จอมนักรบท้าโลก - จอมนักรบท้าโลก - บทที่64 ไอ้เลวไร้ยางอาย
บทที่64 ไอ้เลวไร้ยางอาย
บรรยากาศตอนนี้ดูเย็นเยือกถึงจุดสุดขีด ใบหน้าที่เขิน
บางคนเหล้าหกแล้วยังไม่รู้ตัวเลย ทุกคนได้มองไปที่เจิ้นยุ่นและเจียงชื่อ และมองไปที่เครื่องเครื่องทุ่นแรงเกรดเอส
เจิ้นยุ่นพูดว่า: “นายนายๆ นายกำลังพูดบ้าอะไร? นายเป็นคนซื้อหรือ? นายมาสิทธิ์อะไรจะมาซื้อ? ที่สำคัญ นายรู้มั้ยว่าเครื่องนี้ราคาเท่าไหร่? นายมีเงินซื้อหรือ?”
เจียงชื่อตั้งใจฟัง และชี้ไปที่เปิดปิดที่ใช้ลายนิ้วมือ
“ถ้าไม่ซื่อ นายลองดูก็ได้นะ ว่าลายนิ้วมือฉันจะสามารถเปิดเครื่องและปิดเครื่องได้มั้ย”
ใจของเจิ้นยุ่นเต้นเร็วมาก อยากที่จะลองแต่ก็ไม่มีความกล้า
เจียงชื่อพูดต่อว่า: “และเมื่อกี้ที่คุยกันในโต๊ะอาหารทุกคนได้ยินชัดเจนแล้วว่า นายพูดว่าของนายเป็นเกรดบี นายดูนี่สิ นี่เกรดเอส หมายความว่านี่ไม่ใช่ของนาย”
ทุกคนได้พยักหน้า
เมื่อกี้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน ดูแล้ว เครื่องทุ่นแรงเครื่องนี้ไม่ใช่เจิ้นยุ่นเป็นคนซื้อ
ชั่งน่าตลกจริงๆ เจิ้นยุ่นไม่รู้อะไรเลย คิดว่าตัวเองเป็นคนซื้อเครื่องทุ่นแรงเกรดเอส
เมื่อกี้คนที่พูดเยินยอเจียงชื่อ ตอนนี้ได้ปรากฏแววตาที่รังเกียจ ยังมีคนถ่มน้ำลายใส่ด้วย
“ เฮ้ย ไม่ใช่คนตัวเองยังจะมาพูดว่าเป็นของตัวเองอีก อะไรกันเนี่ย?”
“ตัวเองซื้อเกรดบี แต่ยังอยากที่จะเอาเกรดเอสของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง เฮ้อๆ ฉันเคยเจอคนที่หน้าด้านนะแต่พึ่งเจอคนที่หน้าด้านยิ่งกว่าก็ตอนนี้แหละ”
เจิ้นยุ่นเป็นคนที่ไม่ยอมขายหน้า ตอนนี้เขาถูกคนอื่นด่าว่า เขาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
ตอนนี้ หน้าประตูมีคนมาส่งของ
“ใครคือเจิ้นยุ่น เครื่องทุ่นแรงของคุณถึงแล้ว”
เจิ้นยุ่นยิ้มออกมา “เครื่องทุ่นแรงที่ฉันสั่งมาถึงแล้ว เดียวฉันเอามาให้พวกคุณดู”
เขาให้คนเข็นเข้ามา และเปิดต่อหน้าทุกคน แต่เครื่องทุ่นแรงเกรดบีของเขาทำให้ทุกคนผิดหวังมาก
เมื่อเทียบกับเกรดเอสที่อยู่ข้างๆแล้ว เหมือนเอาทีวีในยุคแปดศูนย์กับทีวีความละเอียดสี่เคมาเปรียบเทียบกัน
ความแตกต่างนั้น คนโง่ก็ยังมองออกเลย
ทุกคนที่ได้เห็นเครื่องทุ่นแรงเกรดเอสแล้ว เมื่อกลับไปมองเกรดบีแล้วดูล้าสมัยไปเลย
ซูสวนเดินมาพร้อมคำพูดที่เสียดสี:“นายก็มีเครื่องทุ่นแรงหรือ? ฉันคิดว่าเป็นโถส้วมซะอีก นายทำไมต้องปลอมตัวไปรับของขวัญของพี่เขยฉันแทนเขาด้วย ความจริงใจซื้อไม่ได้นะ แย่งของขวัญของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ถ้าไม่มีการเปิดปิดโดยใช้ลายนิ้วมือ พวกเราคงถูกหลอกกันไปแล้ว”
“เจิ้นยุ่น นายวางแผนมาดีมากนะ”
ความอัดอั้นใจเมื่อกี้ ซูสวนได้ระบายออกมาหมดในครั้งนี้!
