จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 851 พลังระดับเจ็ด
เสียงนี้ราวกับออกมาจากโลงศพอย่างไรอย่างนั้น เสียงของคนชราแหบพร่า ไร้พลัง ราวกับพูดประโยคนี้จบแล้วก็จะเสียชีวิตทันที
แต่ที่น่าสงสัยก็คือ หลังจากเสียงนี้สิ้นสุดแล้ว นักรบเบญจธาตุเกราะทอง ก็เริ่มล่องหน มันที่มีแสงสีทองเปล่งประกาย แสงของดวงดาวค่อยๆ จางหายไป ขาดสีสันดับลงในทันที! กลายเป็นโปร่งแสงทีละน้อยตามความเร็วของสายตาที่มองเห็น!
ผ่านไปหนึ่งนาที! นักรบเกราะทองที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง ราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น!
หายตัวไปแล้ว?
ช่างน่าประหลาดใจเกินไปแล้ว!
เพียงหนึ่งเสียงก็ทำให้ นักรบเกราะทอง สลายไปได้อย่างนั้นหรือ?
หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นระดับยอดดาวเหนือ?
สามารถกำราบนักรบเกราะทองอันแข็งแกร่งได้โดยเสี้ยววินาที คนผู้นี้เกรงว่าจะไม่ใช่มิตร! สิ่งที่สามารถกระจ่างแจ้งได้หนึ่งเดียวก็คือ คนที่พูดคนนี้รู้จักสถานะของฟางเหยียนอย่างลึกซึ้ง ท่าทีของการพูดจาก็ยังถือว่าเคารพนอบน้อม!
ยังไม่เคยได้เจอคนผู้นี้ เมื่อได้ยินน้ำเสียงนี้ก่อน อย่างน้อยก็คงเป็นผู้สูงศักดิ์แห่งนินจาเป็นแน่!
ฟางเหยียนขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อกวาดสายตามองรอบๆ ก็ไม่เห็นว่าคนผู้นี้อยู่ที่ใด?
หรือว่าจะเป็น…บรรพบุรุษของสำนักกุ่ยกู๋?
เรื่องราวเหมือนจะเริ่มยุ่งยากขึ้นเล็กน้อยแล้ว!
หลังจากที่นักรบเกราะทองหายไปจนหมดสิ้น เทียนขุยก็พุ่งเข้าหาฟางเหยียนทันที ครั้งนี้ไม่มีสิ่งใดกำบังเขา มาอยู่ด้านหลังของฟางเหยียนอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ: “โผ้จวิน ยังไหวใช่ไหม?”
ฟางเหยียนโบกไม้โบกมือเบาๆ กำลังต้องการจะเอ่ยอันใด กลับพบว่าท่านผู้ชราทั้งห้าก็มีคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังแล้ว คนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับ ราวกับปรากฏตัวขึ้นมากลางอากาศอย่างไรอย่างนั้น! คนผู้นี้หันหลังให้กับเขา มองไม่ชัดว่าคนผู้นี้เป็นใครโดยสิ้นเชิง ทว่าจากรูปร่างคร่าวๆ สามารถมองออกว่าเป็นผู้อาวุโส รูปร่างผอมบาง ไหล่ทั้งสองข้างสูงไม่เท่ากัน
ทว่าฟางเหยียนกลับเหมือนกับถูกไฟฟ้าโจมตี เกินอารมณ์สั่นเทาขึ้นมา การแต่งกายชนิดชุดนักพรตเช่นนี้ เขารู้ดีกว่าใคร!
เทียนขุยจ้องมองผู้อาวุโสที่หันหลังให้พวกเขาด้วยสายตาที่กระวนกระวาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า: “โผ้ โผ้จวิน นี่เป็นคนที่บังคับให้เราค้างดาบตั้งแต่แรกคนนั้นใช่ไหม?”
ฟางเหยียนขาดความมั่นใจ เขาคาดการณ์เหมือนกับเทียนขุย ผู้อาวุโสที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมากะทันหันนี้จะเป็นคนที่ค้างดาบให้เขาเมื่อตอนนั้นหรือไม่! เทียนขุยขมขื่นที่สุด ชายชราที่ค้างดาบถือได้ว่าบังคับขู่เข็นให้ซื้อขาย ท่าทีแข็งกร้าวเป็นอย่างยิ่ง โอหังที่สุด โดยเฉพาะความสามารถระดับสูงของเขานี้ เทียนขุยเคยลิ้มรสในเนื้อมือของชายชรามาก่อนแล้ว เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถแข็งแกร่งผู้หนึ่งเลยจริงๆ !
