จอมนักรบท้าโลก - จอมนักรบท้าโลก - บทที่66 ให้เวลา10วินาที ออกไป
บทที่66 ให้เวลา10วินาที ออกไป
มีโต๊ะขนาดใหญ่สองตัววางอยู่ในที่เกิดเหตุ โต๊ะหนึ่งเต็มไปด้วยอาหารของโรเบิร์ต และอีกโต๊ะเต็มไปด้วยโถของเน่ร์เจิง
อันดับแรกคือทางโรเบิร์ต หลังจากที่เปิดฝาออกทั้งหมด เผยให้เห็นอาหารที่สวยงามภายใน
สีสันสดใสดี
กลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทุกที่ ทำเอาคนกลืนน้ำลายน้ำลายไหล
ไม่เพียงแค่มีสีสันสวยงาม กลิ่นยังน่าดึงดูด การแกะสลักที่งดงามยังน่าทึ่ง ไม่ว่าดูจากด้านไหน โต๊ะนี้คืออาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ในทางกลับกันโถของเน่ร์เจิงนั้น ทั้งน่าเกลียดทั้งเชย มันเทียบกันไม่ได้เลย
นี่ก็เหมือนกับเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์และสาวเฉิ่มที่ยากจน ระหว่างสองคนนี้ แทบจะไม่มีการเปรียบเทียบได้เลย
ซูจองหยวนพูดเยาะเย้ย”นายทำตั้งนาน สุดท้ายก็ทำขยะแบบนี้ออกมา? แล้วดูอาหารของคุณโรเบิร์ต แต่ละอย่างมันสามารถอธิบายได้ว่าเป็นงานศิลปะ เป็นไงล่ะ รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าความแตกต่างแล้วสินะ?”
เนร์เจิงพูดอย่างถ่อมตัว”ก็จริง ไม่ว่าจะรูป รส กลิ่นหรือสี อาหารของโรเบิร์ต ดีกว่าผมทุกอย่าง”
“ถือว่านายยังรู้ตัวเองดี”
“แต่ว่า……”ดวงตาเน่ร์เจิงเป็นประกาย”สิ่งที่สำคัญที่สุดของอาหาร คือการทำให้คนที่รับประทานอาหารนั้นพึงพอใจ และให้คนที่รับประทานอาหารนั้นยกนิ้วโป้งให้ หากมัว แต่สนใจภายนอกและไม่สนใจคุณค่าที่แท้จริงของอาหาร มันจะไม่คุ้ม”
ซูจองหยวนยิ้มเยาะ”ได้ ผมจะทำให้นายตายตาหลับ ตอนนี้เราจะเอาอาหารทั้งสองโต๊ะให้แม่ผมกิน ก็จะได้รู้ว่า ของใครอร่อย”
เขายกจานขนมหวานเดินไปหาคุณแม่
“แม่ แม่อ้าปากหน่อย นี่คือเค้กวันเกิดที่คุณโรเบิร์ตทำขึ้นมาโดยเฉพาะ”
ซูจองหยวนป้อนขนมหวานถึงปากคุณแม่ ผลสุดท้าย……
คุณแม่หันหน้าไปทันที พูดอย่างรังเกียจว่า”ไม่ ไม่กิน”
ซูจองหยวนหน้าบึ้งทันที”แม่ อันนี้อร่อยมากนะ แม่กินสักคำสิ”
“ไม่กิน เหม็น”
“เหม็น?”
ซูจองหยวนดมดู ไม่เหม็นนี่
ซูฉินแอบขำข้างๆ”รสชาติที่ถูกปากของแม่เราไม่เหมือนกับคนธรรมดา พวกเราได้กลิ่นหอม เธออาจจะได้กลิ่นเหม็น มันไม่แปลก”
ซูจองหยวนไม่เข้าใจเหตุผลในนั้น ยังคิดจะฝืนป้อน สุดท้ายคุณแม่ปัดทิ้งลงพื้นทันที
“ไม่กิน ฉันไม่กิน!”
