จอมนักรบท้าโลก - จอมนักรบท้าโลก - บทที่ 78 นี่คือลูกเขยของฉัน
บทที่ 78 นี่คือลูกเขยของฉัน
หมู่บ้านอพาร์ทเม้นหมิงเยี่ยนเลขที่ 33 ภายในวิลล่าเก่า
ติงเมิ่งเหยนและซูฉินกำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่ออยู่ที่บ้าน ติงฉี่ซานไปนานขนาดนี้แล้วยังไม่กลับมา โทรศัพท์ก็โทรไม่ติด ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปที่ไหน
พอโทรหาติงจื่อยวี่ก็ได้รู้ว่าติงฉี่ซานออกไปแล้ว
ถ้าออกมาแล้ว ทำไมถึงยังไม่กลับมาล่ะ?
ทั้งสองคนเดินวนไปมาอยู่ภายในบ้านอย่างวิตกกังวล
ไม่นานนัก รถก็ขับกลับมา ติงฉี่ซานวิ่งเหยาะๆเข้ามาในบ้าน ทั้งตัวเปียกโชกด้วยน้ำฝน
ซูฉินรีบไปหยิบผ้าขนหนู
ติงฉี่ซานถามว่า “เจียงชื่อล่ะ?”
ติงเมิ่งเหยนผงะไปทันที นี่พ่อเป็นอะไรไป พอกลับมาก็ถามเลยว่าเจียงชื่ออยู่ที่ไหน
“เขาเพิ่งจะออกไปค่ะแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาไปไหน”
“ออกไปแล้ว? อีกนานแค่ไหนถึงจะกลับ?”
“ไม่รู้สิคะ” ติงเมิ่งเหยนลองถามดู “พ่อคะ พ่อถามแบบนี้ทำไมเหรอคะ?”
เธอรู้สึกว่าติงฉี่ซานเคร่งเครียดอย่างมาก และเธอไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรเจียงชื่อ ในใจของเธอรู้สึกถึงความไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
ในเวลานี้เองก็ดันมีรถแทกซี่ขับมาที่หน้าประตูบ้าน เจียงชื่อจ่ายเงินแล้วลงมาจากรถและตรงมาข้างในห้องนั่งเล่น
เมื่อติงฉี่ซานเห็นเขาก็รีบวิ่งพุ่งเข้าไปทันทีเหมือนเสือที่หิวโหย
ติงเมิ่งเหยนตกใจจนร้องตะโกนเสียงดังว่า “พ่อคะ มีอะไรก็คุยกันดีๆ อย่าหุนหันพลันแล่นนะคะ!”
เธอนึกว่าติงฉี่ซานจะลงมือกับเจียงชื่อ จึงตกใจจนพูดติดอ่าง แต่ผลกลับเป็นว่า…
ติงฉี่ซานโอบเจียงชื่อมาไว้ในอ้อมแขนแล้วกอดไว้แน่น
ขณะที่กอดน้ำตาก็ไหลไปด้วย “เจียงชื่อ ลูกเขยที่แสนดีของฉัน”
“พ่อผิดไปแล้ว พ่อไม่ควรไม่เชื่อคำพูดของนายเลย พ่อไม่ควรจะด่าทอนาย”
“พ่อมันเป็นคนสารเลว!”
เดิมทีติงเมิ่งเหยนยังคิดที่จะเกลี้ยกล่อมไม่ให้ติงฉี่ซานทำอะไรอย่างหุนหันพลันแล่น หลังจากเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ตกตะลึงไปทั้งตัว แล้วจ้องมองจนตาไม่กะพริบ
ซูฉินเดินเข้ามาพร้อมกับผ้าขนหนูแห้งก็มีสีหน้างุนงงทันที
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
เจียงชื่อกระแอมออกมาอย่างขวยเขิน “พ่อครับ โอเคครับพ่อ ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้หรอกครับ”
ติงฉี่ซานปล่อยมือ แล้วพูดโดยเต็มไปด้วยน้ำหูน้ำตา “วันนี้ฉันติงฉี่ซานเพิ่งจะได้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าเพื่อนแท้ในยามยาก”
“ติงจื่อยวี่ ถังแหวนโม่ คุณปู่ติง ทั้งหมดเป็นเหล่าสัตว์ร้ายที่ชั่วช้า!”
“เห็นว่าฉันตกระกำลำบาก ไม่มีใครสักคนยื่นมือช่วยแล้วยังจะใช้สองเท้าเหยียบย่ำมากกว่าเดิม ญาติขี้หมาอะไร แม่งเอ๊ยขยะทั้งนั้น!”
