จอมนักรบท้าโลก - จอมนักรบท้าโลก - บทที่93 ไสหัวไปได้แล้ว
บทที่93 ไสหัวไปได้แล้ว
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ผู้ปกครองทุกคนเดินทางมาถึง
กานเต๋อหยางพากู่หลังกับพวกไปที่ห้องเรียน อธิบายความต้องการให้กับทุกคนฟัง ผู้ปกครองทุกคนแสดงสายตาดูถูกเหยียดหยาม
มีบางคนมองด้วยสายตาสะใจสมน้ำหน้า รออย่างใจจดใจจ่ออยากเห็นลูกของกู่หลังไม่มีที่เรียน
กู่หลังกัดฟันระงับโทสะ ปั้นรอยยิ้มพูดกับทุกคนว่า “ผมรู้ว่าหลายปีมานี้ผมทำเรื่องเลวไว้มากมาย แต่ว่าความผิดทั้งหมด ผมรับไว้เพียงคนเดียว อย่าให้ความผิดนั้นไปตกกับเด็กเลย”
“อีกทั้งตอนนี้ผมสำนึกผิดแล้ว ท่านนี้คือคุณเจียงชื่อ แนะนำงานที่น่าเชื่อถือเป็นหลักแหล่งให้กับผมงานหนึ่ง ดังนั้นผมอยากขอร้องทุกท่านโปรดให้โอกาสผมสักครั้ง ให้ผมเป็นคนใหม่ ให้ลูกของผมได้เข้าเรียนโรงเรียนแห่งนี้”
ทุกคำพูดทุกประโยคของกู่หลังเต็มไปด้วยความจริงใจ
แต่ว่าไม่มีคนไหนเลยที่เห็นใจเขา
ผู้ปกครองหญิงคนหนึ่งอดกลั้นไม่อยู่พูดสวนขึ้นว่า “พูดจบแล้วหรือยัง? ออกไปให้พ้นได้แล้ว? วันนี้พวกเรามาประชุมผู้ปกครอง จัดเตรียมระบบแผนการเรียน ไม่ใช่มาเพื่อนั่งฟังคุณบ่นพึมพำอย่างนี้”
ผู้ปกครองท่านอื่นต่างก็พูดขึ้นสำทับ
“ใช่ คุณยืนพูดเบาๆคนเดียว เสร็จหรือยัง ทำให้พวกเราเสียเวลา?”
“อีกทั้งคุณพูดว่าสำนึกผิดแล้วก็พอได้แล้ว? อันธพาลอย่างพวกคุณ พูดออกมาสามคำอีกเดี๋ยวลืมหมด ใครกล้ายืนยันคำพูดของคุณว่าเป็นความจริง?”
“มีคนบอกว่าผู้อาวุโสประพฤติตัวไม่เหมาะสมยังไงคนรุ่นใหม่ก็ประพฤติตัวไม่เหมาะสมเช่นกัน คุณเป็นพวกอันธพาล ลูกคุณจะเป็นคนดีไปได้อย่างไร? ฉันคิดว่า เป็นพวกขยะด้วยกันทั้งนั้น อย่าเข้ามาทำร้ายคนอื่นเลย”
“พูดได้ถูกต้อง เด็กคนนั้นโหงวเฮ้งดุดัน พลอยจะทำให้ลูกของเขาไม่ดีไปด้วย”
ทุกคนสลับกันพูด คนนี้ประโยค คนโน้นประโยค มีความหมายเดียวก็คือไม่ต้องการให้กู้หย่งเลี่ยงเข้าเรียนหนังสือ
กู่หลังทั้งร้อนใจทั้งเดือดดาล แต่ไม่กล้าระเบิดโทสะออกมา
สุดท้ายเขาคุกเข่ากับพื้นต่อหน้าผู้ปกครองทุกคน โขกศีรษะกับพื้นวิงวอน “ขอร้องพวกคุณอย่าเป็นปฏิปักษ์กับลูกผมเลย เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ พวกคุณให้เขาได้เรียนหนังสือเถอะ”
“ผมมีลูกเพียงคนเดียว ผมไม่อยากให้เขาโตขึ้นมาเป็นเหมือนผม”
“ขอร้องพวกคุณ ขอร้องพวกคุณ!”
