จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 838 มองการณ์ไกล
“จอมพลคะ ครั้งนี้บกพร่องในหน้าที่จริง ๆ แต่ความภักดีของพวกเราที่มีต่อคุณนั้นเป็นความจริง ฉันบอกความจริงกับคุณก็ได้ สำหรับเรื่องนี้ เสวียนเย่ถูกเสวียนเจิ้นหมายหัวเอาไว้แล้ว นี่ไม่ใช่กลยุทธ์ทุกข์กายที่ยอมเจ็บตัวเพื่อให้ศัตรูเชื่อใจ แต่เป็นการหยั่งเชิงครั้งสุดท้ายของเสวียนเจิ้น ถ้าหากพวกเราเลือกฝั่งเมื่อไหร่ ก็จะไม่มีการรับประกันตำแหน่งของพวกเรา เรียกได้ว่าครั้งนี้เป็นศึกตัดสินครั้งสุดท้าย!”
ฟางเหยียนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยพูด : “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็บอกฉันมาว่าสำนักงานใหญ่ของเพลิงเสวนตั้งอยู่ที่ไหน มีเพียงแบบนี้เท่านั้น พวกเธอถึงจะมีสิทธิ์เจรจาเงื่อนไขกับฉัน!”
ความเชื่อใจเกิดช่องโหว่ขึ้นมา จะทำให้เป็นเหมือนเดิมได้ยังไงล่ะ?
ชิงตี้นิ่งเงียบ และทำได้แค่นิ่งเงียบ พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว เธออยากจะหักหลังเสวียนเย่แล้วบอกตำแหน่งที่ตั้งของเพลิงเสวนให้ฟางเหยียนรู้ไปเลย แต่เธอทำไม่ได้ ไม่เพียงแค่บอกไม่ได้เท่านั้น แต่ถ้าบอกข้อมูลนี้ออกไป ชิงตี้ต้องเจอกับภัยอันตรายแน่นอน
แต่เงื่อนไขของเสวียนเย่ไม่สามารถทำให้ฟางเหยียนพึงพอใจได้ ไม่มีเงื่อนไขที่เท่าเทียมในการเจรจา!
“เอาล่ะ ชิงตี้ เห็นแก่ที่เธอเคยช่วยเหลือฉันเอาไว้ ตอนนี้เธอไปได้แล้ว ฉันรับปากว่าจะไม่ฆ่าเธอ แต่ถ้าหากเธอยังดึงดันที่จะไม่ไป งั้นก็ต้องขอโทษด้วย ฉันจะไม่ให้โอกาสเธออีก ไม่สนว่าเธอจะเป็นใคร!”
สายน้ำไม่อาจหวนคืน เรื่องที่พลาดไปแล้วยากจะกลับไปแก้ไข!
ไม่มีใครเพิกเฉยต่อเรื่องแบบนี้ได้หรอก ถ้าเพียงแค่เสวียนเย่ไม่ได้แสดงความภักดี ชิงตี้สามารถหาวิธีอื่นอีกมากมายมาพูดหว่านล้อมฟางเหยียนได้ แต่ว่าตอนนี้ กลับไม่มีสักวิธี กลับกันยังทำให้ความสัมพันธ์ยิ่งแย่มากขึ้นไปอีก!
“ต้องทำอย่างนั้นจริง ๆ?” ชิงตี้พึมพำในใจ
ขณะที่หันไปมองฟางเหยียน แววตามีความสับสนลังเล ดูเหมือนมีเพียงวิธีนี้ ที่ตัวเองจะสามารถกระชับความสัมพันธ์ได้!
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ชิงตี้ก็คิดขึ้นมาได้ แล้วเอ่ยพูดอย่างไม่มีทางเลือก : “จอมพลคะ ฉันไม่สามารถบอกตำแหน่งที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของเพลิงเสวนได้ แต่ฉันสามารถบอกเรื่องสายลับของเสวียนเจิ้นกับคุณได้ คุณสามารถกำจัดสายลับพวกนี้ แบบนี้เสวียนเจิ้นก็เหมือนเสียดวงตาไป เพลิงเสวนในตอนนั้นจะเป็นเหมือนคนตาบอด เสวียนเจิ้นที่ไม่มีดวงตา ก็ไม่สามารถทำอะไรได้อย่างเหิมเกริม นี่เป็นสิ่งที่ฉันยอมประนีประนอมมากที่สุดแล้ว!”