“เจียงชื่อ ลูกเขยที่แสนดีของฉัน”
“ก่อนหน้านี้ฉันทำเลวกับนายไว้มาก มองนายด้วยสายตาเหยียดหยามทุกวัน ไม่นับว่ามองนายเป็นคน คิดไม่ถึงเลยว่าในบทที่ฉันลำบากมากที่สุด นายจะช่วยฉันโดยไม่คิดถึงความขัดแย้งก่อนหน้านี้ ฉันไม่รู้จริงๆว่าควรจะพูดอะไรถึงจะดี”
เขาตบหน้าตัวเองอย่างแรง “ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองก็เป็นคนเลวทรามต่ำช้า ทำดีสุดๆกับไอ้พวกหน้าซื่อใจคดเหล่านั้นมาตลอด แต่กลับทำไม่ดีกับคนที่ห่วงใยตัวฉัน ฉันติงฉี่ซานช่างไร้ค่าจริงๆ!”
คำกล่าวนี้ทั้งติงเมิ่งเหยนและซูฉินสองแม่ลูกก็รู้สึกสะเทือนใจอย่างแรง
เจียงชื่อจับมือของติงฉี่ซาน “พ่อครับ คุณอย่าพูดแบบนี้เลย คุณเป็นผู้อาวุโส เป็นพ่อของผม คุณพูดแบบนี้ไปเรื่อยๆ อายุของผมจะสั้นลงนะครับ”
“โอเค โอเค นายไม่ให้พูด ฉันก็จะไม่พูดแล้ว”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีสักช่วงเวลาที่ติงฉี่ซานจะให้ความเคารพต่อเจียงชื่อเช่นในตอนนี้
ซูฉินรีบเข้ามาประคองติงฉี่ซานไปที่ห้องน้ำ “โอ้โห ดูคุณสิ ทั้งเหม็นทั้งสกปรกไปหมดทั้งตัว รีบไปล้างก่อนเถอะค่ะ”
ติงเมิ่งเหยนเดินเข้ามาแล้วถามว่า “เจียงชื่อ นี่คุณทำอะไรอีกล่ะ? คุณให้พ่อฉันดื่มน้ำมนตร์อะไรเหรอ?”
เจียงชื่อยิ้ม “ไม่มีอะไร ผมเพียงแค่พบหลักฐานที่จะเอาผิดเมิ่งเจี้ยงซู่แล้วส่งให้กับตำรวจ จากนั้นทางตำรวจไล่ตามเบาะแสไปแล้วตรวจพบว่าเมิ่งเจี้ยนซู่ขโมยเงินสามสิบล้านไป คุณพ่อเป็นผู้บริสุทธิ์”
“จริงเหรอคะ?”
“แน่นอน”
ติงเมิ่งเหยนถอนใจยาว “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าแปลกใจที่พ่อจะตื่นเต้นขนาดนั้น เจียงชื่อ คุณช่วยชีวิตพ่อของฉันเอาไว้!”
เจียงชื่อยักไหล่ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”
…….
ค่ำคืนผ่านพ้นไป หลังฝนตกท้องฟ้าก็สดใส
เจียงชื่อยังคงตื่นเช้าดังเช่นปกติ หลังจากอาบน้ำล้างหน้าเสร็จแล้วก็เตรียมตัวไปตลาดเพื่อซื้อกับข้าว ใครจะรู้ว่าวันนี้ติงฉี่ซานยังตื่นเช้ากว่าเจียงชื่อ
“ช่ออ่า ไป วันนี้พ่อจะไปซื้อกับข้าวกับนาย”
“อ๊ะ?”
ท่ามกลางความมึนงงของเจียงชื่อ ติงฉี่ซานก็พาเจียงชื่อไปซื้อกับข้าวที่ตลาดอย่างมีความสุข ในระหว่างที่ซื้อกับข้าว ติงฉี่ซานก็ยกย่องความดีของเจียงชื่อกับทุกคน
“ป้าหวัง คุณดูสิ นี่คือเจียงชื่อลูกเขยของฉัน หน้าตาท่าทางมีพรสวรรค์ใช่ไหม?”
“น้าหลี่ ลูกเขยของฉันที่เป็นทหารกลับมาแล้ว ฝีมือดีสุดยอดเลยนะ!”
“ย่าจ้าว พูดตามตรงเลยนะว่าลูกเขยของฉันเนี่ย จิตใจเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและความเมตตา รู้จักกตัญญูรู้คุณเราสองคนผู้เฒ่าตลอดเวลา”
“ลุงหลิว คุณดูลูกเขยของฉันสิ เขาซื่อสัตย์จริงใจและสง่าผ่าเผยใช่ไหมล่ะ?”
