จอมนักรบอหังการ - บทที่ 32 ประเทศสงบ ประชาร่มเย็น!
จอมนักรบอหังการ บทที่ 32 ประเทศสงบ ประชาร่มเย็น!
ศิษย์พี่?
ปรมาจารย์ด้านพู่กันจีนและวงการศิลป์ภาพวาดจีนของประเทศหลง โจวไป๋เซิง เรียกเย่อู๋เทียนว่าศิษย์พี่?
นี่มันอะไรกัน?
หยางเฟยเอ๋อร์ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
หยางเฟยเอ๋อร์นั้นเป็นเพื่อนสมัยมัธยมปลายของเย่อู๋เทียน สามารถพูดได้ว่าเธอรู้จักเย่อู๋เทียนเป็นอย่างดี
ในตอนนั้น หยางเฟยเอ๋อร์เป็นหัวหน้าห้องและตัวแทนของวิชาภาษาจีน
ในสายตาของหยางเฟยเอ๋อร์ เย่อู๋เทียนไม่ได้เป็นแค่เด็กกาก?
แต่เป็นเด็กกากของเด็กกากต่างหาก
ไม่ตั้งใจเรียนยังไม่พอ ทุกครั้งที่สอบเขามักจะส่งข้อสอบเปล่า
ย้ำว่าทุกครั้ง!
แม้จะทำแบบนี้ ครูประจำชั้นในตอนนั้นกลับไม่ได้ไล่เย่อู๋เทียนออก
อีกอย่าง เมื่อก่อนนายคนนี้ไม่ตั้งใจเรียนหนังสือเลย มาหนึ่งวันหยุดสามวัน ราวกับว่าการมาเรียนของเขาคือการให้เกียรติคุณครู…….
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน เด็กกากคนนี้ก็เหมือนกับบ้าไปแล้วมักจะไปต่อสู้กับครูพละ
ทุกครั้ง เด็กกากคนนี้ก็จะทำร้ายครูพละจนครูร้องเสียงหลง!
ทำเรื่องประหลาดพวกนี้ ในตอนนั้นกลับไม่โดนไล่ออก มันช่างอัศจรรย์เหลือเกิน!
และในวันนี้ ท่านโจว ยังเรียกเขาว่าศิษย์พี่?
ยิ่งทำให้หยางเฟยเอ๋อร์คาดคิดไม่ถึง!
วันนี้ที่หยางเฟยเอ๋อร์มาที่ สถานสอนเขียนพู่กันจีนโจวจวิน ไม่เพียงแต่ไม่เคยเจอตัวท่านโจว แม้แต่จะให้ลูกศิษย์ท่านช่วยเขียนหนังสือ ยังถูกปฏิเสธอย่างไร้ความปรานี!
ตอนนี้ ท่านโจวแค่ได้ยินเสียงของเย่อู๋เทียน ก็ไม่ได้สนใจภาพลักษณ์ วิ่งลงมาจากชั้นสอง!
หยางเฟยเอ๋อร์รู้สึกเพียงว่า ภาพนี้ช่างมันช่างบ้ามาก
อีกอย่างที่โจวไป๋เซิง เรียกเย่อู๋เทียนว่าศิษย์พี่ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
ฉีหยูนเซินเป็นครูคนแรกที่สอนศิลปะการต่อสู้ให้กับเย่อู๋เทียน ไม่เพียงแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านมวย ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนพู่กันจีน
ในตอนนั้น ฉีหยูนเซินแค่ชี้แนะโจวไป๋เซิงเล็กน้อย
ก็ทำให้การเขียนพู่กันจีนของโจวไป๋เซิงพัฒนาไปอีกขั้น ถึงขั้นที่ตัวอักษรเกือบจะทะลุไปหลังกระดาษ มีพลังและลึกซึ้งอย่างมาก
ก็เพราะเหตุนี้ โจวไป๋เซิงถึงได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ปรมาจารย์ด้านพู่กันจีนของประเทศหลง ได้อย่างมั่นคง!
แต่ในใจของโจวไป๋เซิง
สิ่งเหล่านี้ เป็นเพียงสิ่งจอมปลอมเท่านั้น
หากพูดถึงนักเขียนพู่กันจีน ยังต้องยกให้อาจารย์ฉีหยูนเซินและศิษย์พี่เย่อู๋เทียน
คนแรกสมัยยังหนุ่มก็สามารถคัดลอกตัวอักษรในคัมภีร์ ยังเป็นแบบที่ไม่อาจจะแยกแยะของจริงและของปลอมออกจากกัน
คนหลัง ตอนอายุสิบหกปีก็สามารถเขียนพู่กันจีนได้อย่างอ่อนช้อยงดงาม สามารถเขียนตัวอักษรลงบนหินศิลาด้วยมือเปล่า!
