จอมนักรบอหังการ - บทที่ 299 ผมชอบใช้ดาบ ดาบที่พุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ย่อท้อ!1
จอมนักรบอหังการ บทที่ 299 ผมชอบใช้ดาบ ดาบที่พุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ย่อท้อ!1
เย่หวงเยได้ยินคำพูดนี้แล้วอึ้งตะลึง โพล่งถามออกไปว่า
“แม้แต่เธอ..ก็สกัดไว้ไม่ได้?”
หลงรั่วหานส่ายหัวบอก
“เมื่อกี้เธอก็เห็นแล้วนี่ ฝีมือของฉันยังสู้ผู้หญิงที่ยืนข้างเย่อู๋เทียนไม่ได้เลย”
เย่หวงเยตะลึงถึงขีดสุด
“ไม่ ฉันไม่เชื่อ!”
หลงรั่วหานมองเย่หวงเยอย่างสงสัย พลางขมวดคิ้วบอก
“ดูเหมือนเธอจะกลัวเย่อู๋เทียนเปิดศึกฆ่าล้างบางนะ! นี่มันดูตรงกันข้ามกับเป้าหมายที่แท้จริงของเธอนะ!”
เย่หวงเยอึ้งไปก่อนมองหลงรั่วหานอย่างค้นหา
“เธอดูเหมือนจะเดาเป้าหมายฉันออก!”
หลงรั่วหานถอนหายใจยาวพลางว่า
“เรารู้จักกันมาหลายปี ถ้าฉันไม่รู้ว่าใจเธอคิดยังไง จะเป็นพี่สาวเธอได้ไงกัน”
ไหล่เย่หวงเยพลันสะท้าน
“เธอไม่โทษฉัน?”
หลงรั่วหานส่ายหัวบอก
“ไม่ใช่ไม่โทษ ฉันรู้สึกว่า เธอวางแผนมาหลายปี สุดท้ายก็คงสูญเปล่าแน่ ! เธออยากนั่งในตำแหน่งหัวหน้าสมาพันธ์ของพันธมิตรมังกร ฉันก็อยาก แต่ไม่ว่าจะเป็นเธอหรือฉัน ล้วนไม่คู่ควรทั้งสิ้น!”
เย่หวงเยสีหน้าหม่นหมอง
หลงรั่วหานหันมองห้องน้ำชาชั้นสองอีกครั้ง พลางพูดเสียงเบาว่า
“ไปดูกันเถอะ ขอให้วันนี้เย่อู๋เทียนสามารถถอนตัวได้อย่างเรียบร้อย!”
เย่หวงเยขมวดคิ้วถาม
“พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง?”
หลงรั่วหานชะงักก่อนตอบ
“เต้าจ้างหนึ่งเล่ม ลึกล้ำกว้างขวางนัก อ่านเข้าใจเป็นเรื่องหนึ่ง เอามาใช้ได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง! ยิ่งไปกว่านั้นแค่วิชาจิตมังกรเหลืองเล่มเดียว ตระกูลหลงของฉันสืบทอดมันมาหลายพันปี ยังไม่เคยมีใครฝึกถึงชั้นสามได้! แต่ฟังจากความหมายของเย่อู๋เทียนเมื่อกี้ ต่อให้เป็นคนที่ฝึกวิชาจิตมังกรเหลืองถึงชั้นเก้าได้ เขาก็ไม่เห็นอยู่ในสายตาหรอ? เขาดูจะพูดจาเพ้อฝันไปหน่อย!”
เย่หวงเยได้ยินอย่างนั้น ก็อดลิงโลดขึ้นในใจไม่ได้
ใช่ไง
วิชาจิตมังกรเหลือง!
แค่ฝึกถึงชั้นสอง ก็สามารถเป็นหนึ่งในใต้หล้า!
ฝึกถึงชั้นเก้า?
