้งอยู่ บนป้ายตึกนั้นมีตัวอักษรที่ใช้ทองเขียนว่า แก๊งเก้ามังกร และด้านล่างตัวอักษรทั้งสามนั้น คือหินแกะสลักมังกรยักษ์ดุร้ายเก้าตัว ดูคล้ายจริงแยกไม่ออก ราวกับมีชีวิตจริงๆ
เทียนขุยมองไปด้านหลังตามสัญชาตญาณ ใช้มือคลำดู สุดท้ายคว้าอากาศเปล่า ราวกับโลกที่ไร้ขอบเขต
น่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว!
เข้ามาที่นี่ก็ราวกับเข้ามายังโลกใหม่!
เทียนขุยจำได้อย่างกระจ่างแจ้งว่า พวกเขาได้เดินเข้ามาในพื้นที่ใกล้ส่วนกลางของภูเขาลึกแล้ว ไม่มีทางให้เดินต่อแล้ว ทว่าเบื้องหน้ากลับมีปราสาทที่ขว้างใหญ่ทรงพลังนุภาพแห่งหนึ่งปรากฏให้เห็น ปราสาทและยังมีภูเขาลูกใหญ่ นี่สิถึงจะเป็นภูเขาเก้ามังกรอย่างแท้จริง ที่นี่ไม่มีวี่แววถึงกลิ่นอายอุตสาหกรรมแม้แต่นิดเดียว สถานที่ที่มองเห็น ล้วนเป็นสถาปัตยกรรมโบราณ ราวกับเป็นดินแดนเซียนในโลกมนุษย์
หลงเซี่ยวเทียนมองออกถึงความฉงนใจของเทียนขุย จึงยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยอธิบาย: “จอมพลไม่ทราบล่ะสิ นี่แหละถึงจะเป็นภูเขาเก้ามังกรโดยแท้จริง และก็คือสถานที่ตั้งกองกำลังของแก๊งเก้ามังกรอย่างแท้จริง บนภูเขาเก้ามังกรมีค่ายกลเก้ามังกรหนึ่งแห่ง ก็คือค่ายกลนี้ที่แบ่งแยกทุกอย่างออก คนข้างนอกไม่มีทางที่จะสืบเสาะหาที่นี่เจอ แต่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะสามารถเห็นด้านนอกได้อย่างง่ายดาย”
เทียนขุยเอ่ยอย่างสงสัย: “น่าอัศจรรย์ขนาดนี้เลยเหรอ?”
“รองผู้นำเทียนขุย นี่คือภูมิปัญญาที่เหล่าบรรพบุรุษร่วมแรงร่วมใจก่อตั้งมา ต่อให้กาลเวลาจะผ่านไปเป็นพันกว่าปี ค่ายกลเก้ามังกรก็ไม่เคยที่จะเลือนหายไปแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่อยู่บนสถานที่ตั้งกองกำลังป่าไม้แก๊งเก้ามังกร ต่อให้จะยืนอยู่บนท้องฟ้าสูง ล้วนไม่สามารถมองเห็นร่องรอยที่แท้จริงออก พูดตรงๆ หน่อยก็คือ แก๊งเก้ามังกรเราถูกควบคุม ถูกลบล้างแล้ว!”
ขณะที่พูดนั้น หลงเซี่ยวเทียนก็ชี้ไปยังเสายักษ์เก้าแท่งรอบด้านของแก๊งเก้ามังกรที่ซ่อนอยู่ เอ่ยต่อว่า: “เสายักษ์เก้าแท่งนี้ โครงของมันมาจากดาวเก้าดวงบนท้องฟ้า เสายักษ์เหล่านี้ไม่ใช่เสายักษ์ธรรมดา แต่เป็นกระดูกของมังกร!”
“กระดูกของมังกร?” เทียนขุยตะลึงงันอีกครั้ง ทำให้เขาเปิดโลกทัศน์ใหม่ทั้งหมดเลยจริงๆ ก่อนอื่นคือสำนักฉิวหลง อีกทั้งตอนนี้คือแก๊งเก้ามังกร เขาเหมือนจะเข้าใจคำพูดของฟางเหยียนขึ้นเรื่อยๆ แล้ว สิ่งที่นายไม่รู้ไม่ได้แสดงว่ามันไม่มี!
ฟางเหยียนกลับใจเย็นเป็นอย่างมาก จ้องมองกระดูกมังกรเก้าแท่งนั้น ก็ตกอยู่ในห้วงความคิด: “เพราะงั้น ตำนานนั้นเป็นเรื่องจริง?”