ตัวอักษรวิจิตรงดงาม สามารถเขียนได้ในระดับเดียวกันกับฉีหยูนเซิน หรือเหนือกว่า!
ดังนั้น เมื่อโจวไป๋เซิงเห็นเย่อู๋เทียน ก็ตื่นเต้นราวกับเห็นพ่อบังเกิดเกล้า
โจวไป๋เซิงที่จะครบเจ็ดรอบ วิ่งมาหาเย่อู๋เทียนโดยไม่สนอะไรเลย
ยื่นมือไปบีบไหล่ของเย่อู๋เทียน ใช้มือไปหยิกแก้มของเย่อู๋เทียน แล้วพูดเหมือนคนไม่ปกติ
“คงไม่ใช่ตัวปลอมนะ ใช่จริงๆด้วย!”
เย่อู๋เทียนรู้สึกน่าขำ
“ต้องตื่นเต้นขนาดนี้เลยเหรอ?”
โจวไป๋เซิงตะโกนพูด
“ตื่นเต้น! ไม่เพียงแค่ตื่นเต้น! แต่ว่าตื่นเต้นจนเกือบจะร้องไห้แล้ว! ศิษย์พี่ ท่าน ท่านยังมีชีวิตอยู่!”
“แม่งมันช่างตื่นเต้นเสียจริง!”
หยางเฟยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างอึ้งจนอ้าปากตาค้าง
แม้ว่าจะได้เจอโจวไป๋เซิงน้อยมาก แต่ทุกครั้งที่เห็นเขา ท่านดูเป็นสุภาพชนที่หนักแน่นมาก
ตอนนี้ทำไมเหมือนคนบ้าเลย?
ยังมีริมฝีปากของเขา
แม่งเอ๊ย!
เต็มไปด้วยน้ำหมึก!
เคยได้ยินมานานแล้วว่าโจวไป๋เซิงเป็นพวกบ้าเขียนพู่กันจีน หากเขียนขึ้นมาแล้ว จะลืมกินลืมนอนไปเลย!
เขียนถึงที่สุด ถึงขั้นที่ว่าเขียนจนเคยเอาพู่กันเข้าปากไปแล้ว วันนี้ได้เห็น เป็นดั่งคำร่ำลือจริงๆ!
ฉู่เหวินเต้าที่เห็นโจวไป๋เซิงตื่นเต้นขนาดนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นไปด้วย
เจ็ดปีแล้ว ทุกครั้งที่อาจารย์โจวไป๋เซิงพัฒนาไปอีกขั้น ก็จะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเย่อู๋เทียน และได้พูดถึงเขาเป็นประจำ
“ก็ไม่รู้ว่าตัวอักษรของฉัน จะสามารถเทียบเคียงของศิษย์พี่เย่ได้หรือเปล่า หากเขาเห็นเข้า คงจะพูดชื่นชมฉันบ้าง!”
เย่อู่เทียนตบบ่าของโจวไป๋เซิงเบาๆ
“เอาล่ะ เอาล่ะ อายุคุณก็ขนาดนี้แล้ว ยังมาเรียกผมว่าศิษย์พี่ อยากให้ผมอายุสั้นหรือไง”
“นั่งเถอะ นั่งลงแล้วค่อยพูด”
โจวไป๋เซิงพยักหน้ารับ แต่ก็ยังคงจับแขนของเย่อู๋เทียนไว้โดยไม่ยอมปล่อย
“ศิษย์พี่ เจ็ดปีแล้ว คุณคงไม่รู้ว่าเจ็ดปีนี้ฉันใช้ชีวิตยังไง ตอนนั้นอาจารย์ก็ไปจากเมืองเจียงไห่ คุณก็ไปจากเมืองเจียงไห่ ได้ยินมาว่าคุณล่วงเกินเหล่าผู้มีอิทธิพล ฉันเป็นห่วงแทบแย่!”
