จอมนักรบท้าโลก - จอมนักรบท้าโลก - บทที่ 15 กล้าพนันไหม
บทที่ 15 กล้าพนันไหม
วางสาย เจียงชื่อก็พูดอย่างนิ่งเรียบ “เขาบอกว่าจะส่งมาในอีกสิบนาที”
“อุ๊บ…แกล้งทำ แกล้งทำต่อไปเถอะ ทำซะเหมือนจริง ๆ เลย” จ้าวเต๋อเฉิงชี้นิ้วไปที่หัวตัวเอง “ถ้าวันนี้นายเอาตะกร้าเพชร ที่แต่ละเม็ดล้วนเหมือนกับเม็ดนี้ของฉันมาได้ ถ้าอย่างนั้นฉันคนแซ่จ้าวจะบั่นหัวออกมาทำเก้าอี้ให้นายนั่งเลย ไม่อย่างนั้นล่ะก็ นายจะต้องเลิกยุ่งกับน้องเมิ่งเหยน”
ติงเมิ่งเหยนขมวดคิ้ว “พี่พูดอะไรเนี่ย?”
จ้าวเต๋อเฉิงจ้องไปที่เจียงชื่อ “ว่าไง? ถ้าเป็นผู้ชายก็พนันกับฉันสักตา เป็นยังไง?”
เจียงชื่อเงียบ
ติงเมิ่งเหยนดึงแขนเสื้อของเขา “อย่าไปสนใจคนแบบนี้เลย”
เมื่อจ้าวเต๋อเฉิงเห็นเจียงชื่อไม่พูด เขาก็ยิ่งลำพอง“ฮ่าๆ ถูกฉันเปิดโปงคำโกหกแล้ว เลยไม่กล้าพนันเหรอ?”
เจียงชื่อส่ายหัว “ไม่ใช่ ฉันแค่คิดว่าบั่นหัวของนายออกเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เลยรู้สึกผิดนิดหน่อย”
“เฮ้ยนี่…” จ้าวเต๋อเฉิงยืนขึ้น “เจียงชื่อ ถ้านายคุยโม้ให้น้อยหน่อยมันจะตายหรือไง? แค่ถามนายว่า กล้าหรือไม่กล้าพนัน?”
“งั้นก็ พนันเลยสิ”
จ้าวเต๋อเฉิงยิ้มหน้าบานด้วยความยินดี ราวกับได้เห็นฉากที่เจียงชื่อหย่ากับติงเมิ่งเหยนแล้ว
ในตอนนี้เอง…
โทรศัพท์มือถือของเจียงชื่อดังขึ้นอีกครั้ง
“ของมาถึงแล้ว รอสักสองสามนาทีนะ”
เขาลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอก จ้าวเต๋อเฉิงตะโกนจากด้านหลัง “เฮ้ พวกเราทุกคนรอแล้ว นายก็อย่าใช้โอกาสนี้หลบหนีไปแล้วกัน”
เมื่อเห็นเบื้องหลังของเจียงชื่อที่ออกไป ทั้งติงเมิ่งเหยนและซูฉินสองคนแม่ลูกต่างก็เหงื่อตก
เพชรหนึ่งตะกร้า?
อย่าว่าแต่เจียงชื่อเลย ในเวลาสั้น ๆ แม้แต่ร้านขายเครื่องประดับที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ยังเอาออกมาไม่ได้เลย
ถ้าแพ้พนันครั้งนี้ อย่าบอกนะว่าจะหย่าจริง ๆ ?
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงชื่อก็กลับมา
มือขวาเขาถือตะกร้าใบหนึ่งเอาไว้ บนตะกร้าคลุมด้วยผ้าสีแดงเข้มผืนหนึ่ง
เจียงชื่อเดินไปด้านหน้าทุกคน นำตะกร้าวางลงบนโต๊ะชา แล้วเอื้อมมือไปเปิดผ้าสีแดงออก เผยให้เห็นเพชรสุกใสขนาดเท่าไข่ห่าน!
แต่ละเม็ดล้วนส่องประกายวิบวับ แต่ละเม็ดล้วนแวววาวระยิบระยับ แต่ละเม็ดล้วนมีขนาดใหญ่กว่าของจ้าวเต๋อเฉิง
ทั้งตะกร้าเต็มไปด้วยเพชร คาดว่ามีมากกว่าร้อยเม็ด!
