จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 848 กู่ปิ่ง แห่งสำนักกุ่ยกู๋
นี่เป็นคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายก่อนตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!
และกู่ปิ่งก็พูดชัดเจนแล้วว่าทำไมถึงทำกับพวกเขาแบบนี้ ที่แท้มีความเกี่ยวข้องกันนี่ รุ่นพ่อแม่ทำไว้รุ่นลูกก็ต้องรับผิดชอบ!
สำนักกุ่ยกู๋วางแผนมาดีจริง ๆ!
แต่หากมองอีกมุม การที่สำนักกุ่ยกู๋ลงมือทำร้ายพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเพลิงเสวนเลย เพียงแต่นี่เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น!
เทียนขุยได้ยินก็เข้าใจทันที สู้กับรุ่นใหญ่ไม่ได้ก็มารังแกรุ่นเล็กแทน สำนักกุ่ยกู๋ช่างมีแผนการแยบยลจริง ๆ!
อัดอั้นมาตั้งนาน ทันใดนั้นเขาก็หาช่องว่างระบายความโกรธแค้นได้แล้ว เขาชี้นิ้วด่ากู่ปิ่งว่า : “ที่แท้สำนักกุ่ยกู๋เป็นพวกรังแกคนที่อ่อนแอกว่าแต่กลัวคนที่แข็งแกร่งกว่านี่เอง! ก็จริงอยู่ สู้อาจารย์คนอื่นไมได้ ก็มารังแกลูกศิษย์เขาแทน มีศักดิ์ศรีหน่อยได้ไหม!”
กู่ปิ่งยิ้มอย่างชั่วร้ายแล้วเอ่ยว่า : “ที่แท้ก็เป็นลูกศิษย์ของเขา ไม่สำคัญแล้วล่ะ ตอนนั้นเขาทำให้สำนักกุ่ยกู๋ของฉันนองเลือด เคยมีเมตตาออมมือให้หรือเปล่า? เป็นปีศาจที่ชั่วร้ายมาก ลูกศิษย์ของเขาแล้วจะทำไม? ก็เป็นคนชั่วร้ายเหมือนกันอยู่ดี? อีกอย่าง การกำจัดสิ่งชั่วร้ายเพื่อประชาชนเป็นการผดุงความยุติธรรม เป็นกฎแห่งความชอบธรรม จะเรียกว่ารังแกคนอ่อนแอกว่ากลัวคนที่แข็งแกร่งกว่าได้ยังไง? แล้วก็ ศักดิ์ศรีมีค่าแค่ไหนกัน? เขาฆ่าคนของสำนักกุ่ยกู๋ ถ้าจะฆ่าลูกศิษย์ของเขาแล้วมันไม่มีศักดิ์ศรีตรงไหน?”
เทียนขุยพ่นลมออกมาจากมุมปากเล็กน้อย หากฟังความข้างเดียวจากตาเฒ่านี่ ก็เหมือนมีเหตุผลอยู่นะ! ตรรกะชัดเจน มีเหตุมีผล ไม่สามารถโต้ตอบกลับไปได้เลย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเสียงต่ำว่า : “จอมพลโผ้จวินครับ อาจารย์ของคุณโหดขนาดนี้เลยเหรอ? คุยไม่ถูกคอก็ฆ่าล้างสำนักกุ่ยกู๋?”
เอ่ยถึงอาจารย์ของเขา ฟางเหยียนเคารพนับถือมาโดยตลอด ทั้งรักและทั้งกลัว ตัวเองมีวันนี้ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือจากอาจารย์ เขาอาจจะตายอยู่ในสนามรบนานแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น เขาจะกลายเป็นจอมนักรบเกียรติยศอย่างทุกวันนี้ได้ยังไง? เขาเป็นปีศาจที่ชั่วร้ายเหรอ? ฟางเหยียนกลับไม่คิดอย่างนั้น เขาใจดีมีเมตตา มีเหตุมีผล เพียงแค่เป็นคนอารมณ์ร้อน
อีกอย่างอาจารย์ของเขาเป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการ เรื่องที่ตักเตือนฟางเหยียนบ่อยสุดก็คือ มีความสามารถมากเท่าไหร่ความรับผิดชอบก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ผู้สูงส่งที่มีเหตุผลลึกซึ้งขนาดนี้ จะไล่ฆ่าคนของสำนักกุ่ยกู๋งั้นเหรอ?
