จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 847 เกราะทองเบญจธาตุ
นักรบเกราะทองสูงราวสองเมตร รูปร่างสูงใหญ่กำยำ แขนใหญ่เอวหนา ระหว่างเอวเหน็บดาบยาวใหญ่ไว้หนึ่งเล่ม เหมือนกับทหารในสมัยโบราณ ดูทรงพลังฮึกเหิม ยโสโอหัง!
เมื่อนักรบเกราะทองแข็งแรงดีก็ยิ่งดูชัดเจนมากยิ่งขึ้น สามารถมองเห็นความพิเศษระหว่างคิ้วของเขาได้ ความเหิมเกริมที่แสดงออกมาให้เห็น ได้แอบซ่อนใจที่พลุ่งพล่านเอาไว้ ภายนอกที่ดูหยาบกระด้าง หนวดเคราเต็มใบหน้า โดยเฉพาะดวงตาที่โตเหมือนกระดิ่งของเขา ถึงไม่แสดงอาการออกมา ก็ดูน่าเกรงขามทรงพลังมาก!
ใบหน้าค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่าง เสื้อคลุมโบกสะบัดไปมา อย่างทรงพลัง!
เทียนขุยอึ้งมาก ได้แต่พึมพำคนเดียวว่า : “นี่มันนักรบเกราะทองที่ไหนกัน เหมือนกับเทพสงครามไป๋ฉี่ไม่มีผิด!”
ถูกต้อง!
นักรบเกราะทองที่สร้างเสร็จรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเทพสงครามไป๋ฉี่ยังไงยังงั้น!
“จอมพลโผ้จวินครับ พวกเราเจอตอแข็งเข้าให้แล้ว!” เทียนขุยพูดอย่างขมขื่น : “นักรบเกราะทองนี่เกินนินจาระดับปรมาจารย์แล้ว ได้อยู่ในระดับปรมาจารย์ชั้นยอดที่แสนน่ากลัว ลมหายใจยังคงพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าจะทะลุถึงระดับยอดดาวเหนือหรือเปล่า!”
ฟางเหยียนรู้ดีว่า นักรบเกราะทองที่สร้างขึ้นมานี่คงไม่เกินระดับยอดดาวเหนือหรอก! ระดับยอดดาวเหนือเดิมทีเป็นการทำผิดกฎสวรรค์ พูดให้เข้าใจหน่อยก็คือ อยากก้าวสู่ระดับยอดดาวเหนือ จำเป็นต้องได้รับโทษนภา เหมือนอสูรร้ายที่ต้องฝึกฝนผ่านด่านเคราะห์กรรม ที่เห็นได้บ่อยก็คือด่านเคราะห์กรรมของนางพญางูขาว เมื่อได้รับโทษนภาก็บินทะยานสู่ท้องฟ้าได้ แต่เงื่อนไขนี้หนักหนาสาหัสมาก เพราะเป็นการทำผิดกฎสวรรค์ ไม่ใช่ใครจะทำสำเร็จได้ง่าย ๆ อย่างเช่นเรื่องมังกรที่หยิงโข่วที่โด่งดัง มันคือความล้มเหลว!
อีกอย่าง ชายชราทั้งห้าคนนี้ นอกจากคนตรงกลางที่พลังถึงระดับปรมาจารย์ อีกสี่คนที่เหลือล้วนเป็นนินจาระดับต้าชี่ชั้นยอด ดูเหมือนห่างอีกแค่ก้าวเดียว แต่ก้าวเดียวนี้ ผลลัพธ์แตกต่างกันมาก!
บางครั้งแสวงหานินจาระดับปรมาจารย์มาทั้งชีวิต สุดท้ายกลับต้องเสียดายไปตลอดชีวิต เสียใจไปจนตาย เพียงเพราะเมื่อใกล้ถึงประตูไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถประสบความสำเร็จได้ง่าย ๆ แม้ว่าเขาจะฉลาดและมีพรสวรรค์ อายุยังน้อยก็ไต่ถึงระดับต้าชี่ชั้นยอดได้แล้ว แต่หากอยากไปถึงระดับปรมาจารย์ หากไม่มีเวลาและโอกาสที่เหมาะสม เกรงว่าตายไปก็คงไม่สามารถสมใจปรารถนา!