เย่อู๋เทียนรู้สึกตื้นตันใจ
โจวไป๋เซิงแม้จะอายุมากแล้ว แต่จิตใจยังเหมือนเด็ก
จุดนี้ เป็นสิ่งที่หายาก
เย่อู๋เทียนกับโจวไป๋เซิงต่างก็นั่งลงแล้ว
มีฉู่เหวินเต้าเป็นคนชงชา
แต่หยางเฟยเอ๋อร์ที่ตกตะลึงอยู่ด้านข้าง ยืนอยู่ตรงนั้น อย่างเก้ๆกังๆ
เวลานี้โจวไป๋เซิงเพิ่งจะสังเกตเห็นหยางเฟยเอ๋อร์ จึงรีบสั่งการฉู่เหวินเต้า
“เหวินเต้า คนนี้เป็นแขกของเราใช่มั้ย? ส่งแขกก่อนเถอะ วันนี้ฉันจะดื่มกับศิษย์อย่างเต็มที่!”
หยางเฟยเอ๋อร์งงเลย
จะไล่แขกแบบนี้เลยเหรอ?
ฉันเอาเงินมาให้นะ ทำไมถึงทำแบบนี้!
ฉู่เหวินเต้ากำลังจะส่งแขก
เย่อู๋เทียนที่ใบหน้ามีรอยยิ้มยกมือขึ้นมาห้ามแล้วพูด
“หยางเฟยเอ๋อร์ เป็นเพื่อนสมัยเรียนของผม”
ฉู่เหวินเต้าอึ้งไปครู่หนึ่ง
โจวไป๋เซิงก็อึ้งไปด้วย วินาทีต่อมาก็เรียนหยางเฟยเอ๋อร์
“อ้อ ศิษย์น้องนี่เอง นั่ง นั่งลงก่อน”
หยางเฟยเอ๋อร์อึ้งอยู่กับที่
โจวไป๋เซิง เรียกเธอว่าศิษย์น้อง?
โอ้มายก็อต……..
แต่ว่า ท่านโจวอุตส่าห์ให้เกียรติ ไม่รับไม่ได้แล้ว
อีกอย่าง หยางเฟยเอ๋อร์ที่เป็นถึงประธานบริษัท ก็ต้องเป็นคนที่ฉลาดมากอยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่าเย่อู๋เทียนกับท่านโจวเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันจริง แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไม แต่หากตัวเองจะขอให้เขาเขียนตัวอักษรจีนให้ละก็………
มันจะต้องราบรื่นและง่ายดายอย่างแน่นอน?
เมื่อคิดได้อย่างนั้น หยางเฟยเอ๋อร์ก็รีบนั่งลงข้างกายเย่อู๋เทียนอย่างรวดเร็วทันใจ
ฉู่เหวินเต้าที่เห็นภาพนี้ ก็อึดอัดเล็กน้อย รีบรินชาให้กับหยางเฟยเอ๋อร์
หยางเฟยเอ๋อร์ปลื้มปริ่มอย่างมาก รีบพูดขึ้น
“คุณฉู่เกรงใจไปแล้ว ฉันทำเองดีกว่า”
ฉู่เหวินเต้าฝืนยิ้ม
“อาจารย์อาย่าได้ถือสา ต้องขอโทษที่ผมเงอะงะ จำอาจารย์อาไม่ได้!”
เห็นเฉินเต้าเหวินที่ท่าทางสุภาพแบบนี้ หยางเฟยเอ๋อร์ประหม่าจนไม่รู้จะพูดอะไร
เย่อู่เทียนหันมายิ้มแล้วถาม
“เฟยเอ๋อร์ เมื่อกี้ตอนที่ฉันเข้ามา หูฉันได้ยินโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอต้องการให้เหวินเต้าช่วยเขียนอะไรนะ?”
หยางเฟยเออร์อธิบายอย่างเขินอาย
“พอดีฉันเปิดบริษัทน่ะ อยากให้คุณฉู่ช่วยตัวอักษรจีนให้สี่ตัว ต้า-จ่าง-หง-ถู(เจริญก้าวหน้า) หรือคำว่า เทียน-เต้า-โฉ่ว-ฉิง(ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น) ก็ได้เหมือนกัน!” เย่อู๋เทียนยิ้มๆ
“ไม่เจอกันหลายปี อนาคตสดใสจังนะ ถึงขั้นเปิดบริษัทแล้ว”
ใบหน้าที่สวยงามของหยางเฟยเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะกระตุกไปหนึ่งที ถูกอดีตเด็กกากชมตัวเองว่าอนาคตสดใส………
ความรู้สึกนี้ อธิบายไม่ถูกเลยจริงๆ
โจวไป๋เซิงได้ล้างปากด้วยน้ำชาแล้ว หมึกที่อยู่บนปากหายไปกว่าครึ่ง จึงหันมายิ้มให้กับหยางเฟยเอ๋อร์
“ศิษย์น้องต้องการตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัวยังต้องมาด้วยตัวเองเหรอ? แค่โทรมาก็ได้แล้ว อย่างนี้ละกัน เดี๋ยวฉันกับศิษย์พี่จะเขียนให้เธอคนละแผ่น ต้า-จ่าง-หง-ถู(เจริญก้าวหน้า) กับ เทียน-เต้า-โฉ่ว-ฉิง(ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น)!”