ซูจองหยวนช่วยไม่ได้ เลยลุกไปวางขนมหวานลง เปลี่ยนเป็นแกง สุดท้ายยังไม่ทันยื่นไป ก็ถูกคุณแม่คว่ำแล้ว
หลายครั้งติดต่อกัน คุณแม่ไม่คว่ำจาน ก็หันหน้าไปไม่กิน
ในท้ายที่สุด คุณแม่ก็ไม่ได้กินของอร่อยบนโต๊ะสักคำ ซูจองหยวนก็เหงื่อท่วมตัวด้วยความวิตกกังวล
เขาชิมด้วยตัวเอง อาหารที่โรเบิร์ตก็ไม่เลว อร่อยมาก ทำไมถึง……
เจียงชื่อยิ้ม พูดเบาๆ”ดูเหมือนว่าเชฟระดับโลกคนนี้จะไม่สามารถทำให้คุณแม่พอใจได้นะ”
ซูจองหยวนโกรธมาก”ความอยากอาหารแม่ผมไม่ค่อยดี ใครทำเธอก็ไม่ชอบกิน นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณโรเบิร์ต”
“ใช่เหรอ?”
เน่ร์เจิงลุกขึ้น เปิดฝาโถออก กลิ่นหอมแตะจมูกทันที
เขาพูดว่า”อาหารนะ ไม่ใช่ยิ่งสวยหรู ยิ่งแพงก็จะยิ่งอร่อย สิ่งที่สำคัญคือปัญหาเรื่องความเหมาะสม เช่นมีบางคนไม่ชอบกินปลา ถึงแม้ว่าคุณจะทำอร่อยหรือสมบูรณ์แบบมากแค่ไหน เขาก็ไม่ชอบกิน”
“เชฟที่ดี ไม่ใช่แค่ต้องทำอาหารเป็น ที่สำคัญต้องเข้าใจหัวใจของลูกค้า”
“แม้แต่ลูกค้าคนเดียวกัน ในอารมณ์ที่แตกต่างกันของเขา รสชาติที่ถูกปากก็ต่างกันมาก แม้จะอยู่ในอารมณ์เดียวกัน ในสภาวะความเจ็บป่วยหรือสุขภาพที่แตกต่างกัน ของที่เขาอยากกินก็จะแตกต่างกันออกไป”
“การเป็นเชฟ ถ้าไม่รู้จักสังเกต ไม่รู้จักเปลี่ยนรสชาติอาหารตามอารมณ์และรสนิยมของลูกค้า ได้แต่ทำอาหารแบบเดียวกันอย่างตายตัว ก็ไม่ถือว่าเป็นเชฟที่ยอดเยี่ยม”
“มนุษย์ทำอาหารได้ เครื่องจักรก็ทำอาหารได้เช่นกัน ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักรก็คือ…… อาหารที่มนุษย์ทำขึ้นนั้นมีความรู้สึก”
ขณะที่พูด เน่ร์เจิงได้เติมชามซุปจากโถ ซึ่งผสมกับเนื้อสับผัก ฯลฯ ซึ่งดูเหมือนชามผัดผักรวม
ยังไม่ทันได้ยกย้ำซุปไปตรงหน้าคุณแม่ ก็เห็นสีหน้าคุณแม่เปลี่ยนไปทันที
เธอยื่นจมูกดมไปทั่ว”หอม หอมมาก ฉันจะกิน”
ทุกคนมองจนตกตะลึง
เมื่อเน่ร์เจิงยกน้ำซุปไป คุณแม่รับมาอย่างรอไม่ไหว อึกๆ ๆ ดื่มทันที กินพร้อมเนื้อและน้ำซุปจนหมด
ชามเดียวยังไม่พอ ดื่มสามชามต่อเนื่องกันถึงจะคุ้ม
พอดื่มเสร็จ หน้าผ่องใส ดูมีชีวิตชีวามาก และที่สำคัญเหมือนกับว่าสติจะฟื้นฟูเล็กน้อย
เห็นแบบนี้ ทุกคนที่อยู่ในนี้รู้สึกประหลาดใจ รู้สึกว่าทักษะของเน่ร์เจิงนั้นยอดเยี่ยม อย่างกับราชายอดเชฟ
เจียงชื่อยิ้ม และนำปรบมือให้เขา
คนอื่น ๆ ต่างปรบมือให้กับเชฟมือเดียวที่มีแขนเพียงข้างเดียว และส่งเสียงปรบมืออย่างจริงใจและจริงใจที่สุดให้กับเขา
ทั้งซูจองหยวนและโรเบิร์ตซึ่งยืนอยู่ตรงกลางต่างก้มหน้าลง สีหน้าลำบากใจมาก
เดิมมีคิดว่ามาที่นี่เพื่อแสดงทักษะการทำอาหาร ทำให้ซูฉิน ซูหงเหวินและคนอื่นๆอับอาย แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆก็มีเน่ร์เจิงโผล่ออกมา?