เทียนขุยเอ่ยด้วยความรู้สึกเกรงกลัวจากเรื่องที่เกิดก่อนหน้า: “โผ้จวิน ทำไมผมถึงคิดว่าคนคนนั้นก็คือเขาล่ะ? คุณดูไหล่ที่สูงต่ำนั่นสิ รูปร่างที่นั่งยองๆก็แตกต่างจากคนปกติทั่วไป แค่มองดูก็รู้ว่าเป็นคนพิการ ไม่สิ ยังมีอีกนะ คุณลองดูสองมือเขาอย่างละเอียดดูสิ ราวกับไม่ราบรื่น ราวกับกำลังเสาะหาอะไรบางอย่าง น่าจะเป็นคนตาบอดด้วย!”
เทียนขุยเอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ เอ่ยสาธยายลักษณะเด่นของชายชราที่หันหลังให้กับเขาอย่างระมัดระวัง ภายในใจก็รู้สึกทุกข์ทรมานถึงขีดสุด ความน้อยเนื้อต่ำใจที่ชายชราค้างมีดทำให้เขารู้สึกในตอนแรกนั้นเขาประจักษ์ดี โดยเฉพาะพละกำลังที่ราวกับเทพผู้แข็งแกร่งนั่น ช่างทำให้เหนื่อยกายเหนื่อยใจเสียจริง เทียนขุยถูกเอาเปรียบในเนื้อมือของเขาไปยกใหญ่ หลังจากที่พบว่าคนผู้นั้นคือเจ้าค้างมีดแล้วนั้น ภายในใจของเขาก็ราวกับมีเงามืดมาปกคลุมในใจอย่างไรอย่างนั้น!
ที่เทียนขุยเอ่ยนั้นเป็นเรื่องจริง ชายชราที่หันหลังให้พวกเขาอยู่ ก็เป็นไปตามที่เขาเอ่ยทุกประการ เจ้าค้างมีด เดิมก็เป็นคนของสำนักกุ่ยกู๋ เครื่องแต่งกายของพวกเขาคล้ายกันโดยส่วนมาก ราวกับสามารถกลายเป็นเรื่องจริงได้อย่างไรอย่างนั้น! ตอนนี้เขาคร้านที่จะไปย้ำคิดย้ำทำว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่ เขาจ้องมองคนผู้นั้นที่หันหลังให้อย่างระแวดระวัง ในขณะที่ยังไม่ชัดเจนดีว่าคนผู้นั้นมีท่าทีอย่างไร เขาไม่สามารถที่จะผ่อนคลายลงได้!
ลองคิดดูสักหน่อย สามารถทำลายนักรบเกราะทองที่ทรงอำนาจแรงกล้าให้แหลกสลายได้อย่างง่ายดาย จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร?
ในสายตาที่ระแวดระวังของสองคน ชายชราที่หันหลังให้อยู่นั้น ก็ได้รักษาเสร็จสิ้น หันหน้ามาอย่างช้าๆ !
“แม่เจ้า! เขาจริงๆ ด้วย!” เทียนขุยอุทานขึ้นอย่างตกใจ ท่าทางนั้นราวกับเจอผีอย่างไรอย่างนั้น!
ฟางเหยียนขมวดคิ้วเข้าหากันช้าๆ สีหน้าไม่ได้แสดงออกใหญ่โตเหมือนกับเทียนขุย ทว่าเขาเองก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน เป็นเขาจริงๆ ด้วย!
ชายชราตาบอดที่บังคับให้ค้างมีดให้เขาในตอนแรก!
ไม่รอให้ฟางเหยียนเอ่ยขึ้นมา ชายชราตาบอดก็โค้งลำตัวเล็กน้อย ท่าทางลดต่ำลงอย่างมากในทันที ทำให้ผู้คนที่มองเห็นส่งเสียงฮือฮากันต่อเนื่อง อึ้งและทึ่งไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ที่ตกตะลึงที่สุดก็คือกู่ปิ่งทั้งห้าคน ลดคุณค่าตัวเองลง ต้อนรับเจ้าหนุ่มนี้ เขาเป็นใครกันแน่?
