จอมนักรบอหังการ - บทที่ 333 เข้าสู่โลกบู๊โดยการฆ่า เพชฌฆาตเจียง 1
จอมนักรบอหังการ บทที่ 333 เข้าสู่โลกบู๊โดยการฆ่า เพชฌฆาตเจียง! 1
ฝนยังคงตกอยู่
ภิกษุวัยกลางคนหันไปมองเย่อู๋เทียน
พอเห็นเย่อู๋เทียนอย่างชัดเจน ใบหน้าที่สงบนิ่งของเขาได้เปลี่ยนไปทันที
ในขณะเดียวกัน
จู่ๆ ชายร่างผอมที่มีจุดสีแดงปรากฏขึ้นตรงหว่างคิ้วก็ล้มลงกับพื้น
เลือดไหลออกมาจากด้านหลังท้ายทอย
ภายในชั่วพริบตา แอ่งน้ำบนพื้นก็ถูกย้อมเป็นสีแดง
แต่กลับเห็นชายหญิงอีกสามคนที่มาจากสำนักเซิ่งเหริ่นยังยืนอยู่
ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำก็ได้สะบัดกระบี่ยาวในมือ ไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งเข้าไปฆ่าเย่อู๋เทียนด้วยความเร็วสูง
แต่ในขณะที่เหยียบลงบนโคลน
ก็วาดกระบี่ออกมา
พลังกระบี่เหมือนสายรุ้งกวาดไปทั่วท้องฟ้า แยกม่านสายฝนและตัดต้นท้อทั้งสองข้างทางดินโคลนขาดสะบั้น
แต่เย่อู๋เทียนก็ไม่ได้หยุดฝีเท้า
ดูเหมือนว่าพลังกระบี่ที่รุนแรงและน่าสะพรึงกลัวในสายตาของเย่อู๋เทียนนั้น…
เป็นเพียงลมที่รุนแรงเท่านั้น
เพียงชั่วพริบตา พลังกระบี่ก็มาถึงตรงหน้าเย่อู๋เทียน
แต่พลังกระบี่นี้ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงในทันใด เกิดการหยุดลงชั่วขณะ
พอเย่อู๋เทียนก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง
พลังกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวนี้
ก็สลายหายไปแล้ว
เหมือนกลายเป็นลมพัดเย็นสบาย ไม่รุนแรงอีกต่อไป แต่ได้ผนวกรวมเข้ากับสายฝนโดยรอบอย่างอ่อนโยน
ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำมีสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย
ไม่ได้โจมตีเย่อู๋เทียนอีก
แต่หันหลังกลับและกำลังจะวิ่งหนี
แต่ในขณะที่ชายหนุ่มหันกลับมา
เย่อู๋เทียนพลันดีดนิ้ว
หยดน้ำหยดหนึ่งพุ่งออกไปกระทบหว่างคิ้วของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มล้มลงบนแอ่งน้ำบนพื้น เช่นเดียวกับชายร่างผอมเมื่อครู่นี้
โลหิต ย้อมน้ำฝนบนพื้นจนเป็นสีแดง
เย่อู๋เทียนกลับยังคงมองไปที่ภิกษุวัยกลางคนที่ยืนอยู่กลางสายฝนไม่ไกล
แต่อีกสองคนที่อยู่ข้างๆ ภิกษุวัยกลางคน
ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
ในเวลานี้ทุกคนหวาดกลัวเหมือนเจอผี
จนกระทั่งไม่ทันคิดที่จะหันหลังวิ่งหนีไป
ทั้งสองไม่คาดคิดว่าชายร่างผอมและชายหนุ่มรูปหล่อจะมาตายเช่นนี้
โดยเฉพาะผู้หญิงที่มัดผมหางม้ายาว
เธอรู้ดีว่าใครว่าชายหนุ่มรูปหล่อที่เป็นผู้นำนั้นแข็งแกร่งเพียงใด
จนถึงขนาดติดสิบอันดับแรกของสำนักเซิ่งเหริ่น!
แต่ตอนนี้…
กลับมาตายแบบนี้เหรอ?