ชีวิตของนินจาก็เหมือนกับการฝึกวรยุทธ เมื่อมาอยู่ปากขวด ถึงแม้จะฝึกฝนไปทั้งชีวิต สุดท้ายก็ไม่สามารถทำลายปากขวดออกไปได้!
มีคนพูดว่าหนทางของนินจานั้นอ้างว้างและโดดเดี่ยวมาก คำพูดนี้พูดไม่ผิดเลยสักนิด ถ้าหากคุณก้าวสู่จุดสุดยอดได้ ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวคุณล้วนเป็นคนธรรมดา พวกเขาก็จะห่างคุณออกไปเรื่อย ๆ คุณได้แต่ฝึกฝนต่อไปอย่างโดดเดี่ยว กลายเป็นคนที่แก่ตายไปคนเดียวเหมือนอย่างที่คนธรรมดากล่าวไว้!
กลับมาพูดถึงทหารเกราะทองที่สร้างขึ้นมา ต้องเอ่ยถึงสักหน่อย พลังของชายชราทั้งห้าคนนั้น ถ้าหากทั้งห้าคนล้วนเป็นนินจาระดับปรมาจารย์ ทหารเกราะทองตัวนี้คงสามารถเกินระดับยอดดาวเหนือไปได้ แต่ปัญหาก็คือพวกเขาไม่ใช่ระดับปรมาจารย์ทุกคน ดังนั้นฟางเหยียนจึงมั่นใจมากว่า ทหารเกราะทองที่ถูกสร้างขึ้นมาจะไม่มีทางเกินระดับยอดดาวเหนือแน่นอน!
ระดับยอดดาวเหนือเรียกได้ว่าเป็นเพดานของนินจา เป็นระดับสูงที่สุด จนถึงตอนนี้ฟางเหยียนยังไม่เคยเห็นเฒ่าประหลาดที่อยู่ในระดับยอดดาวเหนือที่แท้จริงเลย หรืออาจจะมีคนทำได้แล้ว ไม่นับเต๋ายอดเซียนเหรอ?
ต้องบอกเลยว่า เมื่อเอ่ยถึงเต๋ายอดเซียน ถือว่าเป็นคนที่มีความคิดมากจริง ๆ เต๋ายอดเซียนแค่เปรย ๆ ถึงเรื่องการแบ่งระดับของตัวเอง ประมาณว่าอยู่ในระดับยอดดาวเหนือ วิถีการฝึกตนมีสองหนทางสำคัญนั่นก็คือนินจาและผู้ฝึกวรยุทธ หนทางฝึกวรยุทธต่างกัน ไม่เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย ผู้ฝึกวรยุทธทั้งสองวิถีทางนี้ไม่ใช่สิ่งที่เหมือนกัน พูดง่าย ๆ ก็คือ เต๋ายอดเซียนฝึกฝนร่างกายและจิตใจ ส่วนนินจาฝึกเพียงร่างกาย ทั้งสองวิถีนี้จึงนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้
ถ้าหากยังไม่เข้าใจ งั้นก็สามารถพูดให้ตรงมากขึ้น คือทั้งสองคนฝึกกันคนละด้าน จึงเชื่อถือไม่ค่อยได้เป็นธรรมดา!
อีกอย่าง ตอนที่ฟางเหยียนสู้กับเต๋ายอดเซียน มีพละกำลังเพียงหกชั้นเท่านั้น จึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบเป็นธรรมดา!
ไม่ใช่ว่าคุยโว แต่เต๋ายอดเซียนเป็นผู้ฝึกตนที่ดีคนหนึ่งที่ละทางโลกแล้ว หากประลองชั้นยอดด้วยกัน ฟางเหยียนน่าจะไม่อยู่ในสถานะผู้แพ้!
พูดถึงสำนักกุ่ยกู๋อีกครั้ง ใช่ ต้องยอมรับเลยว่า อีกาในตอนแรก จากนั้นเป็นทหารเมล็ดถั่ว สุดท้ายเรียกทหารเกราะทองที่เหมือนกับเทพสงครามไป๋ฉี่ออกมา พวกเขาต่างมีสิ่งแปลกประหลาดที่น่ากลัวมาก! การเรียกสิ่งของเหล่านี้ออกมา เกี่ยวข้องกับผู้ที่เรียกออกมาเป็นอย่างมาก พูดได้ว่าเป็นการรวบรวมสิ่งมีค่าของทุกคนออกมา!