เงื่อนไขเรื่องนี้ของชิงตี้ เป็นการประนีประนอมอย่างถึงที่สุดของเธอแล้ว ไม่สามารถบอกเรื่องสำนักงานใหญ่ของเพลิงเสวนได้ แต่เรื่องสายลับสามารถบอกได้!
นี่ไม่ใช่การเล่นลูกไม้อะไร แต่เธอคิดไตร่ตรองอยู่นานมากถึงจะคิดวิธีนี้ออกมาได้!
ทั้งไม่ผิดต่อวัตุประสงค์และเจตนาของเสวียนเย่ และสามารถซ่อมแซมรอยร้าวความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นได้ ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!
สายลับ?
ได้ยินประโยคนี้ เทียนขุยดีใจขึ้นมาทันที!
สายลับของเพลิงเสวน ลึกลับไม่น้อยไปกว่าหน่วยข่าวกรองของสำนักเจ็ดพิฆาตเลย หากกำจัดสายลับของพวกมันได้ เสวียนเจิ้นก็จะเป็นคนตาบอดจริง ๆ ถึงเวลานั้นใครจะสามารถสืบหาความเคลื่อนไหวของเขาได้อีกล่ะ? คิดดูแล้วก็จริง ทุกครั้งไม่ว่าไปที่ไหนก็จะมีสายตาคอยจับจ้องอยู่ตลอด เป็นใครก็ทนไม่ได้ทั้งนั้นแหละ!
แม้ว่าจะไม่รู้ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของเพลิงเสวน แต่อย่างน้อยสามารถฆ่าคนของเพลิงเสวนได้สักหน่อย ก็ถือว่าคุ้มค่า!
แต่ฟางเหยียนไม่ได้คิดอย่างนั้น!
สายลับถือเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวตัวเลือกหนึ่ง แต่ไม่สามารถจัดการได้โดยไม่มีช่องโหว่ ถ้าเกิดกำจัดสายลับไปไม่ได้ ความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป เสวียนเจิ้นจะต้องรู้ตัวแน่นอน ตอนนี้ไม่เหมาะที่จะทำเรื่องแหวกหญ้าให้งูตื่น!
เย่ชิงหยู่ถูกจับตัวไป เป็นตายก็ยังไม่รู้เลย ถ้าเกิดเสวียนเจิ้นกลายเป็นหมาจนตรอกขึ้นมา อาจทำให้เย่ชิงหยู่มีอันตรายถึงแก่ชีวิตเลยก็ได้
เทียนขุยกระซิบเสียงเบา : “จอมพลโผ้จวินครับ ยัยนี่ท่าทางจะร้อนใจจริง ๆ แม้แต่เรื่องสายลับก็ยอมพูดออกมา ดูเหมือนสามารถทำได้อยู่นะครับ!”
ฟางเหยียนเอ่ยพูดเสียงขรึม : “หมาเวลามันจนตรอกมันทำได้ทุกอย่าง เสวียนเจิ้นไม่ใช่คนโง่ รู้หรือเปล่าว่าอะไรที่เรียกว่าสายลับ? ก็เหมือนกับหน่วยข่าวกรองของสำนักเจ็ดพิฆาตนั่นแหละ หากขาดการติดต่อไป จะพังทลายไปทั้งระบบ นายคิดว่าเสวียนเจิ้นเป็นเด็กอายุสามขวบหรือไง? ต้องบอกว่า การที่ชิงตี้ทำเพื่อชดเชยความผิดนั้น ต้องแลกกับอะไรมากมายจริง ๆ แต่สิ่งนี้สำหรับฉันแล้ว มันไม่มีค่าอะไรเลย!”
เทียนขุยยิ้มอย่างฝืด ๆ ฆ่าคน เป็นสิ่งที่เขาชอบมากที่สุดแล้ว โดยเฉพาะคนของเพลิงเสวน!
แต่ฟางเหยียนไม่ออกคำสั่ง ถึงแม้เขาจะมีพละกำลังมากแค่ไหน ก็ทำได้แค่หยุดนิ่งอยู่เฉย ๆ!
