จอมนักรบท้าโลก - จอมนักรบท้าโลก - บทที่ 76 ยืมเงิน
บทที่ 76 ยืมเงิน
ในห้องนอน เจียงชื่อโทรหามู่หยางอีแล้วพูดเรื่องบางอย่าง ในบทที่ติงเมิ่งเหยนผลักประตูเข้ามา เขามองเห็นแล้วจึงกดตัดสายลวกๆ
ติงเมิ่งเหยนเหน็บผมขึ้นแล้วพูดขอโทษ “ขอโทษนะ”
“อ๊ะ?”
“ฉันพูดแทนพ่อของฉันน่ะ ฉันรู้ว่าคุณเองก็หวังดีต่อเขา แต่ว่าพ่อของฉันก็เป็นคนดึงดันเกินไป จึงคิดปัญหาไม่ออก”
เจียงชื่อยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก ผมเองก็ไม่ได้เอามาใส่ใจ ที่สำคัญคือต้องแก้ปัญหา”
ติงเมิ่งเหยนถอนใจยาว “ตอนนี้พ่อออกไปหาถังแหวนโม่แล้วค่ะ เฮ้อ หวังว่าจะยืมเงินได้นะ”
ภายในชั่วพริบตา มือถือของเขาก็สั่นขึ้นมาและได้รับข้อความ
เจียงชื่อเปิดด้วยท่าทีสงบ เนื้อหาภายในคือ ตรวจพบสาเหตุแล้ว
เขาเก็บมือถือแล้วสุ่มหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาแล้วออกไปทันที
“ดึกขนาดนี้แล้วคุณจะไปที่ไหนเหรอ?” ติงเมิ่งเหยนเอ่ยถาม
เจียงชื่อหยุดที่ประตูแล้วครุ่นคิดก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า : “ไปเป็นนักสืบ ตามเงินมหาศาลที่จู่ๆก็หายไปกลับมา”
โดยไม่รอให้ติงเมิ่งเหยนเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เจียงชื่อก็หายไปจากสายตาแล้ว
…….
อีกด้านหนึ่ง รถยนต์สีดำก็ขับไปข้างหน้าท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ในที่สุดก็หยุดอยู่ตรงหน้าวิลล่าหรูหราหลังหนึ่ง
ติงฉี่ซานใช้มือบังฝนแล้ววิ่งเหยาะๆไปกดกริ่งประตู
ใช้เวลาห้านาทีเต็มถึงจะมีคนเดินจากสนามหญ้ามาเปิดประตู
“โอ้ นี่คือคุณปู่ฉี่ซานใช่ไหม? ทำไมถึงได้มาหาพวกเราที่นี่ดึกขนาดนี้ล่ะคะ?”แม่บ้านพูดอย่างประหลาดใจ
“เรื่องนั้น แหวนโม่กับจื่อยวี่อยู่บ้านหรือเปล่า? ฉันมีเรื่องด่วนต้องการพบพวกเขา”
“ดูทีวีอยู่ค่ะ คุณเข้ามากับฉันเถอะ” แม่บ้านพาติงฉี่ซานเข้ามานั่งในห้องโถง แล้วนำผ้าขนหนูร้อนมาให้เช็ดหน้าและรินน้ำชาให้ หลังจากนั้นจึงไปรายงานติงจื่อยวี่กับถังแหวนโม่
ไม่นานนัก ทั้งสองคนที่สวมชุดนอนแล้วก็มาถึงห้องนั่งเล่นและนั่งลงตรงข้ามติงฉี่ซาน
ถังแหวนโม่และติงจื่อยวี่ต่างมองหน้ากันและกันต่างสงสัยว่าจู่ๆติงฉี่ซานวิ่งมาหากลางดึกขนาดนี้ต้องการจะทำอะไรแล้วยังทำท่าทางอึดอัดใจเช่นนี้ด้วย
ติงจื่อยวี่ยิ้มแล้วถามว่า “อาสาม ดึกขนาดนี้แล้วคุณยังไม่นอน มาทำอะไรที่บ้านพวกเรางั้นเหรอ?”
สองมือของติงฉี่ซานสั่นเทา รู้สึกลังเล อึกๆอักๆอยู่นานแล้วก็ไม่พูดอะไรสักคำ
เรื่องนี้พูดยากจริงๆ
ติงจื่อยวี่เป็นคนที่มากด้วยประสบการณ์ แวบแรกที่เห็นท่าทางนี้ก็รู้ว่ามีเรื่องอยากจะขอร้องเธอจึงเอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้มจอมปลอมว่า “คุณอา มีเรื่องอยากให้เราช่วยใช่ไหม? เราทุกคนเป็นญาติกัน คุณพูดมาเถอะค่ะ ถ้าช่วยได้พวกเราช่วยแน่นอน”
“เฮ้อ…” ติงฉี่ซานเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงกลางวันสั้นๆด้วยใบหน้าที่ขมขื่น ท้ายที่สุดก็พูดอ้อนวอนว่า “จื่อยวี่ แหวนโม่ ฉันรู้ว่าพวกเธอมีฐานะค่อนข้างร่ำรวย มีเงินทองไม่ขาด ครั้งนี้ช่วยอาสามหน่อยได้ไหม?”