เจิ้นยุ่นอายจนหน้าแดง อยากที่จะอธิบายแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากจุดไหน คิดไม่ออกว่าจะพูดอะไร
ที่นั่นหงเหวินถอนหายใจ และโบกมือ:“เจิ้นยุ่นายกลับไปนั่งเถอะ”
“คุณลุงซู ผม…..”
“ไม่ต้องพูด กลับไปนั่ง แล้วกินข้าว”
เจิ้นยุ่นจ้องเจียงชื่อด้วยความแค้น และเดินกลับไป
เขาที่พึ่งนั่งผู้หญิงสองคนที่นั่งข้างๆ ได้รีบยายที่ ไม่อยากที่จะนั่งกับเขา
มีผู้หญิงบางคนยื่นมือไปที่เขาพูดว่า:“นามบัตรที่เมื่อกี้ฉันให้คุณ คืนให้ฉันด้วยค่ะ”
เจิ้นยุ่นโกรธจนปอดจะฉีก
เมื่อกี้ผู้หญิงพวกนี้ยังเกรงใจและพูดเยินยอตัวเขาอยู่เลย ตอนนี้กลับมองตัวเองเป็นผู้ร้าย
ที่นั่น ซูหงเหวินมองเจียงชื่อและยิ้มแล้วพูดว่า:“ครั้งก่อนบทที่น้องสวนกลับมาได้พูดถึงนายให้ฉันฟังด้วย เล่าว่านายเป็นคนที่เก่งแค่ไหน และเมิ่งเหยนได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดี วันนี้ได้มาเจอ นายเป็นคนที่มีระเบียบมาก และเหมือนอย่างที่น้องสวนเล่าเลย เจียงชื่อ ของขวัญที่นายมอบให้กับยาย ฉันชอบมันมาก มา เรามาชนแก้วกัน”
“น้าชาย ไม่ต้องเกรงใจ”
ทั้งสองคนชนแก้ว ซูหงเหวินยิ่งมองยิ่งชอบ และพูดกับซูฉินว่า:พี่ใหญ่“พี่ได้ลูกเขยที่ดีนะ”
ซูฉินยิ้มปากไม่หุบเลย
ระหว่างที่พูดคุยกัน บรรยากาศที่ตึงเครียดได้ผ่อนคลายลง ทุกคนได้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ เหลือเพียงแค่เจิ้นยุ่นที่นั่งโกรธอยู่ที่มุมโต๊ะ
งานเลี้ยงที่กำลังดำเนินไป ได้มีผู้คนกลุ่มเดินเข้ามา คนที่อยู่หน้าสุดใส่แว่นดำรูปร่างสูงใหญ่ เขามาพร้อมกับบอดี้การ์ด ทุกคนใส่สูทสีดำ
เห็นคนเหล่านี้เดินเข้ามา ซูฉินและซูหงเหวินมองหน้ากัน ลุกขึ้นและยิ้มอย่างฝืนใจ“เจ้าสอง นายมาถึงสักทีนะ พวกเรารอสนเกือบครึ่งวันแล้ว”
คนที่มาถึงก็คือน้องชายของซูฉิน และพี่ชายของซูหงเหวิน ซูจองหยวน
เขาทำการค้าขายอยู่ต่างประเทศประจำ และตอนนี้ครอบครัวเขาได้ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ น้อยมากที่จะกลับมา และไม่ค่อยสนใจเรื่องภายในบ้าน สุขภาพของแม่เป็นอย่างไงก็ไม่สนใจเลย