ชาตินี้เย่หวงเยยังไม่เคยมีโอกาสพบเจอคนที่ฝึกวิชาจิตมังกรเหลืองถึงชั้นเก้าเลย!
แต่กลับเห็นว่า ประตูใหญ่บานนั้นของห้องน้ำชาชั้นสองที่เป็นทางผ่านไปที่จัดงานโอสถและการฝังเข็ม
ไม่มีแม้แต่เงาเย่อู๋เทียนแล้ว
เย่อู๋เทียนก้าวเท้าออกไป และปรากฏตัวอยู่ในที่จัดงานโอสถและการฝังเข็มแล้ว
เสิ่นรั่วชิง หานตี้ซือต้องตามติดไปอยู่แล้ว
ตอนนี้ในชั้นใต้ดินชั้นสิบที่กว้างขวางได้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายแออัดมารวมตัวกันแล้ว
เทียบกับบรรยากาศก่อนหน้านี้แล้ว เรียกได้ว่าต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เห็นได้ชัดว่า ทางเดินที่มาที่นี่ ไม่ได้มีแต่ทางเดินสายนั้นที่เย่อู๋เทียนพึ่งผ่านมา
ภายในสถานที่โอ่โถงนี้ นอกจากคนของสี่ตระกูลใหญ่พันธมิตรมังกรแล้ว ยังมีนักสู้ยุทธจักรจากทุกแหล่งอำนาจทั่วโลกอีกด้วย
ส่วนหลังภูเขาเอ๋อเหมย ส่วนหลังภูเขาเสวี๋ยนอู๋!
ส่วนหลังภูเขาจงหนาน!
สำนักเทียนซือแห่งเขาหลงหู!
รวมถึงสำนักเชียนจีของประเทศเทียนจ้าว โซโลมอนของประเทศมหาอำนาจ พราหมณ์ของประเทศเชวี่ย!
หรือกระทั่งสำนักพระเจ้าแห่งตะวันตก!
สรุปว่า สำหรับเย่อู๋เทียนแล้ว คนที่มาปรากฏตัวที่นี่ ประมาณ99.99%….
ล้วนเป็นคนแปลกหน้า!
พูดได้เลยว่า ขอแค่เป็นนักสู้แข็งแกร่งระดับโลกหรือองค์กรระดับโลกพวกนั้นที่โลกยุทธจักรรู้จัก…
ล้วนมาปรากฏตัวที่นี่หมดแล้ว!
เห็นได้ชัดว่างานโอสถและการฝังเข็มที่จัดขึ้นวันนี้ยิ่งใหญ่แค่ไหน!
นี่เป็นครั้งแรกที่เย่อู๋เทียนได้เจอคนแกร่งมากมายขนาดนี้!
เสิ่นรั่วชิงยิ่งเป็นครั้งแรก!
จากนั้นพอภาพภายในงานของชั้นใต้ดินชั้นสิบนี้เข้าสู่สายตา
เสิ่นรั่วชิงถอนหายใจอย่างตะลึง!
ต่อให้เป็นหานตี้ซือที่อยู่มาจนหนึ่งร้อยห้าสิบปีแล้ว พอเห็นภาพเบื้องหน้า สีหน้ายังเคร่งเครียดถึงขีดสุด!
หานตี้ซือเหมือนกับหลงรั่วหานที่ถึงแม้จะตกตะลึงกับความรู้อันกว้างขวางของเย่อู๋เทียน
แต่สำหรับฝีมือที่แท้จริงของเย่อู๋เทียนแล้ว
ยังคงอยู่ในภาวะจับตาดู!
เพราะการผนวกตันหนึ่งร้อยครั้งที่เย่อู๋เทียนพูดคือ ตันเสวียน สำหรับหานตี้ซือแล้วไม่ได้มีนิยามอะไร
หานตี้ซือตามหลังเย่อู๋เทียนมา เขากวาดสายตามองไปรอบๆระหว่างที่เดินไปบัลลังก์ปลายสุด
ใต้ฝ่าเท้าคือพรมแดงสายหนึ่ง ขอบของพรมแดงมีขอบทองอ่อนนุ่ม!