กู่ปิ่งแม้จะอายุมากแล้ว ทว่าสมองก็ยังคงไม่เลอะเลือน เขานึกถึงคำพูดที่เขารีบมาบอกประโยคนั้นทันที หวังว่าจอมพลจะเพลามือให้ด้วย!
หรือว่าเจ้าหมอนี่คือโผ้จวิน?
จอมพลโผ้จวิน? เทพแห่งสงครามผู้รุ่งโรจน์ที่ไม่เคยพ่ายแพ้สักครั้ง ความภาคภูมิใจของทั้งประเทศหวาผู้นั้น?
เป็นไปไม่ได้!
กู่ปิ่งแม้จะไม่เคยเห็นคนในตำนานผู้นี้ตัวเป็นๆ ทว่าก็เคยได้ยินตำนานเล่าขานของเขา ไม่มีทางที่จะไม่รู้จักนี่นา!
เขานึกขึ้นได้อีกครั้ง เสียงเรียกของชายร่างใหญ่กำยำคือโผ้จวิน! เขาไม่ได้คิดลึกแต่อย่างใด เพียงแค่คิดว่าโผ้จวินก็คือชื่อของเจ้าหนุ่มคนนี้ สำหรับชื่อเสียงเรียงนาม เขาคร้านที่จะไปสนใจ เขาถูกความโกรธแค้นทำให้สมองเลือนราง ต้องการที่จะกำจัดคนที่เข่นฆ่าทายาทของสำนักกุ่ยกู๋ให้ได้!
จนกระทั่งตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจว่า โผ้จวินไม่ใช่ชื่อ แต่เป็นคำเรียก ยิ่งไปกว่านั้นคือความรุ่งโรจน์!
ไม่รอให้เขาได้คิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งต่อไป ศิษย์พี่ของเขากู่ผินก็กำมือขึ้นมาทำความเคารพทันที พร้อมเอ่ยขึ้นว่า: “จอมพล อภัยให้กระผมด้วยที่ตามมาช้า จนทำให้จอมพลต้องเจอกับเรื่องลำบากที่ใหญ่หลวงเช่นนี้ เป็นความผิดของสำนักกุ่ยกู๋เอง ไม่ขอให้จอมพลให้อภัย หวังเพียงแต่ว่าจอมพลจะทิ้งรากฐานให้แก่สำนักกุ่ยกู๋”
เมื่อเอ่ยขึ้นมา ก็เต็มไปด้วยคำขอโทษ แสดงจุดยืนของตัวเองในทันที!
เมื่อคำพูดนี้เปล่งออกมา ก็มีทั้งคนชอบใจและเป็นกังวล!
ผู้ที่ชอบใจแน่นอนว่าเป็นเทียนขุย ชายชราตาบอดอยู่ข้างพวกเขา ครั้นผู้ที่เป็นกังวลก็คือกู่ปิ่งและคนอื่นๆ นี่เป็นการเห็นแก่คนนอกอย่างแท้จริง! ทว่าพวกเขาก็ขมขื่นลำบากใจที่จะเอ่ยเช่นกัน มีความทุกข์ตรมจนพูดไม่ออก!
เมื่อพวกเขาทราบเข้าว่า ศิษย์ของผู้นั้นที่พวกเขาต้องการกำจัด ก็คือจอมพลผู้รุ่งโรจน์ที่สั่นสะเทือนประเทศหวา กู่ปิ่งก็ไม่กล้าลงมือกับเขาต่อให้กินหัวใจหมีดีเสือดาวเข้าไปก็ตาม!
กู่ปิ่งอยู่ๆ ก็นึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเทียนขุยขึ้นมา “ลงมือกับพวกเรา ได้คิดผลที่จะตามมาหรือยัง?”
ต้องการที่จะสังหารเทพแห่งสงครามผู้รุ่งโรจน์ เขา กู่ปิ่งช่างกล้าเสียจริง!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ กู่ปิ่งก็เสียวสันหลังวาบ หัวใจเย็นยะเยือกไปครึ่งหนึ่งเรียบร้อย!
ยืนหน้าชาอยู่อย่างนั้น!
น่าเสียดายที่ไม่มีคำว่าถ้าหาก!
เขาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากตัวเอง กู่ปิ่งเอ่ยพึมพำเสียงเบาขึ้นมา: “ยังดีที่ไม่ได้ฆ่าเขาตาย ไม่งั้นคงได้เรื่องใหญ่แน่!”
เสียงที่ไม่ดังไม่เบานี้ กู่ผินได้ยินเข้าแล้ว เขาโบกมือไปข้างหลัง กู่ปิ่งจึงได้คุกเข่าลงทันที ความรู้สึกขมขื่นอย่างสุดซึ้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“นายน่ะเหรอคิดจะฆ่าเทพแห่งประเทศหวา ปล่อยวาจากำเริบเสิบสานเกินไปหรือเปล่า? ฉันจะบอกนายตามจริงนะ อย่าว่านาย กู่ปิ่นจะถึงขั้นนินจาระดับปรมาจารย์แล้วนะ ต่อให้พวกนายทั้งห้าคนเป็นถึงระดับนินจาปรมาจารย์ ต้องการที่จะฆ่าจอมพล เป็นความฝันของคนปัญญาอ่อนโดยแท้จริง!” กู่ผินโกรธเคืองขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน: “ไม่กลัวที่จะทำลายความโอหังของนาย ตอนนี้จอมพลป่วยอยู่ มีเพียงพลังระดับเจ็ดเท่านั้น แต่พวกนายก็ยังกล้าที่จะลงมือโดยไม่ประเมินกำลังตัวเอง นี่มันเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเองไม่ใช่หรือไง?”
พลังระดับเจ็ด?
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ก็ได้ทำลายความแข็งกร้าวที่อยู่ในใจสุดท้ายของกู่ปิ่งทั้งห้าคนโดยสิ้นเชิง!
ความสามารถสมชื่อ เทพแห่งสงครามประเทศหวา!
ใบหน้าของเขาดำทมิฬ อึมครึม หัวใจแหลกสลายเป็นเศษเล็กๆ !
พลังระดับเจ็ดก็สามารถรบกับพวกเขาจนไม่สามารถที่จะตอบโต้กลับได้ นี่มันช่างเป็นปีศาจในปีศาจโดยแท้จริง!
ความขัดแย้งได้ผูกปมเรียบร้อยแล้ว กู่ปิ่งชัดเจนดีว่า หากไม่ตายก็คงไม่สามารถที่จะดับไฟโทสะในใจของจอมพลได้ เพราะการเลือกของเขาผู้เดียว ส่งผลให้สำนักกุ่ยกู๋ล่มสลาย! เขาจำต้องกลายมาเป็นคนร้ายของสำนักกุ่ยกู๋ ไม่มีหน้าที่จะไปเผชิญกับบรรพบุรุษที่อยู่ใต้แหล่งน้ำบาดาลทั้งเก้า!
“จอมพล วันนี้เป็นความผิดพลาดของสำนักกุ่ยกู๋ของกระผม ท่านลงมือได้เลย ผมกู่ผินจะไม่ห้ามปรามใดๆ ทั้งสิ้น”
แสดงจุดยืนของตัวเองอีกครั้ง ปล่อยเลย ไม่สนใจ!
กู่ปิ่งชัดเจนดี ว่ากู่ผินเสียสละสิ่งหนึ่งเพื่อสิ่งที่สำคัญกว่า เขามองกู่ผินอย่างโมโห จากนั้นก็เอ่ยเสียงหนักแน่น: “ศิษย์พี่พูดถูก สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ กู่ปิ่งเลอะเลือนไปเอง จนทำเรื่องที่หนักหนาสาหัสไว้ โทษนี้สมควรตาย!”
เทียนขุยชอบใจขึ้นมา เรื่องราวได้ผกผันไป กู่ปิ่งที่แต่เดิมยืนอยู่สูงส่ง บัดนี้กลับน่าเวทนาราวกับสุนัขหนึ่งตัวอย่างไรอย่างนั้น อดกลั้นมาตั้งนาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขารับรู้ถึงความสะใจ มีความรู้สึกรื่นเริงราวกับได้พลิกตัวร้องเพลง!
ความรู้สึกเช่นนี้สะใจเกินไปแล้ว!
“นายมีความผิดมหันต์ก็จริง แต่ถ้าฆ่านายไปซะอย่างนี้ มันดูจะเอาเปรียบนายเกินไป อย่าว่าแต่ฉันเลย แม้แต่โผ้จวินก็ไม่ตอบตกลงหรอก!