จอมนักรบท้าโลก - บทที่ 381 OK
มู่หยางอีถามว่า “ลูกพี่ ทำไมลูกพี่ไม่บอกพวกเขาไปตรงๆ ล่ะครับ?”
เจียงชื่อได้แต่ยิ้ม
“ไม่จำเป็นต้องอธิบายทุกอย่างหรอก”
“บางที ไม่พูด มันจะประโยชน์มากกว่าพูด”
“ถ้าผมพูดไปมันก็เหมือนการใช้อำนาจในทางมิชอบ เหมือนการบีบบังคับพวกเขา แต่ถ้าผมไม่พูด พวกเขาก็ได้แต่เดาว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ ฉะนั้น พวกเขายิ่งเดามากก็ยิ่งต้องทำมาก”
นี่คือการต่อสู้ทางจิตวิทยา
แน่นอนว่าด้วยสถานะของเจียงชื่อ เขารู้ผลลัพธ์ของ ‘การต่อสู้’ ในครั้งนี้ตั้งแต่เริ่มแล้ว
เพียงแต่ว่าเจียงชื่อจะเลือกวิธีไหนในการบรรลุผลลัพธ์นี้เท่านั้น
คนสุดท้ายที่ออกไปคือกวนจื้อฉวน
หลังจากขึ้นรถแล้วเขาไม่ได้กลับไปที่บริษัท แต่ตรงกลับไปที่บ้านหลังเก่าในหมู่บ้านตี้เหา
ทุกคนในครอบครัวต่างก็แปลกใจ ทำไมวันนี้เขาถึงกลับมาเร็วขนาดนี้?
กวนจื้อฉวนตอบเพียงสั้นๆ สี่คำว่า “ย้ายบ้านเดี๋ยวนี้”
ทุกคนในบ้านต่างก็ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เจ้าบ้านออกคำสั่งแล้วพวกเขาจะปฏิเสธได้อย่างไร? ดังนั้นทุกคนจึงรีบจัดของและเตรียมย้ายบ้านอย่างรวดเร็ว
คนอย่างกวนจื้อฉวนนั้นมีบ้านพักหลายแห่งในเขตเจียงหนาน
ความจริงแล้ว บ้านหลังนี้ในหมู่บ้านตี้เหาไม่ได้ถือว่าเป็นบ้านหลังที่ดีสำหรับเขา มากสุดก็แค่บ้านอยู่ในเกรดปานกลางเท่านั้น แต่เนื่องจากเขาโตที่นี่ จึงรู้สึกมีความสัมพันธ์กับบ้านหลังนี้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะอยู่อาศัยที่นี่เป็นประจำ
ซึ่งภรรยากับลูกของเขาก็หวังว่าจะได้ย้ายออกไปจากที่นี่มานานแล้ว
หลังจากการจัดเก็บข้าวของอย่างรวดเร็วนี้ กวนจื้อฉวนก็ได้มอบหมายให้ลูกน้องขนของใส่รถแล้วย้ายของออกไปคันแล้วคันเล่า ซึ่งถ้าด้วยความเร็วแบบนี้ เชื่อว่าไม่เกินสามวันวิลล่าหลังนี้ก็จะว่างเปล่า
เมื่อมองดูของในวิลล่าที่ถูกย้ายของออกไปทีละชิ้น กวนจื้อฉวนก็สวดอ้อนวอนในใจอย่างเงียบๆ ว่า ‘หวังว่าครั้งนี้เราไม่ได้เข้าใจผู้บริหารระดับสูงผิดนะ’
……
ความมืดปกคลุมอีกครั้ง
วันนี้ติงเมิ่งเหยนไม่ได้กลับมาดึก แต่กลับบ้านเร็วกว่าปกติ
เพราะวันนี้ติงจ้งไม่ได้ให้เธอทำโอที แต่ยังขอให้เธอกลับบ้านไปพักผ่อนให้เพียงพอและเตรียมตัวสำหรับการแสดงศักยภาพที่ดีในวันพรุ่งนี้
แสดงศักยภาพที่ดี?
เหอะๆ
ติงเมิ่งเหยนรู้สึกขมขื่นในใจ ยิ่งเข้าใกล้เวลาการเจรจามากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากเท่านั้น ความรู้สึกนี้มันไม่ต่างอะไรกับการสอบเข้าวิทยาลัยเลย ซึ่งนานแล้วที่เธอไม่ได้รู้สึกประหม่าขนาดนี้มาก่อน
จู่ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง
ส่วนเจียงชื่อได้กลับมาก่อนแล้ว เขาได้เตรียมอาหารไว้เต็มโต๊ะ มีทั้งปลาทั้งเนื้อ ทั้งผักและทั้งไวน์ และเขายังปรุงซี่โครงหมูนึ่งอาหารจานโปรดของติงเมิ่งเหยนกับมืออีกด้วย
“เมิ่งเหยน มากินข้าวกันเถอะ เติมพลังให้คุณได้มีผลงานที่ดีในวันพรุ่งนี้กัน!”
ติงเมิ่งเหยนส่ายหัวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น เธอลุกขึ้นแล้วมานั่งที่โต๊ะอาหาร จากนั้นหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบเนื้อเข้าปากชิ้นหนึ่งและค่อยๆ เคี้ยวมัน
“อื้ม อร่อย!”
เจียงชื่อนั่งเงียบๆ และเฝ้าดูติงเมิ่งเหยน
“คุณจะมองฉันทำไม?”
“ผมชอบมองคุณไง”
“เหอะ ปากมันลิ้นลื่น”
หลังจากกินไปสักพัก ติงเมิ่งเหยนก็นึกถึงการเจรจาในวันพรุ่งนี้ซึ่งก็ทำให้เธอรู้สึกประหม่าอีกครั้ง
“กังวลเรื่องวันพรุ่งนี้อีกแล้วสิ?”
“อื้ม”
เจียงชื่อกุมมือเธอไว้ “ไม่ต้องกังวลหรอกนะ คุณต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”
“เฮ้อ ไม่ต้องพูดให้ฉันรู้สึกสบายใจหรอก”
“ผมไม่ได้ปลอบใจคุณนะ แต่มันคือความจริง เพราะพระโพธิสัตว์บอกผมแล้วว่าวันพรุ่งนี้คุณจะประสบความสำเร็จ”
“พระโพธิสัตว์?” ติงเมิ่งเหยนหันมองไปที่พระองค์ที่เธอเช่ากลับมาที่บ้านแล้วถามอย่างสงสัยว่า “พระโพธิสัตว์จะบอกเรื่องนี้กับคุณได้ยังไงล่ะ”
เจียงชื่อตอบว่า “ผมเพิ่งขอพรกับพระโพธิสัตว์เมื่อกี้นี้ โดยขอให้คุณได้ ‘ชัยชนะอันยิ่งใหญ่’ แล้วคุณว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“เกิดอะไรขึ้น?”
เจียงชื่อชี้ไปที่พระหัตถ์ของพระโพธิสัตว์ “พระโพธิสัตว์ทำท่า ‘โอเค’ ให้ผม นั่นเป็นการรับปากผมแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“โอเค?”
ติงเมิ่งเหยนเหลือบมองท่าทางของพระโพธิสัตว์ จากนั้นสูดหายใจเข้าลึกๆ และเอื้อมมือออกไปเคาะหัวเจียงชื่อทีหนึ่ง “ให้มันได้อย่างนี้สิ เจียงชื่อ ไร้สาระได้ทั้งวัน นั่นมันใช่ท่า ‘โอเค’ เหรอ?!”