อาจจะเป็นไปได้!
เพราะอาจารย์ของเขาไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล ไม่ใช่เฒ่าหัวแข็งที่เอาแต่ใจ จะทำเรื่องอะไรต้องมีเหตุผลเสมอ ผู้สูงส่งที่มีหลักการเช่นนี้ จะเป็นปีศาจที่ฆ่าคนของสำนักกุ่ยกู๋เหรอ?
ต้องมีเงื่อนงำอื่นแน่นอน!
เพียงแต่สำนักกุ่ยกู๋จงใจกลบเกลื่อนทิ้ง ทำให้เกิดเหตุการณ์ในวันนี้ขึ้น!
ฟังความข้างเดียวก็ช่างเถอะ ในเมื่อเขาไม่อยากอธิบายให้ชัดเจน งั้นก็สู้!
สู้จนกว่าเขาจะยอมพูดเงื่อนงำนั้นออกมา!
ฟางเหยียนไม่เชื่อว่าอาจารย์ของตัวเองจะเป็นคนเลวร้าย ยังไงซะก็ไม่มีใครพูดได้มากไปกว่าเขาแล้ว!
อาจารย์ของเขาเป็นคนดีมีคุณธรรม แยกบุญคุณกับความแค้นได้อย่างชัดเจน มีใจนึกถึงประเทศชาติ มีความเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย มีความสามารถคับฟ้าแต่กลับถ่อมตน อาจารย์แบบนี้ จะเป็นคนเลวร้ายฆ่าคนของสำนักกุ่ยกู๋เหรอ?
ต่อให้ผิดจริง ฟางเหยียนก็ไม่ยอมรับ!
ความแค้นครั้งนี้ เขารับมันเอง!
ฟางเหยียนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แววตาเต็มไปด้วยความอำมหิต : “ในเมื่อแกอยากให้ฉันชดใช้แทนอาจารย์ งั้นแค้นครั้งนี้ ฉันจะรับไว้เอง!”
เมื่อพูดออกมา แต่ละคนก็นิ่งเงียบกันไปหมด!
อุณหภูมิที่เหมือนอาบสายลมฤดูใบไม้ผลิในตอนแรก ได้ลดฮวบเหลือศูนย์องศากะทันหัน ไอสังหารแผ่ซ่านไปทั่วทุกแห่งหนปกคลุมอยู่เหนือทหารเกราะทองเบญจธาตุ!
ทรงพลัง!
บดขยี้ทุกอย่าง!
ความทรงพลังที่แสดงออกมาตอนนี้ ทำให้แม้แต่ฟ้าดินก็ยังสะเทือน!
กู่ปิ่งตกตะลึงในความพลังนี้ จนยืนอึ้งอยู่กับที่! คนคนนี้เป็นใครกันแน่? ถึงได้มีพลังอานุภาพขนาดนี้!
เมื่อสิบกว่าปีก่อนคนคนนั้นก็ยังไม่ถึงขนาดนี้!
เขาเป็นใครกันแน่?
ทำไมถึงได้เป็นอย่างนี้?
สมองของเขาแล่นไปมาอย่างรวดเร็ว แต่กลับคิดหาเหตุผลไม่ได้ ตั้งแต่ที่ชายหนุ่มดำเหมือนเถ้าถ่านคนหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตาเขา มองผิวเผินอายุเพียงยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปี คนที่อายุยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปีจะมีอานุภาพขนาดนี้ได้ยังไง? ต่อให้เป็นผู้ที่ถูกสวรรค์เลือกก็ไม่น่าจะเป็นไปได้!
เขายังอายุน้อยอยู่เลย!
นึกถึงตัวเองตอนนี้ที่อายุสองร้อยกว่าปีแล้ว เขาเพิ่งรู้ว่าคนคนนั้นในตอนนั้นเป็นปีศาจที่เลวร้ายขนาดนี้ และลูกศิษย์ของเขาก็คงไม่ใช่พวกจิตใจดี ปีศาจที่อยู่เหนือปีศาจ เขาไม่สงสัยเลยว่า ลูกศิษย์ของคนคนนั้นจะเก่งกาจกว่าผู้ที่เป็นอาจารย์!