“ไอ้หยา หลายปีมานี้ คันไม้คันมือ โดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่มีคู่แข่ง ดีเลยอาศัยโอกาสนี้ ฉันกับศิษย์เรามาประลองกันหน่อย ดูสิว่าใครจะเขียนได้วิจิตรงดงามกว่ากัน!”
ทันใดนั้น หยางเฟยเอ๋อร์รู้สึกสับสนอย่างมาก
ทั้งดีใจ ทั้งอึดอัด!
คิดไม่ถึงเลย กฎที่ท่านโจวเคยตั้งเอาไว้ว่าจะไม่เขียนอักษรพู่กันจีนให้กับบริษัท ห้าง ร้าน มีเย่อู๋เทียนอยู่ กฎก็ถูกทำลายไปอย่างง่ายดาย
แต่ ตัวอักษรพู่กันจีนของท่านโจว มีเงินก็ใช่ว่าจะซื้อได้?
สำหรับตัวอักษรพู่กันจีนของเย่อู๋เทียน………
มีคุณค่าอะไรเหรอ?
การทำการค้า ให้นักพู่กันจีนเขียนตัวอักษรให้ ถือว่าได้หน้าตาอย่างมาก
หากให้คนที่ไม่มีชื่อเสียงมาเขียน จะมีความหมายอะไร?
ยิ่งไปกว่านั้น ไอ้หมอนี่เมื่อก่อนยังเป็นเด็กกากที่ไม่เอาไหน เขาจะเขียนพู่กันเป็นหรือเปล่ายังไม่ต้องพูดถึง!
แค่อยากรู้ว่า เขานั้นเขียนหนังสือเป็นมั้ย?
รู้จักตัวหนังสือครบทุกตัวหรือยัง?
แต่ในเวลานี้ ท่านโจวก็มองไปทางเย่อู๋เทียน
“ประลองกันหน่อยมั้ย?”
เย่อู๋เทียนยิ้มๆ
“เอาไว้วันหลังเถอะ ที่ผมมาวันนี้ เพราะมีเรื่องขอร้องให้ช่วย”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ในใจของหยางเฟยเอ๋อร์ก็ต่อต้าน
ยังจะวันหลังอีก……..
ฉันว่านายมันกลัวความลับถูกเปิดเผยต่างหาก!
เด็กกาก!
โจวไป๋เซิงตกใจเล็กน้อย
“ศิษย์พี่มีอะไรก็พูดมาเลย ระหว่างเรา ยังจะพูดขอร้องอะไรกันอีก”
เย่อู๋เทียนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เปิดไปในอัลบั้มรูป ยื่นให้โจวไป๋เซิงดูคำสี่คำที่ฝ่าบาททิ้งไว้ในคฤหาสน์ตระกูลเย่
“ไปคัดลอกสี่ตัวอักษรนี้ ฉันต้องการให้คุณคงความวิจิตรงดงามของสี่ตัวอักษรนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด!”
โจวไป๋เซิงรับมือถือมาดู ดูไปเพียงครู่เดียว ก็เบิกตากว้าง
“สถาบันเจิ้นกั๋ว!”
“นี่………”
“นี่มันเป็นลายมือของผู้เฒ่าคนนั้น?”
เย่อู๋เทียนพยันหน้า
“ดูแล้วคุณก็คุ้นเคยกับตัวหนังสือของเขามาก ผมได้ยินมาว่า ตัวอักษร กั๋ว-ไท้-หมิง-อัน (ประเทศสงบ ประชาร่มเย็น)สี่คำนี้ที่อยู่ในห้องทำงานของเขา คุณเป็นคนเขียน คุณกับเขา ถือว่าเป็นเพื่อนด้านการเขียนตัวอักษรพู่กันจีนใช่มั้ย?”
หยางเฟยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดเหล่านี้ ถ้วยน้ำชาที่อยู่มือเกือบจะร่วงตกลงไปบนพื้น
ตะลึงไปเลย
เพราะเธอได้ยินมาว่า ชั่วชีวิตนี้ของโจวไป๋เซิง เคยคำว่า “กั๋ว-ไท้-หมิง-อัน (ประเทศสงบ ประชาร่มเย็น) แค่ใบเดียว!”
และเป็นการเขียนให้ฝ่าบาท!