จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 855 ในที่สุดก็ปรากฏตัวออกมาสักที!
ประตูนรก!
ชื่อโอ่อ่าเสียจริง ถือว่าชื่อเหมาะสมกับของจริง ทั้งรอบด้านรกร้างเป็นอย่างยิ่ง ราวกับถูกไฟเผาห้อมล้อมมาก่อน เต็มไปด้วยความอ้างว้างเงียบเหงาไร้ที่เปรียบ
ทั้งสามคนยืนอยู่ที่ประตูนรก อยู่ๆ ก็รู้สึกถึงความแตกต่างอย่างมากของสองสถานที่ ความสงบนิ่งและความร้อนระอุผสมปนเปกันไป ราวกับไม่ให้โอกาสกับทุกคนในการตอบสนองเลย ความร้อนและหนาวเย็นประสานกัน รู้สึกไม่สบายอย่างน่าประหลาด!
น่าประหลาดเกินไป ป่าเถื่อนเกินไป!
“จอมพล ท่านจะเข้าไปจริงๆ หรือ?” กู่ผินเอ่ยถามอีกครั้ง
สายตาของฟางเหยียนมองตรงไปยังภูเขาลึก จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงราบเรียบ: “ศิษย์พี่ ขอบคุณที่บอกที่อยู่ของหินเหล็กนิล และขอบคุณที่พยายามคลี่คลายความแค้นให้ ผมเข้าใจความกังวลใจของคุณ แต่ว่าผมจำเป็นต้องได้ครอบครองหินเหล็กนิล ต่อให้จะมีอุปสรรคนานับไม่ถ้วน ผมก็ต้องบุกรุกเข้าไปดูให้จนได้”
ศิษย์พี่!
คำเรียกเปลี่ยนไป สามารถมองเห็นได้ชัดพอว่าฟางเหยียนไม่ได้เคียดแค้นสำนักกุ่ยกู๋ กู่ผินเป็นผู้อาวุโส ประสบการณ์โชกโชน จึงไม่ได้คิดต่อไปลึก
กู่ผินเอ่ยถามอย่างลองเชิงว่า: “จอมพลมีความมั่นใจจริงๆ หรือ?”
ฟางเหยียนจะไม่เข้าใจความหมายของเขาได้อย่างไร หินเหล็กนิล เป็นของดุร้าย หากได้สัมผัสกับโลก หายนะจำต้องเกิดซ้ำสอง ทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก!
เอ่ยตามจริง ฟางเหยียนก็ไม่มีความมั่นใจ สมบัติล้ำค่าของทั้งห้าสำนักนินจาใหญ่ได้รวบรวมมาสี่ชิ้นแล้ว สมบัติล้ำค่าของสำนักกุ่ยกู๋อยู่ใกล้แค่เอื้อมเช่นนี้ เขาไม่มีทางที่จะปล่อยเลยไป ขอเพียงรวบรวมสมบัติล้ำค่าของทั้งห้าสำนักนินจาใหญ่มาได้ครบ จึงจะสามารถดึงพลังของลูกแก้วทิพย์ออกมาได้ จากนั้นก็รักษาโรคเก่า กลับไปสู่ความสามารถระดับสูงสุดคืน!
และมีเพียงการฟื้นคืนพลังเท่านั้น ฟางเหยียนจึงจะสามารถต่อกรกับเพลิงเสวนได้จริงๆ จากนั้นก็ต่อต้านกลับไปรอบด้าน!
ไม่ต้องพูดถึงความอันตรายของหินเหล็กนิลก่อน ต่อให้เป็นสิ่งของดุร้ายแล้วจะทำอย่างไรได้?
หากไม่ได้ครอบครองหินเหล็กนิล โรคเก่าก็จะไม่หาย เพลิงเสวนก็จะกำเริบเสิบสานอยู่เช่นเคย!
ไม่มีพลังที่มั่นคง เกรงว่าคงยากที่จะงัดรากของเพลิงเสวนได้ ไม่สามารถที่จะจัดการเอาชนะพวกมันได้จากรากฐาน!
ในโลกของนินจา มีเพียงพละกำลังเท่านั้นที่จะเป็นหลักฐานที่ดีที่สุด!