แต่สิ่งที่ทำให้กู่ปิ่งคิดยังไงก็คิดไม่ออก คือเขาเพียงดูออกว่าชายหนุ่มที่ดูเหมือนเถ้าถ่านคนนี้มีร่างกายเจ็บป่วย ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง! แต่จะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ? ถ้าไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแล้วเขาจะมีอานุภาพขนาดนี้ได้ยังไง?
หรือว่า……
กู่ปิ่งคิดถึงตรงนี้ ในใจก็สะดุดกึกขึ้นมาทันที เหงื่อเย็นหลั่งไหลท่วมตัว รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาทันที เขามองพละกำลังของฟางเหยียนไม่ออก เกรงว่าตัวเองจะไม่เคยสัมผัสถึงระดับนั้น!
เป็นไปไม่ได้!
นินจาระดับยอดดาวเหนือที่อายุน้อยขนาดนี้ เพดานของนินจา จะเป็นไปได้ยังไง? ต่อให้เขาฝึกฝนวรยุทธตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่ จนถึงตอนนี้แตะระดับปรมาจารย์ได้ก็ถือว่าเป็นระดับสูงสุดแล้ว นั่นเป็นพวกปีศาจเหนือปีศาจทั้งนั้น แต่นินจาระดับปรมาจารย์ทั้งสี่ท่านของประเทศหวา กู่ปิ่งเคยได้ยินมานานแล้ว เขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่เหลืออีกสามคนถึงแม้ไม่ได้คบค้าสมาคมกัน แต่เขาก็เคยได้ยินมา และไม่มีทางที่จะเป็นไอ้เด็กหนุ่มคนนี้!
นินจาระดับยอดดาวเหนือ อย่าว่าแต่ไม่เคยปรากฏเลย ถ้าหากเป็นเมื่อหนึ่งพันปีก่อน กู่ปิ่งก็คงจะเชื่อ เพราะเป็นคนที่พบหาได้ยากมากจริง ๆ!
ยากแท้หยั่งถึง ไม่สามารถคาดเดาได้เลย!
ถึงแม้กู่ปิ่งจะปิดบังความตื่นตกใจของตัวเงอไว้ แต่ก็ยังถูกฟางเหยียนจับได้อยู่ดี เขาได้ยินแต่ทำเป็นไม่สนใจ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แล้วพึมพำคนเดียวว่า : “นานมากแล้ว ที่ไม่มีใครทำให้ฉันต้องใช้พลังทั้งหมดที่มี!”
อวดดีอย่างนี้ ก็ได้แค่นี้แหละ!
ไม่มีใครสู้ได้มันโดดเดี่ยวมากแค่ไหน!
เทียนขุยกำลังมีความคิดแบบนี้ แต่ตื่นเต้นได้ไม่ทันไร เขาก็เกิดความกังวลขึ้นมา เพราะยังไงฟางเหยียนก็ป่วยอยู่ พละกำลังมีเพียงเจ็ดระดับเท่านั้น เมื่อครู่นี้ตอนที่สู้กับลูกไฟเขาก็ถูกโจมตีกลับ ตอนนี้ต้องรับมือกับทหารเกราะทองเบญจธาตุที่อยู่ในระดับปรมาจารย์อีก ร่างกายเขาจะรับไหวเหรอ?
เขาเอ่ยถามเสียงต่ำว่า : “จอมพลโผ้จวินครับ ร่างกายของคุณรับไหวหรือเปล่า?”
“ยังมีทางให้ถอยกลับอีกเหรอ?”
เทียนขุย : “……”
เขาอยากตบปากตัวเองแรง ๆ สักฉาด ตอนนี้ลูกธนูเมื่อขึ้นสายแล้วก็ต้องยิงให้เต็มเหนี่ยว ยังมีทางให้ถอยกลับอีกหรือไง?
สำนักกุ่ยกู๋ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะฆ่า แม้แต่ทางทั้งสี่ทิศก็ถูกปิดตาย คุณจะไปไหนได้อีกล่ะ?
หากสู้รบก็ยังมีความหวัง แต่ถ้าไม่สู้มีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่!