ได้ข่าวว่าแม่ป่วยหนัก เขาถึงได้รีบบินมาจากต่างประเทศ เพราะหวังที่จะได้ทรัพย์สมบัติเมื่อแม่ตายไปแล้ว
ซูฉินกับซูหงเหวินมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ค่อยดูแลแม่ทุกๆ วัน พวกเธอไม่ชอบการกระทำที่เห็นแก่ตัวของซูจองหยวนแบบนี้
แต่เพราะเป็นน้องชายแท้ๆ เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ถึงจะไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรได้
วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบแปดสิบปีของคุณแม่ ซูจองหยวนทำเป็นมาเยี่ยมแม่ และซูฉินและซูหงเหวินจะไล่เขาออกไปก็ไม่ได้
ซูจองหยวนไม่ได้สนใจซูฉินและซูเหวินหงเลย เขาได้ตรงไปที่คุณยาย ถอดแว่นดำออกและมองไปที่คุณยาย
สุดท้าย เขาพูดไปหัวเราะไป“อ้าว คุณยายยังแข็งแรงดีนิ ไม่เหมือนคนที่จะตายเลย”
“พี่รอง พี่พูดอะไร?! ซูหงเหวินไม่พอใจ เธอหยิบตะเกียบที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาจะแทงไปที่พี่รอง
ครบรอบแปดสิบปีหรือ มาทำอะไรกัน?
ทั้งสองคนที่ทะเลาะกันอย่างหนัก ซูฉินพยายามที่จะห้ามทั้งสองคน“ เจ้าสอง เจ้าสามเราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน มา จองหยวน นายมานั่งใกล้ๆ พี่มา เรามาทานข้าวกัน”
ซูจองหยวนยิ้ม มองไปซ้ายและขวาแล้วพูด“ฉลองวันครบรอบแปดสิบปีของคุณแม่ พวกเธอจัดงานแบบนี้หรือ? จุ๊ๆๆ เธอดูอาหารที่โต๊ะคืออาหารอะไร? อาหารอะไรก็ไม่รู้ อาหารบ้านนอก เอาไปให้หมูกินหมูยังไม่กินเลย” พี่ใหญ่ ชายเล็ก พวกเธอประหยัดง่ายเกินไปหรือเปล่า? จัดงานเลี้ยงให้แม่ทั้งทีแล้วมาประหยัดกันแบบนี้ เหมาะสมแล้วหรือ?”
ได้ยินแบบนี้ ซูฉินก็รู้สึกอายเหมือนกัน
ซูหงเหวินได้ด่าออกมา“นายอย่ามาพูดเลย! อาหารทั้งโต๊ะนี้แปดพันเลยนะ และให้พ่อครัวที่เก่งที่สุดในเมืองเจียงหนานมาทำนะ คิดว่าฉันประหยัดงบหรือ? นายลองถามตัวเองดูว่า หลายปีที่ผ่านมาใครเป็นคนดูแลคุณแม่ หลายปีมานี้นายเคยช่วยออกเงินมั้ย?”
“การจัดงานนี้ นายได้ออกเงินช่วยมั้ย? ซูจองหยวน คนเราต้องมีคุณธรรมในหัวใจ คนที่เอวและหน้าด้านอย่างนาย พวกเราไม่ต้อนรับ นายออกไปได้แล้ว!”