แสงไฟส่องลงไปบนเพชร รังสีหักเหของแสง ส่องสะท้อนจนห้องนี้ส่องแสงเปล่งประกาย
“ไม่ เป็นไปไม่ได้”
จ้าวเต๋อเฉิงยื่นมือออกมาดึงเพชรด้านบนออกมา จะลองดูว่ามันถูกหินวางรองไว้ด้านล่างหรือเปล่า แต่เขากลับต้องรู้สึกตกใจ
ไม่เพียงแค่ชั้นบนเท่านั้น แต่กระทั่งด้านล่างก็ล้วนเป็นเพชร
มันคือเพชรหนึ่งตะกร้าจริง ๆ ไม่มีหินเลยสักก้อนเดียว
ซูฉินหยิบพวกมันขึ้นมาสองสามเม็ดและสำรวจดูอยู่ในฝ่ามือของเธออย่างระมัดระวัง ในฐานะผู้หญิง เธอค่อนข้างเก่งเรื่องเพชร หลังจากสำรวจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอพบว่าพวกมันเป็นเพชรจริง ๆ ของแท้สมราคา
“เหลือเชื่อ ไม่น่าเชื่อเลย เพชรตะกร้านี้ต้องมีมูลค่าเท่าไหร่กัน?”
“ถึงค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่เม็ดละสามแสน แต่หนึ่งร้อยเม็ดนี้ ก็ต้องมากกว่าสามสิบล้าน”
“ชื่อ ที่แดนตะวันตก ไม่มีใครต้องการเพชรเหล่านี้จริงเหรอ เกลื่อนกลาดเต็มพื้น?”
เจียงชื่อยักไหล่
“ใช่ครับ ทุกคนในดินแดนตะวันตกสนใจแค่จะกินอะไร ดื่มอะไร ใส่อะไร ของแบบนี้มีอยู่เกลื่อนกลาดเต็มถนน เห็นจนชินตั้งนานแล้ว”
ซูฉินถามด้วยความไม่เข้าใจ “แล้วทำไมไม่มีใครหยิบมันขึ้นมาล่ะ?”
“มีชีวิตหยิบมา ก็ไม่แน่ว่าจะคุณมีชีวิตกลับมา นอกจากนี้พกของพวกนี้ติดตัว จะทำอะไรก็กลายเป็นเรื่องลำบากไปหมด และความต้องการเพื่อความอยู่รอดก็ยิ่งสูงขึ้น”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง”
ซูฉินถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ถามว่าทำไมเจียงชื่อถึงไม่หยิบพวกมันขึ้นมา จากนั้นเขาก็เป็นมหาเศรษฐีด้วยเช่นกัน?
อันที่จริง ถ้าซูฉินรู้ลำดับยศศักดิ์ของเจียงชื่อ และรู้ว่าเขามีทรัพย์สินมากเท่าไหร่ภายใต้ชื่อของเขา ก็คงจะไม่ถอนหายใจมากขนาดนี้
เมื่อเทียบกับทรัพย์สินในปัจจุบันของเจียงชื่อ เพชรตะกร้านี้ ไม่ได้สักเศษเสี้ยวของเขาเลย เรียกได้แค่ว่าเป็นเพียงทรายเม็ดหนึ่งในมหาสมุทร
บนใบหน้าของจ้าวเต๋อเฉิงปวดแสบปวดร้อนขึ้นมา
เขาเพิ่งสาบานว่าเจียงชื่อโม้ แต่เจียงชื่อกลับหยิบตะกร้าเพชรออกมาจริง ๆ จ้าวเต๋อเฉิงรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหน้า
ติงเมิ่งเหยนพูดฮึดฮัดเสียงเย็น“จริงด้วย ผมจำได้ว่ามีคนพูดว่า ถ้ามีเพชรหนึ่งตะกร้า ก็จะให้บั่นหัวมาทำเป็นเก้าอี้?
จ้าวเต๋อเฉิงกลืนน้ำลาย“นั่นมัน ก็แค่เรื่องล้อเล่น จะเอาจริงเอาจังได้ยังไง?”
เจียงชื่อกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ลูกผู้ชายตัวจริง จะไม่พูดคำไหนคำนั้นได้ด้วยเหรอ?”
จ้าวเต๋อเฉิงมองไปที่เขาอย่างเย็นชา หัวเราะเบา ๆ และยื่นคอไปข้างหน้า“เอาล่ะ คำไหนคำนั้น ไอ้บ้าเอ๊ยแกมาตัดเลยสิ มาสิ!”
ติงเมิ่งเหยนสบถ “ขี้โกง!”