ทักษะการทำอาหารของเน่ร์เจิงมาถึงจุดที่น่าอัศจรรย์แล้ว!
ณ ตอนนี้……
จู่ๆคุณแม่ก็ตาเปล่งประกาย จ้องไปที่ซูจองหยวนและตะโกนด้วยน้ำเสียงที่ไร้ความปรานี”เจ้าสอง ในที่สุดนายก็ยอมกลับมาแล้ว?!”
ซูจองหยวนตกใจมาก มองดูคุณแม่ และสังเกตเห็นว่าดวงตาของคุณแม่ดูคมมาก ต่างกับคนแก่อัลไซเมอร์ก่อนหน้านี้อย่างกับคนละคนเลย
ซูฉินกับซูหงเหวินก็ตกใจ
คุณแม่……สติกลับมาแล้ว?
“แม่ แม่ไม่บ้าแล้วเหรอ?”ซูจองหยวนถามลองเชิง
คุณแม่ร้องฮึ”บ้า?นายคงจะอยากให้ฉันบ้าแบบนี้ต่อไป และฉวยโอกาสพอฉันตาย หาวิธีเอาทรัพย์สินไปใช่ไหม?”
ซูจองหยวนยิ้มอย่างอึดอัด”แม่ แม่พูดอะไรเนี่ย ผมจะทำอย่างนั้น……”
“หุบปาก!”คุณแม่ด่า”หลายปีมานี้ แกมีความสุขในต่างประเทศ ไม่ได้สนใจคนแก่อย่างฉันเลย ถ้าไม่ใช่พี่ใหญ่และน้องสามแก เกรงว่าฉันคงจะอดตายข้างถนนมานานแล้ว”
“ตอนนี้เห็นฉันป่วยหนัก คิดว่าฉันคงจะอยู่ได้ไม่นาน เลยกลับมาเอาทรัพย์สิน? ฉันบอกให้นะ เพ้อเจ้อ!”
“หลังจากที่ฉันตาย ทรัพย์สินทั้งหมดจะมอบให้กับซูฉิน และซูหงเหวินเท่านั้น สักบาทแกก็อย่าแม้แต่จะคิด ฉันเห็นแกแล้วเครียด ตอนนี้ หายไปจากสายตาของฉันทันที!”
ซูจองหยวนถูกด่าซะเละเลย
ในที่สุด เขาก็ไม่แอบซ่อนไว้แล้ว โบกมือ บอดี้การ์ดหลายครก็เดิมเข้ามาหมด
เขาพูดอย่างเย็นชา”ได้ ไอพวกคนจน ไอแก่มาร่วมตัวกันแกล้งผมใช่ไหม? อยากให้ผมหายไป? เหอะๆ ผมเกรงใจกับพวกแก พวกแกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกันแล้ว คิดว่าตัวเองสำคัญมากเหรอ?”
“วันนี้ผมจะอยู่ที่นี่แหละ จะดูว่า พวกแกใครมีคุณสมบัติพอที่จะไล่ผมไป!”
เจียงชื่อถอนหายใจ ลุกขึ้น
“ให้เวลานายสิบวินาที ออกไปซะ”