กู่หลังโขกศีรษะกับพื้นไม่หยุด
แต่ว่าผู้ปกครองเหล่านั้นที่อยู่ด้านล่างเวทีใจแข็งดั่งหินผา ไม่มีทีท่าเห็นใจแม่แต่น้อย
มีคนหนึ่งพูดเสียดแทงขึ้นว่า “ฮ่าฮ่า น้ำตาจระเข้ ตอนนี้เพิ่งมาสำนึกผิด? สายไปแล้ว!”
“รีบไปให้พ้น พาลูกเจ้าตัวไร้ประโยชน์นั่นไปด้วย อย่ายืนเกะกะสายตาพวกเรา”
เผชิญหน้ากับคำเหยียดหยามเสียดแทงของทุกคน กู่หลังหมดสิ้นหนทาง
เขาก้มหน้า น้ำตาคลอเบ้า
กู้หย่งเลี่ยงกัดริมฝีปากดึงแขนกู่หลัง “พ่อ พวกเขาไม่ให้ลูกเรียน ลูกไม่เรียนก็ได้ พวกเรากลับบ้าน! พ่อไม่ต้องคุกเข่าขอร้องพวกเขา มันไม่คุ้มกันเลย”
คำพูดนี้ทำให้ดวงตาเจียงชื่อเปล่งประกาย
เด็กน้อยคนนี้สอนได้
ครูใหญ่โรงเรียนกานเต๋อหยางเดินออกมาพูดว่า “เป็นอย่างไรบ้าง พวกคุณเห็นแล้วใช่ไหม? ไม่ใช่ว่าฉันไม่ให้ลูกคุณเรียนหนังสือ เป็นเพราะทุกคนมีความโกรธเคืองยากระงับได้ พวกคุณกลับไปเถอะ อย่ามาอีกเลย”
“ครูใหญ่…..”
น้ำตาแห่งความผิดหวังของกู่หลังไม่สามารถกลั้นไว้ได้อีกแล้ว จึงไหลออกมาดั่งสายน้ำ เขาโอบกอดกู้หย่งเลี่ยงไว้แน่นพูดว่า “ลูกรัก เป็นพ่อที่ไร้ประโยชน์ เป็นพ่อที่ไร้ประโยชน์”
เวลานั่นเอง……
เจียงชื่อเดินออกมาสองก้าว ยืนอยู่ข้างหน้ากู่หลัง มองดูผู้ปกครองที่นั่งทุกคน สอบถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรว่า “คนเราใครบ้างที่ไม่เคยกระทำความผิด ขอสอบถามทุกท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้ใครที่ไม่เคยทำผิดเลย?”
“กู่หลังสำนึกผิดแล้ว ตั้งใจจะปรับปรุงตนเอง พวกคุณไม่ให้อภัยเขาเลยเหรอ?”
“ไม่ให้อภัยเขาก็ไม่เป็นไร ทำไมเอาความผิดทั้งหมดไปลงที่เด็กอีกล่ะ? มโนธรรมของพวกคุณยังมีอยู่อีกไหม?”
มีคนหนึ่งยิ้มอย่างเย็นชาพูดขึ้นว่า “คุณเป็นใคร? พวกเราทำอย่างนี้ ต้องให้คุณมาสั่งสอนอีกเหรอ?”
“ใช่ แสร้งทำเป็นคนดีแต่ซ่อนหางจิ้งจอกไว้ รีบไปให้พ้น”
เจียงชื่อส่ายศีรษะ ถามเป็นครั้งสุดท้ายว่า “พวกคุณตัดสินใจแน่วแน่จะไม่ให้กู้หย่งเลี่ยงได้เข้าเรียนหนังสือใช่ไหม?