จอมนักรบท้าโลก - จอมนักรบท้าโลก - บทที่ 80 มโนธรรมมีค่าไม่กี่หยวน
บทที่ 80 มโนธรรมมีค่าไม่กี่หยวน
ติงเมิ่งเหยนทั้งอับอายและโกรธแค้น เธอสามารถสาบานได้เลยว่าไม่เคยทำเรื่องที่ผิดต่อเจียงชื่อไม่ว่าเรื่องใดๆก็ตาม แต่รูปถ่ายนี้มาได้ยังไง?
เธอรู้สึกคับแค้นใจจนอยากจะร้องไห้ มือนั้นสั่นขณะที่กำโทรศัพท์
เจียงชื่อถอดเสื้อนอกออกมาคลุมให้เธอแล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “คุณไม่ต้องกังวลนะ ผมจะช่วยคุณจัดการเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
“ตอนนี้ทุกคนรู้ปัญหานี้กันหมดแล้ว จะจัดการยังไงล่ะ?”
“เมิ่งเหยน เชื่อผมนะ”
ติงเมิ่งเหยนกัดริมฝีปากของเธอแล้วมองดูเจียงชื่อ เธออดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาในอ้อมแขนของเจียงชื่อ
เจียงชื่อขณะที่ปลอบโยนเธอไปพลาง ก็ดึงข่าวลงมาถึงด้านล่างสุด โฟกัสไปที่ช่องทางการเผยแพร่เนื้อหาด้านล่าง เฉิงหมิงหู้ต้ง บรรณาธิการ — ไห่ฉงเซิ่ง
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง
เจียงชื่อขับรถพาติงเมิ่งเหยนมาถึงหน้าอาคารของบริษัทเฉิงหมิงหู้ต้ง
ที่นี่คืออาคารสำนักงานที่มีมาตรฐาน แต่ละชั้นจะมีสามหรือสี่บริษัท เฉิงหมิงหู้ต้งอยู่ชั้นที่ 14 ห้อง B301
ขึ้นลิฟต์มาถึงชั้น 14 ก็พบกับ ห้อง B301
“เฉิงหมิงหู้ต้งเป็นที่นี่แหละ”
เจียงชื่อกดออด
ติ๊งต่อง ~~
ประตูเปิดออก ทั้งสองคนเดินเข้าไป แผนกต้อนรับถามว่า “ไม่ทราบว่าคุณมาพบใครเหรอคะ?”
“ผมมาพบบรรณาธิการที่ชื่อไห่ฉงเซิ่ง”
“ขอเชิญรอที่ห้องรับรองสักครู่ค่ะ”
หลังจากนั้นไม่นาน ไห่ฉงเซิ่งก็เดินเข้ามาในห้องรับรอง เขาเป็นชายหนุ่มที่สวมแว่นตาและมีร่างกายแข็งแรง ดูเหมือนอยู่ในวัยราวๆสามสิบต้นๆ
ไห่ฉงเซิ่งมองดูพวกเขาสองคนที่ตนเองไม่รู้จักเลยแล้วถามอย่างสุภาพว่า “ไม่ทราบว่าพวกคุณคือ?”
เจียงชื่อเองก็ไม่พูดไร้สาระให้มาก เขาเปิดโทรศัพท์ออกมาโดยตรงและเปิดข่าวนั้นพร้อมกับผลักไปตรงหน้าไห่ฉงเซิ่ง แล้วถามตรงประเด็นเลยว่า “คุณเป็นคนเขียนแล้วเผยแพร่ข่าวนี้ใช่ไหม?”
ได้ยินเช่นนี้แล้ว ไห่ฉงเซิ่งก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นติงเมิ่งเหยนนั่งอยู่ข้างๆ ไห่ฉงเซิ่งยิ่งเข้าใจชัดเจนว่าพวกเขามาทำอะไร
เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วยกขาขึ้นไขว่ห้าง แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “ถูกแล้วครับ ผมเป็นคนเขียนและเผยแพร่ข่าวนี้ มีปัญหาอะไรเหรอ?”
เจียงชื่อกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ข่าวของคุณเป็นสิ่งที่สมมติขึ้น ไม่เป็นความจริงเลย ผมอยากให้คุณลบข่าวนี้และทำการขอโทษต่อสาธารณะ”
“ลบออก?”
“ขอโทษ?”
“ฮ่าๆๆ คุณกำลังเล่นตลกสินะ?”
ไห่ฉงเซิ่งจุดบุหรี่และพูดในขณะที่สูบมันว่า “ข่าวนี้ถูกปล่อยออกไปและทุกคนเห็นหมดแล้ว คุณลบออกก็หมดเรื่องแล้วงั้นเหรอ? ทุกคนจะลืมมันเหรอ? เป็นไปไม่ได้”
“นอกจากนี้ ผมได้ข่าวนี้มาจากช่องทางพิเศษ ไม่ใช่ข่าวลือที่ฟังๆกันมา ที่สำคัญที่สุดมีรูปถ่ายเป็นหลักฐาน คุณบอกว่าเป็นเรื่องสมมุติขึ้นมาเอง แล้วสิ่งนี้เริ่มมาจากที่ไหนกันครับ?”