ต่อให้หินเหล็กนิลมีอันตราย ฟางเหยียนก็ต้องไปลองดูสักตั้ง
“ศิษย์พี่ แผนอยู่ที่คน ผลอยู่ที่ฟ้า ผมเชื่อว่าท่านปรมาจารย์กู่ยกู๋เองก็จะเป็นผู้ผดุงคุณธรรมเช่นกัน!”
กู่ผินใบหน้ากระตุก คำพูดนี้ช่าง เหมือนกับไม่ได้เอ่ยอย่างไรอย่างนั้น นี่แสดงว่าไม่มีความมั่นใจเลย!
ไม่รอให้เขาเอ่ยอันใดต่อ ฟางเหยียนก็ก้าวเท้าเดินหน้าเรียบร้อย เทียนขุยก็เดินตามอยู่ด้านหลัง
กู่ผินส่ายหน้าอย่างเอือมระอา บ่นพึมพำกับตัวเอง: “เรื่องเลยเถิดมาจนถึงตอนนี้ ก็คงทำได้เพียงเชื่อใจเขาแล้วละ”
เพิ่งเขามาในภูเขาลึกได้ไม่นาน ทั้งสองคนก็รู้สึกลมหนาวพัดมาเป็นระยะๆ ราวกับเข้ามายังสุสานร้างอย่างไรอย่างนั้น รอบด้านไม่มีร่องรอยของมนุษย์ ต่อให้เป็นสัตว์ก็ไม่มีสักตัว นี่มันเหมือนประตูนรกที่ไหนกัน นี่มันเหมือนภูเขามรณะลูกหนึ่งจริงๆ !
ทั้งภูเขาลึกสงบเงียบ บรรยากาศหนักอึ้ง มีความรู้สึกกดดันอย่างมาก ทว่าที่ทำให้ทั้งสองคนไม่เข้าใจก็คือ ภูเขาป่าลึกที่สงบเงียบนี้ เหตุใดต้นไม้กลับไม่ถูกกระทบด้วย? กลับมีความอุดมสมบูรณ์ สูงชะลูด ทว่าหญ้าที่อยู่บนพื้นกลับถูกไฟเผาไหม้เกรียม ไม่มีรอดเลยสักต้น!
ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง!
ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในนี้ เทียนขุยก็ไม่ได้เอ่ยอันใด กลายเป็นคนเงียบพูดน้อยทันที ทว่าเมื่อฟางเหยียนหันหลังกลับไปมอง จึงพบว่าบนใบหน้าของเทียนขุยเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง สายตาล่องลอย ร่างกายสั่นเทารุนแรง!
หนาวจนแข็งแล้ว!
ฟางเหยียนคิดไม่ตกว่าตรงไหนที่ผิดไป เขามีความรู้สึกหนาวเหน็บอยู่ก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะหนาวจนตัวแข็งเร็วเช่นนี้!
เมื่อเห็นว่าเทียนขุยท่าทางไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงไม่ลังเล ยกมือขึ้นมา จากนั้นหมอกขาวที่เลือนรางก็ลอยไปหาเทียนขุย เขาสั่นเทารุนแรงขึ้นมาราวกับคนถูกไฟดูด เมื่อได้สติ จึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ: “โผ้จวิน เมื่อกี้ผมเกือบจะแข็งตายแล้วใช่ไหม!”
ฟางเหยียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ: “ที่นี่ป่าเถื่อนมาก ระวังหน่อย รวบรวมกำลังภายในกำจัดความหนาวซะ”
เทียนขุยเอ่ยตอบรับ พลังช่วงหลังของระดับต้าชี่เป็นที่ประจักษ์ เขารู้สึกดีขึ้นมามากแล้ว: “โผ้จวิน ดูเหมือนว่ากู่ผินจะไม่ได้หลอกพวกเรานะ เขตต้องห้ามนี้ไม่ใช่ที่ที่คนควรอยู่จริงๆ ด้วย! เป็นสิ่งที่ดุร้ายจริงๆ ด้วย ป่าเถื่อนเกินไปแล้ว น่าประหลาดเกินไปแล้ว!”
ฟางเหยียนไม่ได้เอ่ยอันใด สิ่งที่เทียนขุยรู้สึกว่าน่าประหลาด เขาก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน สำหรับเหตุผลนั้น ความจริงก็คือ เทียนขุยอ่อนแอเล็กน้อย!
