จอมนักรบท้าโลก - บทที่ 562 ทำมากแค่ไหน จะตายอย่างน่าเวทนามากขึ้นเท่านั้น
อีกด้านหนึ่ง เฉิงดันถิงประธานอี้โม่เอนเตอร์เทนเมนต์พูดว่า “นอกจากอี้โม่เอนเตอร์เทนเมนต์จะบริจาคเงิน ฉันแนะนำให้เชิญพวกดาราภาพยนตร์ นักร้อง ที่มีชื่อเสียง มาถ่ายหนังร่วมกันแบบการกุศล จากนั้นนำไปฉายในโรงภาพยนตร์ เงินจากการจำหน่ายตั๋วทั้งหมด นำไปบริจาคให้การฟื้นฟูสวนป่า”
ความคิดนี้ไม่เลว
ไม่เพียงแต่จะสามารถขยายกำลังของอี้โม่เอนเตอร์เทนเมนต์ หนำซ้ำยังสามารถช่วยเรื่องไฟไหม้ได้ด้วย
สิ่งสำคัญไปกว่านั้น ยังสามารถทำให้ผู้คนรู้สึกถึงหน้าที่และการมีส่วนร่วม แค่มาดูหนัง ก็สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ เป็นสิ่งที่ดีมาก
แต่ปัญหาคือ……
เจียงชื่อพูดว่า “การถ่ายหนังเรื่องหนึ่ง เสียทั้งแรงและเวลา รอให้พวกเธอถ่ายจบ มันก็ไม่ทันการแล้วไม่ใช่หรือไง”
เฉิงดันถิงพูดว่า “เรื่องนี้นายวางใจเถอะ เดี๋ยวฉันกลับจะใช้พวกผู้กำกับ คนเขียนบทจำนวนมาก มาร่วมมือกัน จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปถ่าย แล้วค่อยเอามาตัดต่อรวมกัน”
“ผลงานมันอาจจะไม่ค่อยดี แต่หนังเรื่องนี้เน้นรูปแบบมากกว่าเนื้อหา ได้เท่าไรเอาเท่านั้น”
เจียงชื่อพยักหน้า “ได้ งั้นเอาตามที่เธอว่าก็แล้วกัน”
หลังจากหารือกันเสร็จ ทุกคนแยกย้ายกันทำงาน
บริษัทเทคโนโลยีจิ้นเมิ่งนำสินค้าที่เป็นอุปกรณ์ฟื้นฟูรูปแบบใหม่วางตลาด ส่วนอี้โม่เอนเตอร์เทนเมนต์รีบดำเนินการเขียนบท และติดต่อดาราดังๆ มาแสดง
ทุกอย่างดำเนินการไปด้วยความกระตือรือร้น
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คนทั้งเขตเจียงหนาน รู้ถึงการเคลื่อนไหวของบริษัทเทคโนโลยีจิ้นเมิ่งและอี้โม่เอนเตอร์เทนเมนต์อย่างรวดเร็ว ทุกคนล้วนยกย่องการกระทำของพวกเขา
ทว่าตอนนี้ มีคนไม่กี่คนกำลังไม่พอใจ
ในห้องประธานที่อาคารเทียนติ่งใจกลางเมือง
ประธานซุนหย่งเจินนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองการกระทำของบริษัทเทคโนโลยีจิ้นเมิ่งและอี้โม่เอนเตอร์เทนเมนต์ ด้วยความกลุ้มใจ
ซุนจ้ายเย้นก็นั่งดูข่าวอยู่บนโซฟา โดยไม่พูดอะไรออกมา
หลังจากเงียบอยู่นาน
ซุนหย่งเจินอดไม่ไหว จึงทุบโต๊ะอย่างโมโห “ไอ้เจียงชื่อ ทำเป็นคนดีงั้นเหรอ ทั้งบริจาคเงิน ทั้งวางจำหน่ายสินค้าและถ่ายหนังด้วย ให้ตายเถอะ มันคิดว่าตัวเองเป็นผู้กอบกู้โลกหรือไง”
ซุนจ้ายเย้นหัวเราะเบาๆ
“อย่างน้อยเขาก็ลงมือทำอย่างจริงจัง เพื่อเพื่อนมนุษย์”
“ถ้านายไม่พอใจ นายก็ไปบริจาคด้วยสิ”
“เขาบริจาคพันล้าน นายบริจาคสองพันล้าน สามพันล้านก็ได้ ไม่มีใครห้ามนาย”
ซุนหย่งเจินโมโหฟึดฟัด
ถ้าเป็นครึ่งปีก่อน เขาพอกัดฟันบริจาคสามพันล้านได้ แต่สถานการณ์ของบริษัทเทียนติ่งในตอนนี้ อย่าว่าแต่สามพันล้านเลย ขนาดสามร้อยล้านยังลำบากเลย!
ผลประกอบการของบริษัทมีแต่ลดลง ถ้าเป็นธุรกิจเล็กๆ คงจบเห่ไปแล้ว
แต่ถึงจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่อย่างบริษัทเทียนติ่ง ก็เรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤติเต็มที ขืนยื้อต่อไปแบบนี้ อีกไม่นานบริษัทก็จะล้มละลาย
ซุนหย่งเจินพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นายอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ ฉันเชิญนายมา เพราะต้องการให้นายคิดแผนจัดการเจียงชื่อ ไม่ใช่ให้นายมาสั่งสอนฉัน!”
ซุนจ้ายเย้นพูดอย่างไม่พอใจว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเตี๋ย นายคิดว่าฉันจะยืนข้างนายเหรอ”
สองพี่น้องแท้ๆ คู่นี้ ต่างก็ไม่ชอบหน้ากัน
แต่ทั้งคู่ยังจำเป็นต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน
มันเป็นสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ทั้งสองไม่พูดอะไร หลังจากเงียบอยู่นาน ซุนจ้ายเย้นถอนหายใจ และพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เพื่อเสี่ยวเตี๋ย ฉันต้องสละเจียงชื่อ สละสวนป่า สละประชาชนผู้บริสุทธิ์ทิ้งไป”
เมื่อซุนหย่งเจินได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขา
“นายคิดวิธีจัดการเจียงชื่อได้แล้วเหรอ”
ซุนจ้ายเย้นพยักหน้า “ไฟไหม้ครั้งนี้ จะเป็นวาระสุดท้ายของเจียงชื่อ ยิ่งเขาทำมากเท่าไร เขาก็จะตายอย่างน่าเวทนามากขึ้นเท่านั้น”
“อุปกรณ์ใหม่ ถ่ายหนังอย่างนั้นเหรอ”
“เหอะๆ ฉันจะพังมันลงมาทั้งหมด! ให้ไม่มีวันลุกขึ้นมาได้อีก!”