หลงเซี่ยวเทียนพยักหน้า: “จริงๆ ตำนานที่มาของภูเขามังกรนั้นเป็นเรื่องจริง เมื่อนานมาแล้ว องค์ชายน้อยก่อเรื่องวุ่นวาย ทำให้สวรรค์โกรธเข้า และองค์ชายน้อยของราชันมังกรแม่น้ำจิ้งได้รับการลงโทษ ดังนั้นจึงอยู่ได้ถึงครึ่งเดือน กระดูกมังกรที่อยู่ใกล้พวกเราที่สุดที่คุณเห็นตอนนี้ ก็คือหัวมังกรของราชันมังกรแม่น้ำจิ้ง กระดูกมังกรแปดชิ้นที่เหลือ ก็คือองค์ชายน้อยที่ถูกหั่นเป็นแปดชิ้น”
“แม่เจ้า! ตำนานเป็นเรื่องจริงเหรอเนี่ย?”
สำหรับความประหลาดใจของเทียนขุย หลงเซี่ยวเทียนยิ้มอย่างราบเรียบ: “รองผู้นำเทียนขุย ไม่ใช่ตำนานหรอก แต่เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่พวกเราจงใจแพร่ออกไปต่างหาก จุดประสงค์ก็คือให้คนทั้งโลกทราบว่าแก๊งเก้ามังกรนั้นทำอะไรอันแน่?”
“เพราะฉะนั้น แก๊งเก้ามังกรถือเป็นสิ่งที่สะกดความคิดชั่วร้ายขององค์ชายน้อยไว้อย่างนั้นเหรอ?”
หลงเซี่ยวเทียนพยักหน้า: “ที่จอมพลพูดมาไม่มีผิด ตั้งแต่ที่แก๊งเก้ามังกรสร้างสำนักขึ้นมา หน้าที่ของพวกเราก็คือระงับความยึดติดขององค์ชายน้อย แม้ว่าเขาจะถูกตัดเป็นแปดชิ้น ทว่าดวงวิญญาณยังไม่ไปไหนมาตลอด ดังนั้นตราบใดที่ยังมีแก๊งเก้ามังกรอยู่ องค์ชายน้อยก็ไม่มีทางออกไปจากโลกนี้”
เทียนขุยมึนไปทันที หรือว่าบนท้องฟ้าจะมีเทพเซียนจริงๆ ?
เขาอยากจะสอบถามออกไปมาก ทว่าเป็นกังวลว่าจะถูกฟางเหยียนรังเกียจว่าไร้ความรู้
“ดังนั้น จุดประสงค์ที่คุณให้ผมมาคือ?”
หลงเซี่ยวเทียนยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้นว่า: “จอมพล แก๊งเก้ามังกรเราไม่มีเจตนาร้าย ขออภัยที่ผมต้องระมัดระวังขนาดนี้ มันช่างทุกข์ทรมานจนไม่อาจทนได้ ต้องขอเรียนเชิญให้เดินหน้าไปยังตำหนักกลาง ผมจะต้องบอกทุกสิ่งให้กับจอมพลแน่นอน และจะได้ให้ผมได้ต้อนรับแขกอย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน”
หลงเซี่ยวเทียนระมัดระวังเป็นอย่างมาก ต่อให้จะมาถึงที่ของตัวเองแล้ว ก็ยังคงไม่ยอมที่จะปริปากพูดออกมา กลับยังคงระมัดระวังอยู่เช่นเดิม
“ไปเถอะ”
หลงเซี่ยวเทียนเดินนำทาง และอีกไม่นานทั้งสามคนก็มายังตำหนักกลาง หลังจากที่ทั้งสามเข้าสู่ปราสาทแล้ว คนที่อยู่ในตำหนักกลางทั้งหมดก็ยืนขึ้นต้อนรับ ด้วยท่าทีที่เคารพนอบน้อม กวาดตามองก็เห็นทันที
เข้านั่งประจำที่!
หลงเซี่ยวเทียนรู้จักการแยกแยะลำดับของคนใหญ่คนโต ตำแหน่งกลางได้ให้ฟางเหยียนเข้าไปนั่ง ส่วนเขานั่งอยู่ข้างๆ
“จอมพล ท่านไม่รู้อะไร ที่พวกเราระมัดระวังแบบนี้ นอกจากที่จะต้องการปกปิดจากสายตาของเพลิงเสวน และต้องการที่จะรับประกันความปลอดภัยสงบสุขของแก๊งเก้ามังกรด้วย และแน่นอนว่า การพูดแบบนี้มันเห็นแก่ตัวเกินไป แต่ว่าแก๊งเก้ามังกรตั้งแต่ที่ตั้งสำนักขึ้นมา ก็ไม่เคยออกไปจากภูเขาเลย และยิ่งไม่ได้หยิบยืมแก๊งเก้ามังกรมาตบตาหลอกลวง ดังนั้นต้องขอให้ท่านจอมพลให้อภัยด้วย นี่ก็คือความลำบากใจของกระผม”
ฟางเหยียนโบกมือไปมา ราวกับว่าเขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลงเซี่ยวเทียนจึงได้ระมัดระวังถึงเพียงนี้
“จอมพล จากที่ผมได้ยินมา ตอนนี้ในมือของจอมพลมีสมบัติล้ำค่าของสำนักนินจาที่ยิ่งใหญ่อยู่บ้าง…”