แต่มีเพียงกู่ปิ่งที่เป็นนินจาระดับปรมาจารย์ ต่อให้เรียกทหารเกราะทองออกมา มากสุดก็ได้แค่นินจาระดับปรมาจารย์ชั้นยอด ไม่มีทางแตะถึงระดับยอดดาวเหนือได้หรอก พละกำลังก็จะถูกหักไปมาก แต่ถึงอย่างนี้ ก็ไม่สามารถดูถูกได้ ยังไงซะนินจาระดับปรมาจารย์ในประเทศหวาก็มีไม่เกินสี่คน แค่คิดก็รู้ได้เลยว่าพละกำลังจะน่ากลัวมากแค่ไหน!
เมื่อทหารเกราะทองยิ่งเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ลมหายใจที่ระเบิดออกมาก็พัดผ่านไปอย่างรวดเร็วทั่วทุกแห่งหน พัดเอาก้อนเมฆไปจนหมด แม้แต่อากาศก็เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง เกิดสถานการณ์ที่ยากจะทนได้ โดยเฉพาะฟ้าร้องฟ้าผ่ารอบทิศ เหมือนเป็นการบอกอย่างเงียบ ๆ ว่า ทหารเกราะทองนั้นไม่ธรรมดา!
เทียนขุยเอ่ยถามเสียงสั่น : “จอมพลโผ้จวินครับ นี่เป็นกดขี่ของนินจาระดับปรมาจารย์เหรอ? น่ากลัวเกินไปแล้ว!”
“นี่เป็นนินจาระดับปรมาจารย์ไม่แท้จริง เพราะต้องรวมเบญจธาตุเข้าด้วยกัน กำลังเบญจธาตุที่มองเห็นนั้น ต่อให้เป็นระดับปรมาจารย์ทั้งสี่แห่งประเทศหวารวมตัวกัน เกรงว่าก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน!”
ได้ยินประโยคนี้ เทียนขุยก็อึ้งไปทันที!
ระดับปรมาจารย์ไม่มีใครสู้ได้!
น่ากลัวเกินไปแล้วมั้ง!
วันนี้ต้องพ่ายแพ้อยู่ที่นี่แล้วใช่ไหม?
เทียนขุยรู้สึกเสียความมั่นใจเป็นอย่างมาก พลังของทหารเกราะทอง เพียงพอที่จะฆ่าทุกอย่างได้เพียงเสี้ยววินาที ถ้าหากฟางเหยียนไม่พูด เทียนขุยคงอยากลองดูสักตั้ง แต่เมื่อได้ยินประโยคนั้น ก็เหมือนคิดได้ขึ้นมาทันที ทำให้เขาตระหนกตกใจ ไม่มีความปรารถนาที่จะสู้รบเลยแม้แต่น้อย!
ลมหายใจที่ปะทุออกมายังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รอบทิศมีลมประหลาดห้าสีพัดกระหน่ำดั่งพายุเฮอริเคน!
เทียนขุยตกตะลึงอ้าปากค้าง : “จอมพลโผ้จวินครับ พวกเราวิ่งกันก่อนดีไหมครับ?”
“นายดูทางด้านหลังก่อนแล้วค่อยพูด”
เทียนขุยหันกลับไปมอง หัวใจสะดุดกึกทันที แล้วพูดคนเดียวว่า : “ตอนมายังดี ๆ อยู่เลย ตอนจะกลับ ดันกลับไม่ได้แล้ว!”
ตอนที่ทั้งห้าคนนั่นลงมือ ฟางเหยียนได้สั่งเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงรอบด้านตั้งนานแล้ว ต้องมีทางแน่นอน เหมือนแก๊งเก้ามังกรนั่นแหละ ที่ใช้ค่ายกลพิเศษปิดบังเอาไว้ พูดให้เข้าใจง่ายหน่อยก็คือ สิ่งเหล่านี้เป็นวิชาบังตาเท่านั้นเอง ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของเราสับสน แต่วิชาบังตานี้ กลับมีอยู่จริง ๆ!