ด้านล่างพรมแดงนี้เป็นทางเดินยาวที่ปูด้วยหินหยก
ขอบของทางเดินยาวหินหยก ยังฝังเป็นขอบดอกไม้ที่สลักจากหินแก่นม่วงด้วย
และสองข้างทางของทางเดินยาวยิ่งมีติ่งขนาดใหญ่มหึมาที่ทำจากหินแก่นม่วงทั้งหมดเรียงอยู่ตามทาง!
และพอมองไปที่เวทีนั้นปลายทางเดิน
ขอบของเวทีก็สลักจากหินแก่นม่วงเช่นกัน
กรงเหล็กด้านบนนั้นยิ่งทำจากเหล็กดำที่มาจากใต้น้ำแข็งพันปี
อยู่ไกลขนาดนี้ยังคงรับรู้ได้ถึงไอเย็นที่แผ่ซ่านเข้ามาหาได้เลย
หานตี้ซือไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้นที่โดนห้อยโหนในกรงเหล็ก
ดังนั้นเลยมองเธอแค่แวบเดียว และเบนสายตาไปจบที่กำแพงมหึมาด้านหลังเวที
บนกำแพงนั้นเต็มไปด้วยรูปสลักที่แกะสลักจากหินแก่นม่วง
สัตว์อสูรในตำนานโบราณนานาชนิดดูราวกับมีชีวิต!
แต่ที่ทำให้หานตี้ซือตกตะลึง มันคือสิบสามบัลลังก์ที่แขวนอยู่บนกำแพงนั่น!
ประหนึ่งรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกำแพงนั่น
สูงห่างจากพื้น มากนัก?
สิบสามบัลลังก์นั่น นอกจากไม่มีคนอยู่บนบัลลังก์ตรงกลางที่ทำจากทองคำแล้ว ที่เหลืออีกสิบสองบัลลังก์มีคนนั่งอยู่ทั้งสิ้น
ไม่มีข้อยกเว้นเลย ทั้งหมดล้วนรวดเร็วดุจสายรุ้ง!
ให้ความรู้สึกกดดันอย่างรุนแรงได้ตั้งแต่ระยะไกล!
บนใบหน้าของพวกเขาทุกคนล้วนใส่หน้ากากไว้!
แต่ถึงพวกเขาจะไม่ได้เปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง แต่แค่นั่งอยู่บนที่สูงนั้น ก็ทำให้คนรู้สึกราวกับอยู่เหนือสรรพชีวิตทั้งปวงแล้ว!
ประหนึ่งเทพเซียนลงมายังโลกมนุษย์!
หานตี้ซือเห็นภาพนี้ อดกลืนน้ำลายไม่ได้
รู้สึกว่าคนบนสิบสองบัลลังก์นั่นล้วนมองไปในทิศทางเดียวกัน
คือผู้หญิงคนนั้นในกรงบนเวที
ผู้หญิงคนนี้…
เป็นใครกันแน่?
ทำไมถึงโดนจับขังไว้ในกรง และถูกผู้แข็งแกร่งมากมายรายล้อมมุงดู?
ไม่เพียงแค่หานตี้ซือที่ไม่รู้จักอิ่นโม่โฉว
ต่อให้เป็นเสิ่นรั่วชิงที่เคยเจออิ่นโม่โฉวมาก่อน ก็จำอิ่นโม่โฉวในตอนนี้ไม่ได้เหมือนกัน
เพราะก่อนหน้านี้ที่เสิ่นรั่วชิงเคยเจออิ่นโม่โฉว อิ่นโม่โฉวไม่ได้เจอเธอด้วยใบหน้าที่แท้จริง
ในกรงเหล็ก อิ่นโม่โฉวโดนตรึงรัดแน่นไว้ด้วยเหล็กดำต่อกันหลายเส้น
ยากจะที่มองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอได้