จอมนักรบอหังการ - บทที่ 10 เสิ่นจูนอี๋ ขอเข้าพบ
จอมนักรบอหังการ บทที่ 10 เสิ่นจูนอี๋ ขอเข้าพบ!
ภายใต้สายตาที่มองกันมาของผู้คน ปู่หูที่ยิ่งใหญ่ไม่เป็นสองรองใครในเมืองเจียงไห่ กำลังถูกเผยจื่อตงหิ้วตัวราวกับสุนัข เดิมทีก็เป็นภาพเหตุการณ์ที่น่าตกใจอยู่แล้ว
ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็พากันคาดเดาว่า เผยจื่อตงผู้นี้ ตกลงเป็นใครกันแน่!
เวลานี้ได้ยินเสียงของปู่หูพูดขึ้นขณะที่กำลังร้องไห้ เผยจื่อตงผู้นี้ เป็นเพียงแค่ทหารนายหนึ่งภายใต้เย่อู๋เทียนเท่านั้น
ทันใดนั้น ก็เงียบกริบกันไปหมด!
ทุกคนกำลังคาดเดาอยู่ว่า เย่อู๋เทียน ตกลงมีประวัติความเป็นมาอะไรกันแน่!
เสิ่นจูนอี๋ได้ยินที่ปู่หูพูดแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตกใจ หัวสมองว่างเปล่าไปหมด
เผยจื่อตง!
หรือว่าจะเป็นเพียงแค่ทหารนายหนึ่งภายใต้เย่อู๋เทียนเท่านั้นจริง ๆ ด้วย?
เรื่องราวดังกล่าวนี้ คงจะต้องมีอะไรที่เข้าใจผิดกันบ้างเป็นแน่? !
เย่อู๋เทียนมันเป็นใครกัน เผยจื่อตงผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอนาคตสดใสอย่างนี้ ทำไมถึงได้กลายเป็นลูกน้องของไอ้คนหน้าโง่อย่างนั้นด้วย?
เสิ่นจูนอี๋จึงมองสังเกตเผยจื่อตงอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง
แม้ว่าเผยจื่อตงจะสวมใส่ชุดทหาร แต่บนบ่าไม่มีประดับดาวยศทหาร
เสิ่นจูนอี๋อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า ข่าวลือดังกล่าวนั้นเป็นเท็จ เผยจื่อตงผู้นี้ คงจะไม่ใช่หนึ่งในหนึ่งร้อยยอดจอมพลทหารอะไรนั้นเป็นแน่
ประเทศหลงที่กว้างใหญ่ไพศาล หรือว่าจะไม่มีคนอื่นแล้วอย่างนั้นเหรอ?
จึงปล่อยให้เด็กหนุ่มที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้นี้ขึ้นชั้นเป็นหนึ่งในหนึ่งร้อยยอดจอมพลทหาร!
เมื่อพิจารณาถึงจุดนี้แล้ว เสิ่นจูนอี๋จึงแอบส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา และพูดกับเผยจื่อตงด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นว่า:
“เผยจื่อตง คุณต้องรับทราบไว้นะว่า ฉันคำนึงถึงมิตรภาพระหว่างพวกคุณตระกูลเผยกับพวกเราตระกูลเสิ่นในอดีต เวลานี้ฉันจึงพูดคุยกับคุณดี ๆ ไม่อย่างนั้นแล้ว คุณคิดว่าคุณเป็นใครกัน? ”
“รีบปล่อยตัวเขาลงเดี๋ยวนี้ ฉันก็จะไม่ถือสาหาความอะไรอีก! มิเช่นนั้น ต่อให้ตระกูลเผยของพวกนายจะมีรากฐานที่มั่นคงในเมืองเจียงไห่ก็ตาม ก็คงจะไม่สามารถปกป้องไอ้เด็กหนุ่มที่หลอกลวงผู้คนไปทั่วได้แน่นอน! ”
เผยจื่อตงแสดงสายตาที่เย็นชาขึ้น
ในขณะนั้นเอง ชายวัยกลางคนคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบกองกำลังพิเศษแห่งเมืองเจียงไห่ ก็ได้เดินออกมาจากโถงลิฟต์ชั้นหนึ่งของโรงพยาบาล
ด้านหลังของเขายังมีคนกลุ่มหนึ่งเดินตามมาด้วย ซึ่งทั้งหมดนั้น ล้วนติดอาวุธครบครัน และในมือก็ยังถืออุปกรณ์ป้องกันการระเบิดด้วย
โดยคนที่ถูกพวกเขาจับกุมตัวนั้น ก็คือพวกลูกน้องของปู่หู ที่ก่อนหน้านี้ปรากฏตัวขึ้นบนชั้นยี่สิบแปด ซึ่งในเวลานี้เชื่อฟังอย่างกับนักโทษ
ถึงขนาดที่มีคนร้องไห้เสียงดัง สำนึกในบุญคุณอย่างที่สุด
เปรียบดั่งการที่ถูกกองกำลังพิเศษที่อยู่ด้านหลังนี้จับกุมตัว ถือเป็นเรื่องที่โชคดีมากในชีวิต
เพราะว่าเมื่อเปรียบเทียบกับพวกกองกำลังพิเศษ พวกผู้ชายในชุดทหาร ที่บนบ่าประดับดาวยศจอมพลบนชั้นยี่สิบแปดนั้น ช่างน่าเกรงกลัวมากกว่าอย่างยิ่ง
สำหรับพวกลูกน้องเหล่านี้ เพียงแค่ยืนอยู่ต่อหน้าของพวกผู้ชายที่บนบ่าประดับดาวยศจอมพลเหล่านั้นแล้ว ก็แทบจะเป็นตายลงทั้งเป็นเลยทีเดียว
เมื่อเสิ่นจูนอี๋เห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว ก็เกิดความตกใจขึ้นอย่างที่สุด
ส่วนคนอื่นในที่แห่งนี้เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ต่างก็พากันปรบมือชื่นชม
หลายปีมานี้ ปู่หูเป็นอันธพาลก่อความวุ่นวายในเมืองเจียงไห่อย่างมาก!
วันนี้ รวมถึงตัวเขา และพวกลูกน้องของเขาที่กำเริบเสิบสานไปทั้วนั้น ในที่สุดก็ถูกจับกุมตัวทั้งหมดแล้ว!
ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำของกองกำลังพิเศษนั้น ได้เดินเข้ามาหาเผยจื่อตง
เมื่อมาถึงเบื้องหน้า ก็แสดงความเคารพ
และพูดขึ้นด้วยเสียงดังทรงพลังว่า
“รายงานจอมพลเผย ลูกน้องของหูจื้อซานจำนวนสามสิบสี่คน ได้ถูกจับกุมตัวทั้งหมดแล้ว! ”
เผยจื่อตงยกมือขึ้นเล็กน้อย
“นำตัวพวกเขาไปคุมขังซะ อีกเรื่องหนึ่ง จัดกองกำลังรักษาความปลอดภัยเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยโดยรอบของโรงพยาบาลด้วย คืนนี้ ฉันไม่อยากเห็นว่ามีผู้ใดมารบกวนสถานที่แห่งนี้อีก! ”
ชายวัยกลางคนสีหน้าท่าทางเย็นชา
“รับทราบ จอมพลเผย! ”
เมื่อพูดจบ ชายวัยกลางคนก็รับตัวหูจื้อซานมาจากมือของเผยจื่อตง แล้วก็เดินจากไป
เผยจื่อตงไม่แม้แต่จะมองไปที่เสิ่นจูนอี๋ แล้วก็เดินตรงไปยังที่หน้าประตูของห้องโถงโรงพยาบาล
และยืนอยู่ที่ด้านข้างประตู
ในท่วงท่าตัวตรงเช่นเคย
ส่วนเสิ่นจูนอี๋เมื่อมองเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว เป็นเวลานานกว่าที่จะสงบสติอารมณ์ลงได้
ซึ่งมันเปรียบได้ดั่งความฝัน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เธอถึงตั้งสติกลับคืนมาได้ แล้วก็รีบเดินไปยังโถงลิฟต์ เพื่อขึ้นไปยังชั้นยี่สิบแปดของโรงพยาบาล
เธอก็ยังคงไม่เชื่อว่า เรื่องราวทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ จะเกี่ยวข้องกับไอ้หน้าโง่เย่อู๋เทียน
แต่เมื่อมาถึงโถงลิฟต์ชั้นยี่สิบแปดแล้ว
เสิ่นจูนอี๋แทบอยากจะตายลงเลยก็ว่าได้
ภายในบริเวณโถงลิฟต์ชั้นยี่สิบแปด มีเฉาจ้านหยางเป็นผู้นำยืนคุมอยู่
โดยมีชายในชุดทหาร ที่บนบ่าประดับดาวยศทหารจำนวนสิบกว่าคน กำลังยืนตัวตรงอยู่ภายในบริเวณโถงลิฟต์อย่างพร้อมเพรียง
ขณะที่เสิ่นจูนอี๋ก้าวเดินออกมาจากลิฟต์ ก็ถูกจับจ้องด้วยสายตาของเฉาจ้านหยางและคนอื่น ๆ
สายตาทุกคู่ที่องอาจดุดันต่างก็จดจ้องมองมาที่ร่างของเสิ่นจูนอี๋
เสิ่นจูนอี๋รู้สึกว่าร่างกายอ่อนแรงลง แทบจะยืนทรงตัวอยู่ไม่ได้ และเกือบล้มลงไปที่พื้น
เหมือนว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกคนเหล่านี้ เสิ่นจูนอี๋แทบจะไม่ต่างอะไรกับมดแมลงเลย
เสิ่นจูนอี๋จิตใจสั่นไหว และพยายามที่จะสงบสติอารมณ์ของตนเองลงเล็กน้อย ถึงมองไปที่เฉาจ้านหยาง
เสิ่นจูนอี๋ไม่ทราบว่าเฉาจ้านหยางก็คือลูกชายของเฉาปั้นเสียน และยิ่งไม่ทราบด้วยว่า เฉาจ้านหยางคือลูกศิษย์ที่เย่อู๋เทียนถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตนเอง
แต่เสิ่นจูนอี๋ทราบว่า ผู้ชายคนนี้ คือผู้นำของหนึ่งร้อยยอดจอมพลทหารแห่งประเทศหลง!
โดยเคยที่จะใช้พลังความสามารถของตนเอง ข่มขูสร้างความหวาดกลัวต่อกองทัพฝ่ายศัตรูจำนวนมากถึงกับต้องถอยทัพกลับไป!
เพียงแค่เฉาจ้านหยางยืนอยู่ตรงหน้าประตูชายแดน ก็ไม่มีศัตรูหน้าไหนที่จะกล้ารุกรานย่างกรายเข้ามาในดินประเทศหลงเลยแม้แต่น้อย!
ถึงกระนั้นก็ตาม เสิ่นจูนอี๋ก็ยังคงไม่เชื่อว่า การที่เฉาจ้านหยางอยู่ที่นี่นั้น จะเกี่ยวข้องกับเย่อู๋เทียน
เพียงแค่คิดว่า
บ้านเกิดของเฉาจ้านหยางก็อยู่ที่เมืองเจียงไห่
และในช่วงกี่ปีมานี้ที่หูจื้อซานใช้วิธีการสลับปรับเปลี่ยนของจริงเป็นของปลอม เพื่อลักลอบซื้อขายสมบัติล้ำค่าของชาติที่เก็บสะสมอยู่ในปราสาทตระกูลเย่มาโดยตลอดนั้น
การกลับบ้านเกิดของเฉาจ้านหยางในครั้งนี้ ก็เพื่อกำจัดขบวนการชั่วร้ายของหูจื้อซานให้สิ้นซาก
แต่เมื่อนึกถึงเรื่องนี้แล้ว เสิ่นจูนอี๋ก็ยิ่งหวาดกลัวขึ้นไปอีก
กี่ปีมานี้ ที่หูจื้อซานถึงขนาดกล้าลักลอบซื้อขายสมบัติล้ำค่าของชาติอย่างกำเริบเสิบสานนั้น ต่างก็เป็นเพราะเสิ่นจูนอี๋อนุญาตและให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ไม่อย่างนั้นเพียงแค่เจ็ดปี ตระกูลเสิ่นคงจะไม่เจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็วขนาดนี้ จนก้าวกระโดดกลายเป็นตระกูลใหญ่ที่ทัดเทียมกับตระกูลเย่ และตระกูลเผย สองตระกูลใหญ่ในเมืองเจียงไห่ได้
เสิ่นจูนอี๋เองก็เป็นเพราะเหตุนี้ถึงได้ก้าวกระโดดกลายเป็นเศรษฐินีผู้ร่ำรวยอันดับหนึ่งของประเทศหลงที่ไม่เปิดเผยตัวตน
เมื่อมองเห็นเฉาจ้านหยางและคนอื่น ๆ แล้ว เสิ่นจูนอี๋ก็ถึงกับถอนหายใจ แล้วก็รีบเดินตรงไปยังห้องผู้ป่วยที่เสิ่นรั่วชิงพักรักษาตัวอยู่
เฉาจ้านหยางขยับขึ้นมาด้านหน้าหนึ่งก้าว และก็พูดคำหนึ่งว่า
“ถอยไป! ”
เสิ่นจูนอี๋ตกใจจนต้องหยุดฝีเท้าลง พร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงที่สั่นเทา
“ฉันมา……เพื่อ……เพื่อเยี่ยมผู้ป่วย ที่ชื่อเสิ่นรั่วชิง ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน”
เฉาจ้านหยางจ้องมองสายตาของเสิ่นจูนอี๋เพื่อตรวจสอบเล็กน้อย
“รอฉันเข้าไปรายงานก่อน”
เสิ่นจูนอี๋ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าก็พลันขาวซีดลงทันที
“ไปรายงานกับใคร? ”
เฉาจ้านหยางยิ้มอย่างเย็นชา
โดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรให้กับเสิ่นจูนอี๋ฟังแม้แต่น้อย
เพราะเธอไม่คู่ควร!
เสิ่นจูนอี๋เห็นเหตุการณ์ดังนั้น แม้ว่าจะหวาดกลัวอย่างที่สุด แต่ก็อับอายและโมโหอย่างมาก
เจ็ดปีแล้ว
ใครกันที่กล้าจะมาพูดคุยกับเธอแบบนี้?
ซึ่งเฉาจ้านหยางคนนี้ มองเธอเหมือนกับอากาศ!
มันช่างเหมือนกับตบบ้องหูเธอต่อหน้าสาธารณะ แล้วยังจะจับกดหัวของเธอมาเช็ดถูบนพื้น อีกทั้งยังทำให้เธอต้องอับอายและโกรธแค้นอย่างมากด้วย!
แต่เมื่อนึกถึงสถานะของเฉาจ้านหยางแล้ว……
เสิ่นจูนอี๋เองก็ทำได้เพียงแค่อดทนต่อความอับอายขายหน้านี้!
ขณะเดียวกัน เฉาจ้านหยางก็เดินไปถึงหน้าประตูห้องผู้ป่วย แล้วก็เคาะประตูเบา ๆ และพูดขึ้นว่า:
“นายทหาร เฉาจ้านหยาง มีเรื่องรายงานต่อชิงตี้ทราบ! ”
เสิ่นจูนอี๋ได้ยินเสียงพูดนี้แล้ว
ราวกับถูกฟ้าผ่าลงมาทันที!
และก็มีเสียงของชายคนหนึ่งที่ฟังไม่ค่อยจะชัดเจนเท่าไร ดังออกมาจากห้องผู้ป่วย
“เรื่องอะไรเหรอ? ”
เมื่อเสิ่นจูนอี๋ได้ยินแล้ว ความโมโหก็พุ่งขึ้นสุดขีด แทบจะสลบลงไปเดี๋ยวนั้น
ทั้งร่างกาย สั่นเทาไปหมด!
ด้านนอกห้องผู้ป่วยก็มีเสียงของเฉาจ้านหยางดังขึ้นอีกครั้ง
“เรียนชิงตี้ เสิ่นจูนอี๋ ขอเข้าพบ”
เสิ่นจูนอี๋โมโหหนักมาก
ขอเข้าพบ?
ในช่วงวัยเด็ก
เสิ่นจูนอี๋ไม่ว่าจะเยาะเย้ยถากถางเย่อู๋เทียนมากขนาดไหน ไอ้หน้าโง่คนนี้ก็ยังจะเคารพและพูดดีกับเธออยู่ตลอด
ตอนอยู่ต่อหน้าของเธอ ก็แทบจะไม่ต่างอะไรกันกับสุนัขตัวหนึ่งเลย!
เชื่อฟังคำสั่งถึงขนาดที่ถูกเรียกก็มา ถูกไล่ก็ไป!
เคยถึงขั้นที่ว่าต้องการจะรังแกไอ้หน้าโง่ที่รู้แต่จะฝึกบู๊อย่างเดียว!
โดยที่เสิ่นจูนอี๋ได้ร่วมมือกับบรรดาพวกเพื่อนของเธอ คิดหาวิธีการกลั่นแกล้งอย่างหนัก แต่ไอ้หน้าไง่คนนี้ก็มักจะติดกับถูกหลอกอยู่ทุกครั้งไป!
ถึงขนาดที่ว่า เสิ่นจูนอี๋ได้นำเอามรดกของแม่ของเย่อู๋เทียนเพื่อมาหลอกไอ้หน้าโง่นี้ว่า เงินทองที่นำมาให้เขาฝึกฝนวิชาบู๊นั้น ล้วนแต่นำมาจากตระกูลเสิ่น ไอ้หน้าโง่คนนี้ก็ยังคงไม่รับรู้เรื่องอะไรเลย!
เวลานี้ ต้องการที่จะพบกับไอ้หน้าโง่คนนี้ จำเป็นจะต้องขอเข้าพบด้วยเหรอ?
เสิ่นจูนอี๋โมโหมากจนถึงกับต้องหัวเราะออกมา
ตกลง
ขอเข้าพบ ก็ขอเข้าพบ!
ใครให้ไอ้หน้าโง่คนนี้มีอิทธิพลอำนาจกันล่ะ!
แต่คำพูดต่อไปของเย่อู๋เทียนที่ดังออกมาจากในห้องผู้ป่วยนั้น กลับทำให้เสิ่นจูนอี๋คลุ้มคลั่งไปโดยสิ้นเชิง
เย่อู๋เทียนพูดเพียงแค่สามคำว่า
“ไล่เธอไป! ”