ไม่พูดไม่ได้ ว่าประตูนรกนี้สามารถทำให้คนที่ต้องการเห็นหินเหล็กนิลตกใจได้จริงๆ ถึงอย่างไรนินจาที่ระดับต่ำกว่าปรมาจารย์ต้องการที่จะเข้ามา ความหนาวเหน็บเป็นส่วนแรกที่ต้องเผชิญ ต่อมา…ยังไม่ทราบตอนนี้
“เทียนขุย ถ้าทนไม่ไหวบอกนะ ถ้าฝืน อย่ามาล้มอยู่ที่นี่”
เมื่อเกิดเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ เทียนขุยไม่กล้าที่จะขี้โม้แล้ว จึงได้พยักหน้าอย่างระมัดระวัง: “โผ้จวิน คุณสบายใจได้”
ทั้งสองคนไม่ได้ลังเลใจ เดินหน้าต่อ ยิ่งลึกเท่าไร ความหนาวเย็นก็เข้ากระดูก ความหนาวเหน็บเข้าปะทะ ลมหนาวราวกับมีด ฟันเข้าไปในกระดูก!
เทียนขุยเนื้อตัวสั่นเทา เดินก้าวเท้าไปข้างหน้าทีละเก้าอย่างยากลำบาก เมื่อมาดูฝั่งฟางเหยียน ใบหน้าของเขาสงบนิ่ง ราวกับว่าความหนาวเหน็บที่อยู่รอบๆ ไม่สามารถทำอะไรเขาได้
เดินมาเป็นเวลาประมาณสามนาที เทียนขุยก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้แล้ว เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ: “โผ้จวิน ผม ผม…”
ฟางเหยียนไม่ได้สนทนาด้วย เวลาต่อมาก็มีหมอกขาวลอยไปยังเทียนขุยอีกรอบ
เทียนขุยสูดหายใจเข้าลึก แขนขาทั้งสี่ที่แข็งทื่อสัมผัสถึงความอบอุ่นในทันที และเขาเพิ่งจะพบว่า ห่างออกไปไม่ไกลนักมีคนยืนอยู่ จึงได้เอ่ยขึ้นอย่างตกใจว่า: “โผ้จวิน ตรงนั้น เหมือนจะมีคน!”
ฟางเหยียนสาวเท้าเร็วๆ เดินเข้าไป มองดูแวบหนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นมา: “ดูเหมือนว่าจะเป็นสำนักกุ่ยกู๋ไม่ผิดแน่ แค่ว่าถูกความหนาวปกคลุมจนแข็งตายไปแล้ว ดูจากชุดที่สวมใส่อยู่ น่าจะเป็นคนจากราชวงศ์ชิง”
“น่าจะเป็นอย่างที่กู่ผินบอก คนที่ต้องการครอบครองหินเหล็กนิล”
พวกเขาเดินหน้าต่อไป ผ่านไปหนึ่งนาที ทั้งสองคนก็หยุดอีกครั้ง
หากเส้นทางข้างหลังคือโลกของน้ำแข็ง เช่นนั้นเส้นทางข้างหน้าก็คือภูเขาเพลิงไฟไม่มีผิด!
เมื่อมาถึงตรงนี้ บรรยากาศก็ร้อนระอุขึ้นมา ราวกับต้องการจะแผดเผาทั้งรอบด้านให้มอดไหม้
ฟางเหยียนมีสติขึ้นมา หน้าผากมีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มไปหมด ถูกอบอย่างกะทันหันเช่นนี้ น้ำที่หล่อเลี้ยงร่างกายอยู่ก็ไหลเวียนอย่างรวดเร็ว มาดูฝั่งของเทียนขุย ทั้งเนื้อทั้งตัวราวกับถูกย่างจนสุกแล้ว ผิวหนังแดงก่ำ ริมฝีปากแตกระแหง!