และในขณะนี้เอง เย่อู๋เทียนได้ดีดนิ้วอีกครั้ง
ผู้ชายที่อยู่ข้างผู้หญิงล้มลงกับพื้นก่อนที่เขาจะมีโอกาสได้เคลื่อนไหวเสียอีก
หว่างคิ้วแดงเล็กน้อย
ด้านหลังศีรษะมีเลือดแดงฉาน
ผู้หญิงคนนั้นโยนกระบี่ของเธอลงบนพื้นทันที
แล้วจากนั้น
ก็คุกเข่าลงบนแอ่งน้ำด้วยความตื่นตระหนก
ไม่กล้าแม้แต่จะร้องขอความเมตตา
ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเย่อู๋เทียน
หลับตาแน่นปี๋
น้อมคำนับลงในแอ่งน้ำ
ร่างกาย
สั่นสะท้าน
เย่อู๋เทียนเดินเข้าไปถึงตัวภิกษุวัยกลางคน
ยกมือขึ้น
ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งก็เหาะลงมาจากหอคอยส่องทางไกลของป่าท้อผืนนี้ที่อยู่ไกลออกไป
คนเฝ้าสุสาน!
ก่อนหน้านี้ เย่อู๋เทียนได้จัดเตรียมผู้เฝ้าสุสานไว้ที่นี่เป็นพิเศษเพื่อเฝ้าสุสานให้กับหานหว่านเอ๋อร์
เธอมาจากหอจักรพรรดิเซียน!
เป็นผู้หญิงในชุดขาว
หญิงในชุดขาวปรากฏตัวขึ้น ประสานมือคารวะเย่อู๋เทียน
“ท่านเจ้าหอ!”
เย่อู๋เทียนพยักหน้า
ชี้ไปที่ศพชายทั้งสามบนพื้น
พลางเอ่ยเบาๆ
“วันนี้เพิ่งได้รู้ว่าแม่ของฉันเป็นคนรักความสะอาดขนาดนี้ จัดการกับศพทั้งสามนี้ อย่าให้เลือดของพวกเขาแปดเปื้อนแผ่นดินผืนนี้”
หญิงในชุดขาวตอบด้วยความเคารพ
“ค่ะ ท่านเจ้าหอ!”
เย่อู๋เทียนยังคงยิ้มให้ภิกษุวัยกลางคน
ภิกษุวัยกลางคนก็กำลังมองเย่อู๋เทียนเช่นกัน
สายตาทั้งสี่สบประสานกัน
ทั้งสองต่างพูดไม่ออก
ผ่านไปนาน ภิกษุวัยกลางคนก็พยักหน้าและเอ่ยปากด้วยความชื่นใจ
“มีลูกอย่างเย่อู๋เทียน หว่านเอ๋อร์ในโลกวิญญาณได้รับรู้ ต้องยิ้มแน่นอน!”
เย่อู๋เทียนทำท่าเชื้อเชิญ
“ผมจะเลี้ยงข้าวท่าน”
ภิกษุวัยกลางคนเหลือบมองผู้หญิงที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
“ประสกคิดจะจัดการกับเธอยังไง?”
เย่อู๋เทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ โดยไม่ได้มองผู้หญิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเลย
“ให้เธอคุกเข่าอยู่ที่นี่ไปก่อน เธอจะไม่กล้าไปจากที่นี่แม้แต่ครึ่งก้าว เว้นแต่ผมจะขอ”
ภิกษุวัยกลางคนจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
ก่อนจะไปกับเย่อู๋เทียน
เดินตามกันไป
เดินไปตามถนนเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยโคลนเพื่อออกจากป่าท้อผืนนี้
สองลุงหลาน
เดินมาถึงบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่บนเชิงเขา
เย่อู๋เทียนเดินเข้าไปในครัวและทำบะหมี่เจสองชาม โดยใส่เพียงเกลือเล็กน้อยและต้นหอมซอย
หลังน้ำเดือด ก็นำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ
ในเวลานี้ภิกษุวัยกลางคนได้เปิดน้ำเต้าของเขาอีกครั้ง
วางไว้ระหว่างชามบะหมี่สองชาม
หลังจากที่ภิกษุวัยกลางคนนั่งลงแล้ว ก็ก้มลงและยกมือขึ้นเพื่อเป่าลมร้อนบนชาม
กลิ่นหอมของบะหมี่โชยแตะจมูก
ภิกษุวัยกลางคนยิ้มด้วยความพอใจ
“ประสกเรียนทำบะหมี่มาจากใคร? อร่อยมาก”
เย่อู๋เทียนก็ยิ้มเช่นกัน
“เรียนด้วยตัวเอง”
เย่อู๋เทียนพูดพลางหยิบน้ำเต้าที่อยู่ระหว่างชามบะหมี่ แล้วเทลงไปชามบะหมี่เล็กน้อย
ภิกษุวัยกลางคนเห็นเย่อู๋เทียนกำลังจะกินบะหมี่ด้วยวิธีนี้
ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอีก
“บะหมี่ดีๆ เสียของหมด ไม่ได้กินกันแบบนี้!”