และในตอนนี้ ลมหายใจของทหารเกราะทองเบญจธาตุได้ปะทุถึงระดับที่น่ากลัวแล้ว เหตุการณ์ประหลาดได้ปรากฏขึ้น สีทั้งห้าที่อยู่รอบตัวทหารเกราะทอง ได้รวมตัวเข้าด้วยกัน สีทั้งห้ารวมตัวกันเป็นสีสันสวยงาม เหมือนดั่งสีรุ้ง ส่องแสงเปล่งประกาย แต่สีรุ้งนั้นจู่ ๆ ได้หลอมเข้าไปอยู่ในตัวของทหารเกราะทองทันที!
เข้าสู่จิตวิญญาณ!
หลังจากที่สีทั้งห้าสีเข้าไปในร่างกายของทหารเกราะทองแล้ว ทหารเกราะทองก็เหมือนดูมีชีวิตขึ้นมา!
คิ้วหนาตาโตยิ่งดูยิ่งมีชีวิตชีวา เหมือนกับคนธรรมดาไม่มีผิด!
“เชี้ย!” เทียนขุยอดไม่ได้สบถคำหยาบออกมาอีกครั้ง : “ไอ้เวรนี่มันมีชีวิตแล้ว!”
ที่จริงฟางเหยียนสังเกตเห็นสีสันทั้งห้าสีนี้มาตั้งนานแล้ว ตอนนี้เขาพอเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมชายชราที่เป็นผู้นำถึงได้ไม่ลงมือสักที ที่แท้ก็รอให้สีสันทั้งห้าสีนี้สร้างจิตวิญญาณขึ้นมานั่นเอง ยืมกำลังเบญจธาตุมาใช้สร้างจิตวิญญาณเบญจธาตุ นำเข้าสู่ร่างกายของทหารเกราะทอง ทำให้มันกลายเป็นคนที่มีเลือดเนื้อขึ้นมา!
แน่นอนว่า คนในที่นี่ไม่ใช่มีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ ไม่ใช่คนจริง ๆ เพียงแค่ทำให้มันเป็นเหมือนทหารขึ้นมาจริง ๆ!
หลังจากที่ทหารเกราะทองได้หลอมรวมสีสันทั้งห้าเขามาจนหมดแล้ว เขาก็ดูเหมือนทหารขึ้นมาจริง ๆ โดยเฉพาะตอนที่เขาชักดาบยาวที่เหน็บอยู่ตรงเอวออกมา สายตาจับจ้องไปตรงหน้าฟางเหยียน เพียงเสี้ยววินาที บรรยากาศก็เต็มไปด้วยไอสังหาร ความโกรธแค้นปกคลุมไปทั่ว!
เห็นได้ชัดว่า ทหารเกราะทองหาเจ้าหนี้เจอแล้ว!
ฟางเหยียนไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย สายตาจับจ้องไปที่ทหารเกราะทองตรง ๆ มุมปากแสยะยิ้มจาง ๆ ออกมา!
ขยับแล้ว!
ทหารเกราะทองก้าวขาออกมา ทันใดนั้น พลังทำลายล้างก็พัดโหมกระหน่ำขึ้นมา พุ่งใส่ฟางเหยียน ใหญ่โตเหมือนภูเขาไท่ถล่มลงมา รุนแรงและอุกอาจ ตั้งใจจะบดขยี้ฟางเหยียนให้แหลก!
กู่ปิ่งลูบเคราพลางยิ้มและเอ่ยพูด : “รุ่นพ่อแม่สร้างเรื่องไว้รุ่นลูกก็ต้องชดใช้ ฉันจะคอยดูสิว่า ฝีปากและร่างกายของแกจะเป็นเหมือนอย่างที่แกโอหังอวดดีไว้หรือเปล่า ไม่สำคัญแล้ว ไว้รอให้ฆ่าแกเสร็จ ฉันค่อยไปหาอาจารย์ของแกเพื่อแก้แค้นบัญชีเลือด! จริงสิ ต้องขอบคุณแกนะ ที่ทำให้พวกเราสร้างทหารเกราะเบญจธาตุได้สำเร็จ ตอนนี้ถึงเวลาแก้แค้นแล้ว แกเตรียมพร้อมหรือยัง? ฮ่าฮ่าฮ่า…..