เจียงชื่อกล่าวว่า “คุณในฐานะที่เป็นบรรณาธิการ เชื่อว่าคุณรู้ดีอย่างชัดเจนว่าภาพนี้เป็นภาพที่ใช้ photoshop ทำออกมา คุณดูไม่ออกเหรอ?”
ไห่ฉงเซิ่งหรี่ตา อันที่จริงเขาล้มลุกคลุกคลานอยู่ในเส้นทางนี้มานานหลายปี
เมื่อภาพนี้ส่งมาเขารู้ได้ทันทีว่ามันคือภาพตัดต่อ
ถึงแม้จะเป็นภาพPhotoshop ระดับสูง ไม่ปรากฏร่องรอย
แต่ก็สามารถหลอกได้แค่คนที่ไม่เชี่ยวชาญเท่านั้น สำหรับมืออาชีพอย่างไห่ฉงเซิ่งแล้ว มองแวบเดียวก็สามารถแยกแยะว่าจริงหรือปลอมได้แล้ว
แต่ว่าแล้วยังไงล่ะ?
ถึงแม้จะรู้ว่าคือภาพปลอมและรู้ดีว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น แต่ตราบใดที่สามารถดึงดูดความสนใจและแพร่ออกไปได้เป็นจำนวนมาก เขาก็ยินดีที่จะเผยแพร่มัน
ในยุคที่ปริมาณคือราชา แล้วความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจะมีความหมายอะไรอีก?
ไห่ฉงเซิ่งกล่าวว่า “ทั้งสองท่านครับ ผมไม่อยากจะพูดไร้สาระกับพวกคุณ ขอบอกพวกคุณให้ชัดเจนเลยว่า ผมจะไม่ลบข่าวนี้ และจะไม่ขอโทษด้วย ถ้าพวกคุณยังจะสร้างปัญหาให้กับผมต่อไปก็อย่าโทษว่าผมไม่เตือนพวกคุณ ผมสามารถเผยพี่ข่าวของพวกคุณต่อไปอีกสองสามข่าว ทำให้พวกคุณเลวร้ายมากยิ่งขึ้น”
“ข่าวที่พวกเราสร้าง ปากกามีอานุภาพมากกว่าปืน ขัดใจพวกเราไป มันไม่มีผลดีอะไรต่อพวกคุณเลย”
นี่มันคือการคุกคามชัดๆ!
ติงเมิ่งเหยนวิตกกังวลและพูดด้วยความโกรธว่า “เห็นๆอยู่ว่าข่าวนี้เป็นข่าวปลอม รูปภาพก็ตัดต่อ Photoshop คุณรู้ทุกอย่างแล้วทำไมยังเผยแพร่? นี่ไม่ใช่ว่าคุณจงใจโกงประชาชนเหรอ?”
ไห่ฉงเซิ่งใช้มือปัดควันบุหรี่และพ่นลมหายใจออก
“มโนธรรมเหรอ?”
“ขอโทษนะครับมโนธรรมนี่มีมูลค่ากี่บาท?”
“มโนธรรมเปลี่ยนเป็นปริมาณได้มากแค่ไหน?”
ติงเมิ่งเหยนพูดไม่ออก คนกลุ่มนี้เพื่อปริมาณและเพื่อเงินแล้ว จึงไม่มีเส้นแบ่งอีกต่อไป
ไห่ฉงเซิ่งพ่นควันบุหรี่ออกมาอีก “เอาล่ะ เห็นพวกคุณไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบนี้แล้ว ผมก็ทนไม่ได้ พวกคุณต้องการให้ลบข่าว ต้องการให้ขอโทษ จะใช้สิ่งเหล่านี้กอบกู้ชื่อเสียงคืนมาใช่ไหม? ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้นะ ล้านห้าขาดตัว”
ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นคำเดียว เงิน!
เขากล่าวว่า “พวกเราที่เผยแพร่ข่าว จุดประสงค์ของปริมาณที่เราแสวงหาก็เพื่อการขอเงิน”
“ขอเพียงคุณจ่ายล้านห้า พวกเรายินดีที่จะให้ความร่วมมือในการลบข่าว ขอโทษต่อสาธารณะและช่วยคุณกอบกู้ชื่อเสียงคืนมา”
“มีเงิน อะไรก็จัดการได้ง่าย”
ไห่ฉงเซิ่งมองไปที่ติงเมิ่งเหยนด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่ยิ้ม “คุณติง ค่าตัวของคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลติง ล้านห้าคงไม่มากไปใช่ไหม? คุณหน้าตาสะสวยขนาดนี้ คงไม่อยากถูกคนพากันชี้หน้าชี้ตาทันทีที่ออกจากบ้านใช่ไหม?”
