จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 853 ส่งมอบสมบัติล้ำค่า!
“โผ้จวิน ระมัดระวังรอบด้านแล้ว ก็ยังหลงกลนังปีศาจคนนี้อยู่ดี!” เทียนขุยโมโหขึ้นมายกใหญ่ จากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว: “ตอนนี้ผมถือว่าเข้าใจแล้ว ไอ้เสวียนเย่คนนั้นก็คือหมาป่าเจ้าเล่ห์ที่มองภายนอกเหมือนคนดี เรื่องที่ตัวเองจัดการไม่ได้ ก็เลยให้ชิงตี้นังปีศาจนั่นมาแสร้งทำเป็นน่าสงสาร ร้องขอความเห็นใจ จากนั้นก็หลอกใช้พวกเราต่อไป!”
“โผ้จวิน พวกเราตกหลุมพรางนังปีศาจชิงตี้เข้าจนได้ ตอนนั้นพวกเราควรที่จะฆ่าพวกมันไปซะ ตัดต้นตอปัญหา! ตอนนี้สร้างปัญหาใหญ่ให้พวกเราขนาดนี้ แถมยังเกือบจะโทษสำนักกุ่ยกู๋ผิด แค้นนี้ผมจะต้องจดบัญชีเอาไว้!”
เทียนขุยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห แทบที่จะไปฆ่าเสวียนเย่และชิงตี้ตอนนี้!
ฟางเหยียนเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นจึงได้มองกู่ผินแล้วเอ่ยขึ้น: “ในคำพูดของนายมีความจริงความเท็จมากน้อยแค่ไหน!”
กู่ผินตอบโดยแทบจะไม่ลังเล น้ำเสียงทุ้มต่ำ: “จอมพล ที่กระผมพูดไปทั้งหมดมีความจริงความเท็จครึ่งๆ เพราะว่าผมก็ว่าไปตามการคาดเดาของรองผู้นำเทียนขุย แล้วทำการคาดคะเนเอาเองเท่านั้น เป็นจริงหรือเท็จแล้วอย่างไรต่อ? จอมพลเป็นผู้ฉลาดหลักแหลม จะต้องมองเรื่องเล็กน้อยชัดเจนแน่นอน”
ท่าทางของเขายังคงเหมือนคนเจ้าเล่ห์เหมือนเดิม ชายชราตาบอดผู้นี้ไม่เปลี่ยนเลยสักนิด!
“ต่อให้การคาดเดาของนายจะมีหลักการ แล้วจะไม่ใช่กับดักที่นายและเพลิงเสวนวางไว้หรอกเหรอ?”
กู่ผินยิ้มอย่างถากถาง: “จอมพลไม่รู้อะไร พูดมาจนถึงตอนนี้คุณก็ยังไม่เชื่อสำนักกุ่ยกู๋ ก็ถูก ถึงยังไงคนเราต่างคนก็มีความคิดต่างกัน ไม่ว่าจะแก้ตัวอย่างไรก็พูดไม่ชัดเจน แต่ว่าจอมพล ถ้าสำนักกุ่ยกู๋มีความคิดที่จะเป็นกบฏตั้งนานแล้ว ถ้าเช่นนั้นทำไมผมต้องค้างดาบให้ท่านอย่างเปลืองแรงไม่เป็นผลดีต่อตัวเองเช่นนี้ด้วยล่ะ? นี่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวเองไม่ใช่หรือ? จอมพลท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ?“
ในขณะที่ค้างมีดนั้น กู่ผินได้เอ่ยประโยคหนึ่งไว้ ว่าในยามที่เพลิงเสวนล่มสลาย เขาจะมาเก็บบัญชี!
ดูเหมือนว่าจะสมเหตุสมผลเหมือนกัน!