ทันใดนั้นเอง……
มือซ้ายของเจียงชื่อก็กดศีรษะของจ้าวเต๋อเฉิงเอาไว้ด้วย กดเขาลงบนโต๊ะชาอย่างรุนแรง มือขวาหยิบมีดผลไม้บนโต๊ะขึ้นมา ฟันลงไปตามคอของเขา
รอบด้านเงียบไปชั่วขณะ
เมื่อมองไปยังมีดที่ถูกฟันลงมานั้น ขาของจ้าวเต๋อเฉิงก็อ่อนแรงในทันที ระหว่างขาทั้งสองข้างมีของเหลวข้นไหลออกมา กลิ่นเหม็นจนแทบทนไม่ได้
เสียงดังปัง มีดผลไม้พาดผ่านคอของจ้าวเต๋อเฉิงและปักลงบนโต๊ะตรง ๆ
ปลายมีดแทงพาดผ่านคอของเขา ทิ้งเป็นแผลตื้น ๆ เอาไว้ มีเลือดสด ๆ ไหลนองลงบนโต๊ะ
จ้าวเต๋อเฉิงนอนอยู่บนโต๊ะเหมือนศพ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับ
เจียงชื่อกล่าวอย่างเย็นชา “ครั้งต่อไป มีดของฉันจะไม่พลาดแล้วนะ นาย ไสหัวไปได้”
“ไป ฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
จ้าวเต๋อเฉิงจะกล้าพูดเรื่องไร้บ้าบออะไรได้อีก ลุกขึ้นจับลำคอเอาไว้ และวิ่งก้าวใหญ่ ๆ ไปทางประตู วิ่งแทบล้มลุกคลุกคลานออกจากประตูบ้านตระกูลติงไป จนเกือบจะชนติงฉี่ซานซึ่งกลับมาจากการซื้อข้าวตรงประตู
“เฮ้ หลานชาย ทำไมถึงรีบไปล่ะ? ไม่อยู่กินข้าวเย็นเหรอ?” ติงฉีซานร้องถามอย่างสงสัย
จ้าวเต๋อเฉิงวิ่งหนีไปโดยไม่หันกลับมามอง วิ่งจากไปราวกับบิน
ติงฉี่ซานเดินเข้าไปในบ้านอย่างช้า ๆ “เสี่ยวจ้าวเป็นอะไรไป?”
ซูฉินกลอกตามองเขา“เสี่ยวจ้าวอะไรกัน? ก็แค่คนเลวคนหนึ่ง จากนี้ไป อย่าพาคนแบบนี้เข้ามาในบ้านอีกนะ เห็นแล้วสะอิดสะเอียน”
“เอ่อ……”
ติงฉี่ซานเห็นตะกร้าเพชรบนโต๊ะนั่น ปากของเขาก็อ้าไม่หุบด้วยความตกใจ “นี่มัน?”
ซูฉินกล่าวว่า “จริงด้วย ชื่อ เธอรีบเอาตะกร้าเพชรที่ยืมมานี่คืนไปเถอะถ้าทำหายไปละก็เราชดใช้ไม่ไหวหรอก”
เจียงชื่อยักไหล่ “ไม่เป็นไร ยังไงก็แค่หยิบมาเฉย ๆ”
“พูดแบบนั้นไม่ได้นะ เธอรีบคืนกลับไปเถอะ”
“งั้นก็ได้ครับ”
เจียงชื่อหยิบเพชรออกไป และไม่กี่นาทีต่อมาก็กลับบ้านมาในบ้าน อารมณ์บนใบหน้าขมขื่นเล็กน้อย
ซูฉินเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงถามว่า “ชื่อ เธอเป็นอะไรไป? ท่าทางดูไม่ค่อยดีเลย มีใครพูดอะไรไม่ดีกับเธอหรือเปล่า?”
เจียงชื่อถอนหายใจบางเบา “คุณพ่อ คุณแม่ เมิ่งเหยน ผมมีบางอย่างจะขอความช่วยเหลือจากพวกคุณ”
“ว่ามาสิ ไม่เกรงใจขนาดนั้นหรอก”
“ห้าวันต่อจากนี้ เป็นวันเกิดของซูโม่ ผมอยากจะเชิญพวกคุณไปร่วมงาน และไปทำพิธีเซ่นไหว้ด้วยกัน”
ติงฉี่ซานกล่าวว่า “เรื่องนี้เองเหรอ ฉันเป็นเพื่อนร่วมชั้นเก่ากับพ่อนายมาตั้งกี่ปีแล้ว และนายก็เป็นลูกเขยของฉัน ไม่ว่าทางด้านเหตุผลหรือความรู้สึก พิธีเซ่นไหว้ของซูโม่พวกเราตระกูลติงก็ควรเข้าร่วมอยู่แล้ว วางใจเถอะ อีกห้าวันเราจะไปเข้าร่วม”
“ขอบคุณครับ คุณพ่อ งั้นผมจะโทรหาพวกคุณปู่เขา แจ้งให้ทุกคนทราบอีกทีนะครับ”
ติงฉี่ซานและซูฉินมองหน้ากัน และพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ “คนอื่น ๆ ฉันว่าไม่ต้องหรอกนะ”