“จอมพลโผ้จวินครับ นี่……”
ฟางเหยียนเอ่ยเสียงขรึม : “ตั้งแต่ที่เริ่มโกรธแค้นกัน สำนักกุ่ยกู๋ก็พยายามทุกวิธีทางเพื่อกำจัดพวกเรา และตามที่นายพูดไว้ก่อนหน้านี้ ว่าพวกมันดูเหมือนจงใจจัดการฉัน โดยเฉพาะที่มันถามเรื่องตัวตนของฉันอยู่สามครั้ง บวกกับที่ได้เห็นวรยุทธของฉัน ฉันยิ่งมั่นใจว่า พวกมันพุ่งเป้ามาที่ฉัน ไม่เคยพบเจอกันมาก่อนจะโกรธแค้นกันขนาดนี้ได้ยังไง? สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายได้ก็คือ พวกมันกำลังแก้แค้น!”
“แก้แค้น?” เทียนขุยเกิดความไม่เข้าใจอีกครั้ง : “พวกเราอายุห่างกันมากขนาดนี้ ทำไมถึงได้มีความแค้นกัน? และเป็นความแค้นถึงขนาดที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้?”
“หอไผโหลวของสำนักกุ่ยกู๋สามารถตอบได้ทุกอย่าง!”
ได้ยินดังนั้น เทียนขุยก็พยักหน้า เขานึกขึ้นได้ว่าบนหอไผโหลวมีรอยมีดฟันอยู่เต็มไปหมด ตอนแรกทั้งสองคนยังรู้สึกประหลาดใจอยู่เลย ว่าเป็นใครกันแน่ที่ทิ้งร่องรอยนั่นไว้ ตอนนี้ดูท่าทาง จะได้คำตอบแล้ว คนของสำนักกุ่ยกู๋ทำอย่างนี้เพื่อจะแก้แค้นฟางเหยียน! แต่มันเกี่ยวข้องอะไรกับฟางเหยียนล่ะ? ตรงนี้แหละที่เทียนขุยคิดไม่ออก
“จอมพลโผ้จวินครับ ผมยังไม่เข้าใจ พวกมันทำไมต้องจัดการพวกเราให้ถึงตาย? ต่อให้เป็นการแก้แค้น ก็ต้องมีต้นสายปลายเหตุสิครับ!”
ฟางเหยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยพูด : “ไม่ได้เกินความคาดหมายเลย ที่พวกมันต้องการแก้แค้นคืออาจารย์ของฉัน!”
เทียนขุย : “……”
อาจารย์ของเขาดุร้ายขนาดนี้เลยเหรอ?
ทำไมเทียนขุยไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยล่ะ?
ค่าตอบแทนนี้สูงเกินไปหน่อยหรือเปล่า?
ไม่รอให้เขาไตร่ตรองต่อไป กู่ปิ่งได้ยิ้มอย่างชั่วร้ายพลางเอ่ยพูด : “อยากรู้มากใช่ไหม? ถ้าไม่ใช่เพราะกลิ่นอายของแกเหมือนกับคนคนนั้นมากล่ะก็ สำนักกุ่ยกู๋คงจะไม่สู้กันถึงขั้นนี้หรอก โดยเฉพาะวิชาเพลิงสวรรค์! เพียงแต่มันไม่สำคัญแล้ว ตอนนั้นคนคนนั้นมาที่นี่ พลังของทหารเกราะทองเบญจธาตุยังไม่ถึงระดับต้าชี่ชั้นยอด แต่ตอนนี้ มันเกินระดับปรมาจารย์ชั้นยอดไปแล้ว อีกแค่ก้าวเดียวก็สามารถเข้าสู่ระดับยอดดาวเหนือได้เลย!”
ทหารเกราะทองเบญจธาตุ!
เป็นการเรียกที่เหิมเกริมมาก!
ใช้นิ้วหัวแม่เท้าคิดยังรู้เลยว่า สำนักกุ่ยกู๋ต้องเสียอะไรไปมากแค่ไหนต่อหน้าคนคนนั้น!
รอยยิ้มของเทียนขุยดูขมขื่นเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะหันไปมองฟางเหยียน แต่เขาสีหน้านิ่งเฉย ท่าทางไม่วิตกกังวล
“เอาล่ะ รุ่นพ่อแม่ทำผิดรุ่นลูกก็ต้องชดใช้ ไม่สนว่าแกจะเป็นใคร แต่วันนี้แกต้องตาย!”