ติงจื่อยวี่ได้ยินแล้วก็คิ้วขมวด
พูดเล่นอะไรกัน? พูดว่าต้องการสามสิบล้านเนี่ยนะ? ถ้าเป็นสามหมื่น หรือว่าสามแสน จะหยิบยืมกันในฐานะญาติก็ไม่เป็นไรหรอก สามสิบล้านมันมากเกินไปจะให้ยืมได้ยังไง?
ติงจื่อยวี่รู้สึกไม่พอใจ ยกขาขึ้นไขว่ห้างแล้วพูดว่า “อาสามคะ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ให้ยืมนะคะ คุณทำให้เราต้องลำบากใจจริงๆ เงินสามสิบล้าน ในเวลาชั่วครู่ชั่วยามพวกเราจะเอามาจากไหนล่ะคะ?”
ถังแหวนโม่กล่าวเสริมว่า “ยิ่งไปกว่านั้นเงินจำนวนมากขนาดนี้ ถ้าให้คุณยืมไปแล้ว ถึงเวลาคุณจะจ่ายคืนยังไงล่ะ?”
สิ่งนี้คือปัญหา
ยืมเสร็จแล้วจะคืนยังไง? ถึงเวลาแล้วจ่ายคืนไม่ได้ พวกเราจะถามถึงเหตุผลได้ที่ไหน?
ในใจของติงฉี่ซานโกรธมาก นี่เขาจะต้องวิ่งถอนเงินตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? แต่ว่าเขายังต้องจำยอมก้มหัวให้อยู่ดี
เขาพูดประจบประแจงว่า “นี่แหวนโม่ ฉันใช้ชีวิตเป็นประกันเลยว่าขอเพียงคุณให้เงินฉันยืม ฉันจะจ่ายคืนให้คุณอย่างแน่นอน”
“ชีวิตเหรอ?”
ถังแหวนโม่หัวเราะเสียงดังแล้วพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “ขอโทษทีนะ ชีวิตของคุณมีค่าสามสิบล้านเลยเหรอ?”
โหดร้ายเกินไปแล้ว
เมื่อพูดคำพูดประเภทนี้ออกมา เท่ากับไม่มีความสัมพันธ์เครือญาติต่อกันแม้แต่น้อย
ติงฉี่ซานไม่สามารถควบคุมสีหน้าเอาไว้ได้ แต่ก็ยังกัดฟันข่มอารมณ์โกรธเอาไว้แล้วพูดขอร้อง “จื่อยวี่ แหวนโม่ ถ้าหากพวกเธอไม่ช่วยฉันล่ะก็ พรุ่งนี้ฉันต้องเข้าคุกแล้ว พวกเธอจะมองดูโดยไม่ช่วยงั้นเหรอ!”
“เฮ้อ นี่มันหมายความว่ายังไง?” ติงจื่อยวี่อารมณ์เสียแล้ว “อาสามคะ คุณจะเอาคำพูดแบบนี้มาบังคับพวกเราไม่ได้นะ นอกจากนี้ คุณยังเป็นแค่อาสามของฉัน นับดูระยะห่างระหว่างเครือญาติแล้ว คุณควรจะไปหาคุณปู่ติงก่อนสิ คุณปู่ติงเป็นหัวหน้าตระกูลติง มีอำนาจในการบริหารเงินทองทั้งหมดของตระกูลติง เขาคือคนที่รวยที่สุด”
“ทำไมคุณถึงใกล้เกลือกินด่าง ไม่ไปหาญาติใกล้ชิดที่รวยที่สุด มาหาพวกเราทำไม?”
ถังแหวนโม่กล่าวด้วยว่า: “อาสาม ไม่ว่ายังไงคุณก็เป็นลูกของคุณปู่ติง เขาไม่มองดูคุณตายโดยไม่ช่วยหรอกนะครับ”
ติงฉี่ซานโกรธขึ้นมาแล้ว
“พูดอย่างนี้ พวกเธอจะบอกว่าไม่ให้ยืมใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ว่าไม่ให้ยืม แต่ไม่มีให้ยืม”
“ก็ได้ งั้นลาก่อน!”