“จอมพล ตอนที่กระผมค้างดาบนั้น สิ่งที่ต้องตาไม่ใช่ความอยากรู้อยากเห็นของคนคนนี้สูงแค่ไหน แต่เป็นโชคชะตา แน่นอนว่าสำหรับท่าน ทั้งเป็นโชคชะตาและมาจากความคิดส่วนตัว ตั้งแต่ที่ทราบว่าจอมพลเป็นศิษย์ของคนผู้นั้น ผมคิดที่จะคลี่คลายความแค้นในเรื่องนี้มาโดยตลอด เมื่อพูดถึงตรงนี้ จะไม่พูดถึงความแค้นที่ท่านอาจารย์ของท่านกระทำไว้ในตอนนั้นไม่ได้”
กู่ผินเล่าว่า ตอนนั้นอาจารย์ของเขาคือยอดอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในสำนักกุ่ยกู๋ อายุยังน้อยก็บรรลุถึงขั้นสูงสุดแล้ว ไม่ใช่เพียงด้านของพละกำลังเท่านั้นที่ถึงระดับสุดยอด แม้กระทั่งวิทยายุทธของสำนักกุ่ยกู๋ก็ยังเรียนรู้ได้อย่างถ่องแท้ ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างของคนที่เรียนรู้ด้วยตัวเอง
ทว่าสวรรค์กลั่นแกล้ง การหลอมรวมวรยุทธทุกอย่างเข้าด้วยกัน ทำให้สุดท้ายเขาเดินเส้นทางที่ผิด กลายเป็นคนเหี้ยมโหด เจ้าสำนักรุ่นก่อนได้เสี่ยงชีวิตในการสะกดเขาเอาไว้แล้ว กักขังเอาไว้หลายสิบปี อีกทั้งในสิบปีนี้ เขาก็อยู่ในความเคร่งขรึม สติเลอะเลือน นอกจากส่วนที่เขาถูกสะกดไว้แล้ว ความรุ่งโรจน์และแสงเปล่งประกายทั้งหมดของเขาก็ดับสลายไปในบัดนั้นด้วย
คนยังไม่ทันหมดอำนาจ ก็ไม่มีใครสนใจแล้ว ขณะที่เขาเสียพลังไป คนในครอบครัวก็ถูกข้องเกี่ยวไปด้วย เริ่มที่จะดับสูญไปเรื่อยๆ ภายใต้การดับสูญ ยังได้รับการทรมานและรังแกอีกด้วย
คนในครอบครัวหลายคนทนการถูกรังแกเช่นนี้ไม่ได้ จึงได้ฆ่าตัวตายตามๆ กัน ทำให้ญาติของเขาทั้งหลายตายกันไปหมด สุดท้ายก็สูญพันธุ์!
ในขณะที่ญาติของเขาตายไปคนแล้วคนเล่านี้เอง ในที่สุดเขาก็ได้ทราบเรื่องจริง ช่วงเวลานั้น ภายในเขตต้องห้ามของสำนักกุ่ยกู๋เขาเงยหน้ามองฟ้าแล้วสบถ: “คนไปแล้วไฟดับ โลกไร้น้ำใจต่อกัน! ทุกสรรพสิ่งเป็นทาสรับใช้ เข่นฆ่าราษฎร!”
วันนั้น เขตต้องห้ามของสำนักกุ่ยกู๋ก็มีแสงไฟพุ่งขึ้นฟ้า เป็นคลื่นพลังภายในอันแรงกล้า และในวันนั้นเอง ก็เป็นวันเริ่มต้นของฝันร้ายของสำนักกุ่ยกู๋!
เขาเข่นฆ่าทั่วสารทิศ จนบ้าเลือด ไม่ว่าจะเป็นใคร ราวกับเทพลงมาโลกมนุษย์ ใครเข้ามาขวางก็ฆ่าผู้นั้นทิ้งทันที!
ผู้โชคดีที่รอดชีวิตเมื่อนึกถึงช่วงวิกฤตเวลานั้น ก็ยังจดจำฝังใจมาจนถึงบัดนี้ เมื่อนึกถึงก็ถึงขั้นหน้าเปลี่ยนสี ช่างน่าทึ่งเกินกว่าจะรับไหว
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาก็หายตัวไป สำนักกุ่ยกู๋ได้ส่งคนออกไปตามหาที่อยู่ของเขามาโดยตลอด ตามฆ่ามาโดยตลอด ไม่มีใครทราบว่าช่วงเวลาสุดท้ายของเขา หยุดการเข่นฆ่าได้อย่างไร
สิ้นเสียง กู่ผินก็ยิ้มเยาะขึ้นมา: “จอมพล นี่ก็คือความแค้นที่สำนักกุ่ยกู๋มีต่ออาจารย์ของท่าน อันที่จริงพูดเข้าจริง ก็เป็นปัญหาของจิตใจคน อาจารย์ของท่านไม่ได้ติดค้างสำนักกุ่ยกู๋ ถึงอย่างไรยุคสมัยก็เปลี่ยนไปมาก คนยังไม่ทันหมดอำนาจ ก็ไม่มีใครสนใจแล้ว!”
ฟางเหยียนนิ่งเงียบ อยู่ๆ เขาก็นึกถึงประโยคที่อาจารย์เคยเอ่ยไว้ว่า จิตใจของมนุษย์เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกใบนี้!
เทียนขุยเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ: “โผ้จวิน อาจารย์ของคุณโหดร้ายเกินไปหรือเปล่า ใครเข้ามาขวางก็ฆ่าคนนั้น โหดร้ายจริงๆ !”
“จอมพล ในเมื่อเข้าใจความแค้นนี้แล้ว และไม่ว่าจะเป็นความแค้นหรือไม่ ความผิดที่อยู่ระหว่างนั้น พวกเราไม่จำเป็นต้องเก็บมาย้ำคิดย้ำทำ สำนักกุ่ยกู๋ผิด อาจารย์ของท่านก็ผิดเหมือนกัน ผมก็แค่หวังว่าเราจะสามารถคลี่คลายความแค้นอันนี้ลงได้ ถือเสียว่าเป็นการจบสิ้นเรื่องเก่า ทำให้ทุกคนได้มีความสุขกัน”
ฟางเหยียนเข้าใจในทันที การที่กู่ผินค้างมีดให้เขา นอกจากการแสดงจุดยืนของตัวเองแล้ว ก็ยังต้องการช่วยเหลือประนีประนอมความแค้นระหว่างเขาและคนรุ่นก่อนอีกด้วย
“คนไหนทำก็ต้องคนนั้นไปแก้ ฉันไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้” ฟางเหยียนเอ่ยอย่างมั่นใจหนักแน่น: “ความแค้นนี้ฉันรับไว้ได้ แต่เกลี้ยกล่อมคนอื่น ฉันไม่ทำ”
กู่ผินใบหน้าแดงก่ำ ยิ้มอย่างเคอะเขิน เขามีความคิดนี้อยู่จริงๆ โดยเฉพาะหลังจากที่ทราบตัวตนของฟางเหยียน เขารู้สึกว่าฟางเหยียนถึงจะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด ทว่าที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ ศิษย์สองคนจะมีหลักการอย่างมาก ไม่หาเรื่องเอาไว้กับตัว ทำหน้าที่ของตัวเองก็พอแล้ว!
ไม่บังคับฝืนใจให้คนอื่นลำบากใจ โดยเฉพาะการฝืนไปเป็นผู้นำของฟางเหยียน กู่ผินยังไม่ถึงระดับในตอนนี้เลย!
“เพราะฉะนั้น นี่ก็คือการแสดงความภักดีของสำนักกุ่ยกู๋งั้นเหรอ?”
“ที่จอมพลพูดมาถูกต้อง สำนักกุ่ยกู๋ไม่มีความเกี่ยวข้องและไม่มีการร่วมมือกับเพลิงเสวน ทุกอย่างที่กู่ปิ่งกระทำก็เพื่อทุ่มชีวิตแก้แค้นเท่านั้น ระหว่างนั้นอาจมีการเข้าใจผิดเล็กน้อย แต่ที่ทำให้จอมพลต้องบาดเจ็บ เขาสมควรตายสถานเดียว!”
กู่ปิ่งพยักหน้า: “จอมพล ผมไม่รู้จักท่านเลยทำให้เกิดเรื่องบาดหมางกันได้ ผมไม่รู้ตัวตนของท่านจริงๆ ทว่าผมก็ไม่ได้ต้องการร้องขอให้ท่านให้อภัยผม ผมก็แค่ไม่อยากให้จอมพลอยู่ในความไม่รู้ ตอนนี้สถานการณ์ก็ชัดเจนแล้ว ผมก็ควรจะจากไปจากสบายใจแล้ว!”
ขณะที่เอ่ยอยู่ เขาก็ลงมือทันที!
ตู้ม!
สมองแหลกสลายพร้อมเสียงดัง ราวกับแตงโมที่ถูกเตะอย่างไรอย่างนั้น!
ครั้งนี้ ฟางเหยียนไม่ได้ออกแรงห้ามปราม!
ผลกลับเป็นไปตามคาด สำหรับกู่ปิ่ง การฆ่าตัวตายเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าการฆ่าตัวตายแล้ว ขอแค่เขาตายไป ฟางเหยียนก็จะสามารถดับไฟโทสะนี้ลงได้ และสามารถปกป้องสำนักกุ่ยกู๋ทั้งหมดได้ นี่เป็นเรื่องที่ได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
หลังจากที่กู่ปิ่งไม่มีชีวิตรอด ผู้อาวุโสที่เหลือสี่คนก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน ต้องการที่จะฆ่าตัวตายโดยไม่คิดเลยสักนิด ถึงอย่างไรก็มีกู่ปิ่งทำก่อนแล้ว ไม่ตายแล้วยังจะรออันใดอยู่?