น้ำเสียงของเทียนขุยแหบพร่า เอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ : “โผ้จวินเส้นทางต่อไป ผม ผมอาจจะไปกับคุณไม่ได้แล้ว”
เขาชัดเจนดีว่า ฟางเหยียนไปคนเดียว จะสามารถลดพลังกายและพลังจิตไปได้มาก ตอนนี้ตนได้กลายเป็นตัวถ่วงของเขาไปแล้ว ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็จะมีแต่ทำให้ฟางเหยียนลำบากไปด้วย
ฟางเหยียนไม่ได้เอ่ยอันใด มองรอบด้านอย่างละเอียด จากนั้นจึงพยักหน้าเล็กน้อย ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไร ก็มีสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้มากเท่านั้น เมื่อพลังกายต่ำลง คงต้องถูกขังอยู่ที่นี่ตลอดไปเป็นแน่
ทว่าตอนที่เขาเดินจากมา ก็ยังทำสิ่งหนึ่งให้เทียนขุย นั่นคือทิ้งพลังภายในของเขา ช่วยเทียนขุยกำบังภัยจากความหนาวเย็นและความร้อนจัดไปจนได้
“โผ้จวิน ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ผมคิดว่าตัวเองจะสามารถตามรอยเท้าของคุณทันอย่างรวดเร็ว แต่พอดูตอนนี้ ผมเป็นตัวถ่วงคุณมาโดยตลอด ขอโทษจริงๆ ครั้งนี้ผมเป็นตัวถ่วงคุณอีกแล้ว”
ฟางเหยียนเอ่ย โดยไม่หันกลับไปมอง: “ระหว่างสหาย ไม่ต้องพูดอะไรมาก”
เทียนขุยยิ้มอย่างขมขื่น และทำได้เพียงมองส่งฟางเหยียนเดินจากไปคนเดียวในความลึก
อันที่จริง เพิ่งจะมาจากโลกน้ำแข็งอันหนาวเหน็บและมายังสภาพแวดล้อมที่เป็นภูเขาเพลิงไฟร้อนระอุนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ยากที่จะรับไหว ความทรมานจากร่างกายเป็นสิ่งรองลงมา ที่สำคัญที่สุดก็คือได้รับความทรมานในด้านของจิตใจ ภายในสภาพแวดล้อมที่ร้อนระอุอย่างหาที่เปรียบไม่ได้นี้ ราวกับเดินอยู่ในทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ขาดน้ำและแห้งเหือด เป็นบททดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ปากแห้ง ลำคอมีควันออก คำบรรยายเหล่านี้ล้วนไม่สามารถอธิบายความร้อนระอุในตอนนี้ได้
นอกจากร้อนแล้วเวียนหัว ศพหลายร่างก็เป็นหลักฐานที่ดีที่สุด ต่างก็ร้องทุกข์ถึงความน่ากลัวและความป่าเถื่อนของที่นี่!
ยิ่งเข้าไปลึกขึ้น เมื่อฟางเหยียนเดินมาได้ไม่กี่นาที ก็เริ่มก้าวเท้าลำบาก ราวกับทุกย่างก้าวของเขาจะทำให้พลังทั้งหมดสูญสิ้นไป ใบหน้าซีดเซียวราวกับเป็นกระดาษเปล่า ไม่มีเลือดฝาดเลยสักนิด ผิวหนังก็เริ่มแตกระแหง โดยเฉพาะริมฝีปาก แตกออกเป็นผิวแยกชั้น
ฟางเหยียนทนไม่ได้ขนาดนั้นจริงๆ หรือ?
ไม่!
เขาไม่ได้ใช้พลังภายในมาโดยตลอด นอกจากเขาว่าพบโรคเก่าของตัวเองมีความสบายในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เป้าหมายก็คือต้องการหลอมร่างกาย
โรคเก่ามีชีวิตชีวาขึ้นมา ทว่าสุดท้ายก็ไม่สามารถขจัดออกได้ นี่ทำให้เขาทรมานเล็กน้อย
ด้วยการนี้ เขาจึงไม่กล้าที่จะฝืนทน ระดับความแกร่งของร่างกายได้เกินกว่าที่จะรับไหวเรียบร้อย ขืนฝืนต่อไป บางทีอาจเป็นดั่งศพแห้งที่อยู่ข้างหลังก็เป็นได้!
และเช่นนี้เอง ฟางเหยียนได้เดินหน้าไปต่อหลายนาที เพิกเฉยต่อความร้อนระอุ ราวกับเป็นสถานที่ที่ไร้คน หมอกสีขาวนั่นก็คล้ายเป็นโล่กำบัง ตัดขาดความร้อนระอุไป ทำให้เขาเดินได้เร็วขึ้น เดินได้ไกลขึ้น
ทันใดนั้นเอง เขาก็หยุดเดิน มองไปข้างหน้าด้วยสายตาสงบนิ่ง มุมปากยกขึ้นมาฉีกรอยยิ้ม: “ในที่สุดก็ปรากฏตัวออกมาสักที!”