“ทางน่ะ ผมได้ชี้ให้พวกคุณเห็นอย่างชัดเจนแล้ว จะเดินหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับการเลือกของพวกคุณเอง”
ติงเมิ่งเหยนโกรธจนกัดฟันเสียงดังกรอด
ตนเองถูกคนใส่ร้าย ไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับคำขอโทษใดๆแล้ว ในทางตรงกันข้ามกลับต้องจ่ายเงินเพื่อแลกกับชื่อเสียงของตัวเอง นี่มันเรียกว่าอะไร?
นี่มันไม่ใช่การแบล็กเมล์ชัดๆเหรอ?
เธอพูดอย่างโกรธๆว่า “คุณทำอย่างนี้ คุณไม่กลัวบทลงโทษทางกฎหมายใช่ไหม?”
“บทลงโทษทางกฎหมาย?”
ไห่ฉงเซิ่งยิ้ม “คุณสามารถแจ้งตำรวจได้ ผมมีรูปถ่ายเป็นหลักฐาน ผมไม่กลัวหรอก”
“อย่างมากผมก็แค่ลบข่าวออกทั้งหมด แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ผมสามารถจัดให้มีบทบรรณาธิการเขียนข่าวให้มากขึ้น ยังไงมันก็เป็นเรื่องของการขยับปากกาเขียน”
“การทำลายชื่อเสียงของเราคือการอ้าปาก แล้วถ้าพวกคุณต้องการลบล้างข่าวลือก็จะต้องวิ่งวุ่นจนขาหัก”
“พวกเราจะเขียนแบบลวกๆง่ายๆ แต่พวกคุณต้องวิ่งทั้งวัน ต้องแจ้งความ มันง่ายต่อการจัดการเหรอ? นอกจากนี้ถึงพวกคุณจะออกมาชี้แจง ประชาชนจะเชื่อหรือไม่ก็ยังเป็นคำถามด้วยเช่นกัน”
“ผมขอแนะนำคุณนะ ว่าอย่าคิดที่จะสู้กับปากกาของพวกเรา คุณไม่ชนะการต่อสู้หรอก”
ทุกคำของไห่ฉงเซิ่งดูเหมือนทะนงตน แต่ในความเป็นจริงแล้วล้วนถูกต้องอย่างยิ่ง
เป็นเพราะว่าเขาควบคุมสิทธิในการพูดนี่เอง ดังนั้นจึงสามารถขอเงินติงเมิ่งเหยนได้อย่างไร้ยางอายเช่นนี้
หลายยุคหลายสมัยแล้วที่คำพูดร่ำลือมากๆกลายเป็นความจริง
ถึงแม้ว่าในบางเรื่องคุณไม่ได้ทำ เมื่อมีคนแพร่กระจายเป็นจำนวนมาก เรื่องเท็จจะกลายเป็นเรื่องจริง
เมื่อการแพร่กระจายขยายขอบเขต ถึงแม้ว่าคุณต้องการกอบกู้ชื่อเสียงก็ทำไม่ได้แล้ว จะดีกว่าถ้าจ่ายเงินเพื่อกำจัดหายนะตั้งแต่เนิ่นๆ
ติงเมิ่งเหยนรู้สึกลังเล
เทียบกับชื่อเสียงแล้ว ที่จริงแล้วเงินยังนับว่าเป็นเรื่องรองจริงๆ
แต่ว่าเธอไม่สามารถปล่อยให้มันผ่านไปได้!
ติงเมิ่งเหยนกัดฟันพูดว่า “ฉันไม่เชื่ออีกแล้ว ยังไม่มีใครรักษาคุณได้งั้นเหรอ? ฉันอยากพบเจ้านายของคุณ”
ไห่ฉงเซิ่งชี้ไปที่ห้องทำงานประตูถัดไปที่อยู่ไม่ไกล “นั่นน่ะ คือห้องทำงานเจ้านายของพวกเรา คุณไปพบสิ บอกอย่างไม่กลัวเลยนะว่า คุณไปพบก็เสียเวลาเปล่า”
“เฮอะ!”
ติงเมิ่งเหยนลุกขึ้นแล้วหยิบโทรศัพท์เปิดประตูห้องรับรองแล้วเดินออกไป สองสามก้าวก็มาถึงประตูห้องทำงานแล้ว เธอผลักประตูให้เปิดออกแล้วก้าวเข้าไปในก้าวเดียว
เธอพุ่งเข้าไปตะโกนด้านในว่า”คุณคือหัวหน้าบริษัทนี้ใช่ไหม? ออกมา! บอกฉันว่าคุณจะจัดการพนักงานของคุณยังไง?!