กู่ผินภายนอกดูสงบนิ่งไม่สะทกสะท้าน ทว่าภายในใจกลับกลุ้มใจขึ้นมา กู่ปิ่งสมควรตาย นี่เป็นเรื่องที่ตำหนิไม่ได้ ทว่าผู้อาวุโสทั้งสี่ท่าน ไม่ควรที่จะจบชีวิตเลย หากสูญเสียผู้อาวุโสทั้งสี่ในรวดเดียว พละกำลังของสำนักกุ่ยกู๋จำต้องลดลง เสียเปรียบอย่างมากแน่นอน! เอ่ยตามจริง ต่อให้เขาจะปลดจากตำแหน่งเจ้าสำนักสืบทอดไปยังกู่ปิ่งแล้ว ทว่าเขาก็ยังคงไม่หวังว่าผู้อาวุโสทั้งสี่ท่านนี้จะดับสูญไปเช่นกัน!
ทว่าฟางเหยียนไม่ได้เอ่ยอันใด เขาก็คงทำได้แค่มองอยู่อย่างนั้นด้วยจิตใจที่กระส่ายกระสับ!
“โผ้จวิน ผมมองออกแล้ว เจ้าพวกนี้นอกจากรังแกคนที่อ่อนแอกลัวคนที่แข็งแกร่งกว่า แถมยังกลัวตายอีกต่างหาก เมื่อครู่ที่มีคนพึ่งพาไม่เกรงกลัวต่ออันใด จมูกจะสูงโด่งไปบนฟ้าอยู่แล้ว แต่ตอนนี้แต่ละคนต่างก็กลัวกันตัวสั่น เหมือนกับผู้หญิงเลย ไม่พูดไม่ได้ว่า ประเด็นนี้แตกต่างจากนังปีศาจชิงตี้นั่นมากเกินไป!”
เทียนขุยกำลังเพิ่มน้ำมันในกองไฟ ทันใดนั้นก็ทำให้บรรยากาศตื่นตระหนกขึ้นมาทันที!
เห็นได้ชัดว่า เทียนขุยจงใจทำเช่นนี้ ก็คือเขาไม่คิดที่จะปล่อยพวกเขาไป!
บวกกับฟางเหยียนอนุญาตแล้ว แน่นอนว่าเขาจึงไม่เกรงกลัวเนื่องจากมีคนหนุนหลัง!
ฉับ…
เมื่อเสียงแหลมเสียดแก้วหูสี่เสียงดังขึ้น ร่างของผู้อาวุโสทั้งสี่ท่านก็ล้มลงทันที!
ทั้งห้าคนตายกันหมด ไม่เหลือสักคน!
กู่ผินรู้สึกหนาวเย็นจับใจ!
ต่อให้จิตใจของเขาจะหนักอึ้ง ทว่าก็ทำได้เพียงยิ้มรับ เขามีอายุปูนนี้แล้ว จะไม่เข้าใจวิถีในเรื่องนี้ได้อย่างไร ฟางเหยียนแข็งแกร่งมาก นี่เป็นเรื่องที่ตำหนิไม่ได้ ทว่าหากฟางเหยียนอ่อนแอลงกว่านี้ ผู้ที่ตายไปก็คงต้องเป็นฟางเหยียน ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ นี่เป็นหลักการที่ไม่เคยแปรเปลี่ยนตามกาลเวลา!
ในเมื่อออกมาใช้ชีวิตข้างนอกแล้ว ก็ไม่ควรทำตัวโอหัง ในเมื่อกระทำตัวเองก็ต้องรับในสิ่งที่จะตามมา เพียงแต่กู่ปิ่งทั้งห้าคนคิดไม่ถึงว่าจะโดนของแข็งเข้า กู่ปิ่งหวังเพียงว่าชาติหน้าของพวกเขาจะไม่ต้องถูกความแค้นครอบงำทำให้เสียสติไป!
“จอมพล พอใจหรือเปล่า?”
ฆ่าคนไป ยังมาถามอีกว่าพอใจหรือไม่ นี่ก็คือผลดีของการมีความสามารถ!
ผู้ที่แข็งแกร่งมีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ขอเพียงมีความสามารถ จึงจะสามารถจัดการปัญหาที่ไม่จำเป็นได้!
โลกของนินจา เคารพต่อผู้ที่แข็งแกร่งตลอดไป!
ฟางเหยียนเอ่ย เหมือนไม่ได้ยิน “ในเมื่อสำนักกุ่ยกู๋เป็นสำนักที่จงรักภักดี ถ้างั้นก็ควรที่จะส่งมอบสมบัติล้ำค่ามาหรือไม่!”