เย่อู๋เทียนหัวเราะ
“มันมีข้อดีไปคนละแบบ”
ภิกษุวัยกลางคนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเทเหล้าลงในชามของเขาเล็กน้อยบ้าง
แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกเสียใจ
“อาตมาควรจะกินรสดั้งเดิมก่อน แต่ตอนนี้ กลับถูกเด็กอย่างประสกชักจูงให้ไขว้เขว!”
เย่อู๋เทียนแนะนำ
“เดี๋ยวผมจะทำให้ท่านอีกชาม”
ภิกษุวัยกลางคนจึงพอใจ
หลังจากนั้น…
ทั้งสองเริ่มกินบะหมี่
หลังจากกินบะหมี่สองชามไปครึ่งหนึ่งแล้ว ภิกษุวัยกลางคนก็อดเงยหน้าขึ้นมองเย่อู๋เทียนไม่ได้
“ประสกไม่มีอะไรจะถามหรือ?”
เย่อู๋เทียนหัวเราะเบาๆ
“วันนี้ที่มาที่นี่เดิมทีจะขอรบกวนแม่นิดหน่อย เอาเส้นผมออกมาจากหลุมฝังศพของเธอ นำไปที่โรงพยาบาลเพื่อพิสูจน์ความเป็นแม่ลูกของเรา แต่ภายหลังเกิดเปลี่ยนใจ แม่ยังไงก็คือแม่ ไม่ว่าแม่จะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม ยังไงก็คือแม่”
เมื่อภิกษุวัยกลางคนได้ยินดังนั้น
ก็รู้สึกชาตั้งแต่หัวจรดเท้า
แสบจมูก
น้ำตา
คลอเบ้าอย่างควบคุมไม่ได้
ภิกษุวัยกลางคนคีบเส้นบะหมี่ขึ้นมา แล้วกินเข้าไป
ทั้งเผ็ดและมีกลิ่นหอม
เขากินบะหมี่พลางยิ้มอย่างขมขื่น
“ให้ตายสิ! คิดมาตลอดว่าตัดขาดจากตัณหาโดยสิ้นเชิงแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความสัมพันธ์นั้นยากที่จะตัดขาด!”
จู่ๆ เย่อู๋เทียนก็เอ่ยขึ้น
“ตอนผมเด็กๆ เคยเห็นท่านที่ร้านอาหารในตี้ตูชื่อกงเต๋อไจ ตอนนั้นคุณยืนอยู่ตรงหัวมุมระหว่างชั้นสองกับชั้นหนึ่ง ตอนนั้นยังรู้สึกแปลกๆ ด้วยซ้ำ เหตุใดคนที่นุ่งห่มจีวรถึงได้ถือดาบ?”
ภิกษุวัยกลางคนสูดหายใจเข้าลึกๆ และอธิบาย
“แม่ของประสกชอบซุปเต้าหู้ที่อาตมาทำตอนที่เธอยังเด็ก ทุกครั้งก่อนจะดื่ม เธอขอให้อาตมาแสดงทักษะการใช้ดาบต่อหน้าเธอ ดังนั้นจึงคิดจะถือดาบถือเต้าหู้ไป แต่สุดท้ายก็ไม่อยากลงไปข้างล่าง”
เย่อู๋เทียนถามขึ้น
“แม่ของผมตายยังไง?”