“จอมพลโผ้จวินครับ ผมคิดว่าที่ยัยจอมมารพูดมาก็ถูกนะครับ พวกเรากำจัดสายลับก่อน ถือว่าเป็นการทำให้เสวียนเจิ้นตาบอด ทุกวันถูกไอ้นี่จับจ้อง ผมอึดอัดมากเหลือเกิน ฉะนั้นผมคิดว่าเรื่องนี้สามารถทำได้ แต่ผมเชื่อว่าคุณน่าจะมีวิธีการ ฉันอยากลองฟังดูครับ”
“ง่ายมาก สายลับมีความสลับซับซ้อนมาก ไม่ได้กำจัดง่ายขนาดนั้น ถ้าเกิดฐานที่มั่นต่าง ๆ ขาดการติดต่อไป แสดงว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว เย่ชิงหยู่ยังอยู่ในมือของเสวียนเจิ้น ฉะนั้นต้องหาเธอได้พบก่อน ไม่อย่างนั้นพวกเราไม่สามารถทำอย่างนี้ได้จริง ๆ”
เทียนขุยพยักหน้าเหมือนเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง : “เป็นแบบนี้นี่เอง จอมพลโผ้จวินครับ ผมมองสั้นเกินไป มองเรื่องนี้เพียงผิวเผิน จึงทำให้เรื่องยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่ ติดตามคุณมานานขนาดนี้ แม้แต่จุดนี้ก็ยังมองไม่ขาด น่าอายจริง ๆ เลยครับ”
“เทียนขุย นายทำดีมากแล้วล่ะ เก็บอารมณ์เคียดแค้นของตัวเองเอาไว้ คนที่มีปณิธานแน่วแน่ยังไงก็ต้องประสบความสำเร็จ!”
เมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนดูไม่ปกติ ชิงตี้จึงครุ่นคิดแล้วเอ่ยพูด : “จอมพลคะ นี่เป็นสิ่งที่ฉันยอมทำสุดความสามารถแล้ว ฉันรู้ว่าเรื่องนี้เทียบไม่ได้เลยกับเรื่องตำแหน่งที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของเพลิงเสวน แต่นี่เป็นวิธีชดใช้ความผิดที่ฉันสามารถทำอย่างสุดความสามารถแล้ว”
“เธอไปเถอะ ก่อนที่ฉันจะโมโห!”
ชิงตี้ครุ่นคิดแล้วหมุนตัวจะเดินจากไป เหมือนเมื่อก่อน ที่ไปทันทีโดยไม่รีรอ!
วินาทีที่หมุนตัวกลับไป ชิงตี้เหมือนหัวใจแหลกสลาย อาการดูไม่สู้ดี อยากร้องไห้แต่กลับร้องไม่ออก เธอไม่หวังให้ฟางเหยียนให้อภัย แต่ก็ไม่หวังให้ตัวเองกลายเป็นศัตรูของเขา ทั้งสองคนเคยตัวติดกันเหมือนกับคู่รัก แต่ตอนนี้กลายเป็นคนแปลกหน้าที่ผ่านทางมาเท่านั้น
เป็นอย่างประโยคนั้น ที่หากเจอกันอีกครั้งคือคนแปลกหน้า!
เธอไม่ชอบชีวิตแบบนี้เลย แต่ไม่สามารถหนีไปจากเพลิงเสวนได้ เพราะนั่นเป็นสถานที่ที่เลี้ยงดูเธอมา นั่นเป็นบ้านของเธอ และเป็นที่ที่เธอไม่สามารถหลีกหนีไปได้
“จอมพลโผ้จวินครับ ดูสีหน้าคุณไม่ค่อยปกติเลยนะ” เทียนขุยพูดแซว : “ดูท่าทางคุณเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือนี่เรียกว่าความรักอย่างที่เขาพูดกัน?”
“ปึก!” ฟางเหยียนเขกหัวเทียนขุยไปหนึ่งครั้ง “ความรัก? กล้าล้อฉันเล่นงั้นเหรอ?”
เทียนขุยหัวเราะแหะ ๆ : “พักเรื่องที่ชิงตี้เป็นยัยนางมารเอาไว้ก่อน แต่หล่อนก็หน้าตาไม่ขี้ริ้วขี้เหร่นะครับ คุณแข็งใจปล่อยหล่อนไปได้จริง ๆ เหรอ?”
“นายยังไม่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์อีกเหรอ! ติดตามฉันมาตั้งนาน เปล่าประโยชน์จริง ๆ!”