“เดินทางดีๆนะ ขอไม่ส่งล่ะ”
ติงฉี่ซานเตะโต๊ะกาแฟแล้วลุกขึ้นเดินจากไปด้วยความโกรธ
ติงจื่อยวี่มองตามเขาแล้วทำเสียงเชอะ “อะไรกันเนี่ย? พูดมาได้ว่าสามสิบล้าน ทำไมไม่ไปปล้นเลยล่ะ?”
ถังแหวนโม่ยิ้ม “พวกเราโทรบอกเรื่องนี้กับคุณปู่ติงก่อนดีกว่า จะให้คนแก่ “เซอร์ไพรส์” ได้ยังไง?”
ติงจื่อยวี่ยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “สามี คุณนี่มันแสบจริงๆ”
“เฮอะ เจียงชื่อ ติงเมิ่งเหยนกลั่นแกล้งพวกเรากี่ครั้งแล้ว? ที่จริงแล้วเป็นพวกเขาต่างหากที่ติดหนี้พวกเรา!”
ทางด้านติงฉี่ซานที่วิ่งออกมาจากประตูใหญ่ด้วยความโกรธแล้วตรงกลับเข้าไปนั่งในรถ โดยไม่สนใจเม็ดฝนที่ตกลงบนหน้าแล้วหยิบมือถือออกมาอย่างเร่งรีบ
ขณะที่มือข้างหนึ่งขับรถ อีกข้างหนึ่งเมื่อพบเบอร์ของคุณปู่ติงแล้วจึงโทรออก
“ขออภัยค่ะ เลขหมายที่คุณเรียกกำลังอยู่ในการโทร โปรดติดต่ออีกครั้งภายหลัง”
หลังจากโทรติดต่อกันสิบกว่าครั้ง ในที่สุดคุณปู่ติงก็รับสาย
ติงฉี่ซานรีบพูดว่า “พ่อ ผมมีเรื่องอยากจะพูดด้วย…”
“หุบปาก! ฉันรู้แล้วว่าแกอยากจะพูดอะไร จื่อยวี่บอกฉันหมดแล้ว แกทำเงินของสำนักงานทรัพยากรน้ำหายไปสามสิบล้าน คิดจะมายืมเงินฉันเพื่อไปจ่ายคืนสินะ?”
“บอกแกเลยนะ ว่าคิดเพ้อเจ้อ!”
“ฉันมีชีวิตที่ส่องประกายมาตลอด ทำไมถึงให้กำเนิดสิ่งที่ไร้ประโยชน์แบบนี้ออกมาได้? ฉี่ซาน เป็นคนก็ต้องยอมรับสิ่งที่ทำ แกทำเงินหายก็ต้องยอมรับผลที่ตัวเองทำสิ”
“ฉันไม่สนใจว่าแกจะไปขอยืมเงินใคร แต่ว่าคิดว่าจะได้เงินจากฉันแม้แต่หยวนเดียว!”
“ถ้าแกเอาเงินมาใช้คืนไม่ได้ก็อย่าคิดว่าฉันจะช่วยแก รอติดคุกไปเถอะ ฉันไม่มีลูกกากๆอย่างแก!”
ตู๊ดๆ คุณปู่ติงตัดสายโดยตรง
ดวงตาของติงฉี่ซานตกตะลึง จมดิ่งสู่ความเงียบงันไปทั้งตัว
รถค่อยๆขับช้าๆบนถนน
ขับไปขับไปแล้วหยุดลง
ติงฉี่ซานโยนมือถือทิ้ง มือทั้งสองข้างกุมหัวแล้วฟุบหน้าลงบนพวงมาลัยรถแล้วร้องไห้อย่างขมขื่น
ผู้ชายคนหนึ่งถูกบีบบังคับให้อับจนหนทาง
ไม่มีสักคนที่ยอมยื่นมือช่วยเหลือเขาสักคน
แม้แต่พ่อผู้ให้กำเนิดก็มีแต่คอยซ้ำเติมเท่านั้น
ความรู้สึกของมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้
โลกนี้ไม่แน่นอน
ในช่วงเวลานี้ ติงฉี่ซานเข้าใจอย่างถ่องแท้
เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปยังแม่น้ำที่ไหลเชียวกลากข้างทาง ในใจเกิดความรู้สึกโศกเศร้า
“ถ้าหาเงินไม่ได้แล้วต้องติดคุกสิบกว่าปี ฉันแก่ขนาดนี้แล้ว ออกจากคุกมาแล้วฉันยังจะเดินไหวไหม?”
“แล้วการมีชีวิตอยู่…จะยังมีความหมายอะไร?”