เขาสรรเสริญไปตลอดทาง เจอใครก็ไปคุยกับคนนั้น
คนขายปลา คนขายผัก คนขายผลไม้ คนขายเนื้อ หลังจากเดินเล่นไปทั่วตลาดก็ไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าติงฉี่ซานมีลูกเขยที่แสนดี
เจียงชื่อก้มหน้าลงตลอดทาง เขาอับอายจนทนไม่ไหวแล้ว
เขารอแทบไม่ไหวที่จะรีบกลับบ้าน เพราะกลัวว่าติงฉี่ซานจะเจอคนรู้จักแล้วพูดคุยอะไรขึ้นมาอีก
บทที่เขาสังหารศัตรูอย่างกล้าหาญที่เวสเตอร์แลนด์ยังไม่เคยรู้สึกกลัวขนาดนี้
“เฮ้ นั่นอาจางไม่ใช่เหรอ? พวกเราไป…”
เจียงชื่อรีบหยุดเอาไว้ “อ๊ะๆๆ พ่อครับ ได้แล้วล่ะ ผมคิดว่ากับข้าววันนี้เยอะแล้ว กินไม่หมดแล้วล่ะครับ พวกเรากลับกันเถอะ”
“อื้ม ตกลง งั้นกลับกัน”
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็เห็นติงเมิ่งเหยนเดินออกมาจากห้องนอนอย่างง่วงงุน
“ทำอาหารเสร็จหรือยัง? หิวมากเลย” ติงเมิ่งเหยนพูดพลางขยี้ตา
ติงฉี่ซานเอ็ดอย่างเย็นชาว่า “หิวอะไรกัน? ในฐานะผู้หญิง ไม่รู้จักตื่นแต่เช้ามาเตรียมอาหารให้สามีเลยหรือไง? แกดูซิว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว? เกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว ไม่เข้าท่าเลยจริงๆ!”
ติงเมิ่งเหยนถูกต่อว่าจนตกตะลึงไปแล้ว
ปกติแล้วติงฉี่ซานอยากให้เธอนอนหลับต่ออีกสักหน่อย งานบ้านอะไรล้วนแต่ให้เจียงชื่อเป็นคนทำ ทำไมถึงได้เปลี่ยนรูปแบบกะทันหันมากขนาดนี้ล่ะ?
ภายใต้คำขอซ้ำๆของติงฉี่ซาน ติงเมิ่งเหยนจึงทำอาหารมื้อกลางวันซึ่งเป็นอะไรที่หาได้ยากมาก
หลังจากเสิร์ฟอาหารลงบนโต๊ะแล้ว ติงฉี่ซานก็เริ่มเป็นฝ่าย “เชิญ” เจียงชื่อนั่งที่โต๊ะอาหารเป็นครั้งแรก ครอบครัวทั้งสี่คนกินข้าวร่วมกันอย่างรักใคร่ปรองดอง
ซูฉินและติงเมิ่งเหยนเพิ่งจะยกตะเกียบขึ้นมาเตรียมคีบผัก
จู่ๆติงฉี่ซานก็ตบลงไปบนโต๊ะอย่างรุนแรง
“ทำอะไร?”
ซูฉินและติงเมิ่งเหยน ชำเลืองมองกันและกันด้วยความรู้สึกสับสน
“กินข้าวน่ะสิ จะทำอะไรได้อีกล่ะ?”
“กินข้าวงั้นเหรอ? ไม่รู้รึไงว่าผู้ชายใหญ่ที่สุดในบ้าน? ชื่อเอ๋อที่มีฐานะเป็นเสาหลักของครอบครัว เขายังไม่ได้ขยับตะเกียบเลย พวกเธอที่เป็นผู้หญิงทั้งสองคนกลับขยับอย่างขยันขันแข็งและรวดเร็วงั้นเหรอ? ได้เรียนคุณธรรมสี่ประการที่ผู้หญิงควรปฏิบัติหรือเปล่า?!”
ทั้งแม่และลูกสาวสองคนถูกบอกว่าโง่ จนไม่กล้าขยับตะเกียบที่ถือไว้
เจียงชื่อเกาหัวอย่างกระดากใจ “เรื่องนั้นน่ะ พ่อครับ อยู่ที่บ้านไม่ต้องใช้กฎขนาดนั้นหรอกครับ กินตามปกติจะดีกว่า”
ติงฉี่ซานพยักหน้า “ลูกเขยของฉันเป็นคนขี้เกรงใจและมีน้ำใจจริงๆ จิตใจดีมีเมตตา ได้ยินหรือเปล่า? พวกเธอขยับตะเกียบได้แล้ว”
ติงเมิ่งเหยนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เธอแอบเหลือบมองเจียงชื่อแล้วพูดเบาๆว่า “ดูเหมือนว่าครั้งนี้ คุณจะ”ปราบ”พ่อของฉันได้โดยสมบูรณ์แล้ว”