ฟังถึงตรงนี้ เทียนขุยก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าว ๆ!
ใช่แล้ว!
เขารู้สึกเหมือนถูกฟางเหยียนตบเข้าที่หน้าอย่างจัง!
เมื่อครู่นี้ตัวเองเพิ่งพูดว่าตัวเองมองสั้นเกินไป ไม่รู้จักมองการณ์ไกล มองไม่เห็นเนื้อแท้ของเรื่องราว ตอนนี้จึงถูกสั่งสอนไปอีกหนึ่งยก
ครั้งนี้ถูกตอกหน้าเร็วเกินไป เร็วจนเขาตั้งรับไม่ทัน ใช่แล้ว!
เจ็บหน้าจัง เจ็บไปทั้งสองข้างเลย!
“จอมพลโผ้จวิน จู่ ๆ ผมก็รู้สึกว่า ถูกคนตบหน้าเป็นครั้งแรก รู้สึกไม่น่ายินดีขนาดนี้ ผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ นี่มันคืออะไรกัน?” เทียนขุยเกาหัวด้วยความเคอะเขิน เอ่ยพูดด้วยสีหน้าเขินอาย
“หากไม่ได้ครอบครองก็จะกระวนกระวายใจ แต่เมื่อได้ครอบครองแล้วก็ไม่รักษาไว้ให้ดี เข้าใจหรือยัง?”
เทียนขุยยิ้ม : “ประโยคนี้ไม่ยากที่จะเข้าใจ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ”
เทียนขุยส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เทียนขุยเป็นคนคิดอะไรตื้นเขิน รู้จักใช้แต่กำลัง เหตุผลง่าย ๆ อย่างนี้ยังไม่เข้าใจ? จึงจำใจพูดด้วยความอดทนว่า : “ถ้าหากพวกเราตอบตกลงชิงตี้ไปง่าย ๆ ขนาดนั้น พวกเขาก็จะคิดว่าพวกเราพึงพอใจอะไรง่าย ๆ แต่ถ้าหากครั้งนี้พวกเราไม่ตอบตกลงพวกเขา งั้นสำหรับหล่อนแล้ว จะเกิดความรู้สึกเจ็บใจและโกรธ ถ้าเปลี่ยนเป็นนาย นายจะทำยังไง?”
เมื่อเห็นท่าทางตั้งใจครุ่นคิดของเทียนขุย ฟางเหยียนก็ยิ้มออกมา ท่าทางอย่างนี้เหมือนเด็กที่หงุดหงิดหัวเสียเพราะโจทย์คณิตศาสตร์เลย เหงื่อออกเต็มหน้าแต่กลับไม่รู้จะทำยังไง!
ฟางเหยียนหัวเราะแล้วเอ่ยพูด : “ถ้าหากนายถูกปฏิเสธ นายคงต้องยอมแพ้อย่างแน่นอน ไม่ตอแยเรื่องนี้อีก แต่ชิงตี้กับเสวียนเย่กลับไม่ปฏิเสธ เพราะพวกเขาไม่มีทางเลือก เสวียนเจิ้นกดดันพวกเขาอยู่อีกทาง หากต้องการจะยืนหยัดขึ้นมาได้จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากคนนอก ซึ่งคนนอกคนนั้นนอกจากฉัน ก็ไม่มีใครอื่นอีก!”
“อ๋อ……” เทียนขุยส่งเสียงออกมาเหมือนพอเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว : “ฉะนั้นหากพวกเขาไม่อยากถูกปฏิเสธ ก็จะยิ่งยอมเสียอะไรมากกว่าเดิมเพื่อเอาใจคุณ ถูกไหมครับ?”
“ในที่สุดนายก็เข้าใจสักที!”
เทียนขุยไม่ได้ดีใจที่ถูกชื่นชม แต่เอ่ยถามกลับไปว่า : “จอมพลโผ้จวินครับ ถ้าเกิดพวกเขาไม่ได้คิดอย่างนี้ล่ะครับ?”
ฟางเหยียนครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า : “ชิงตี้อาจจะใช่ แต่เสวียนเย่ต่างออกไป ชิงตี้ยึดติดกับอารมณ์ความรู้สึก แต่เสวียนเย่รู้ดีว่าตัวเองต้องการอะไร!”