จอมนักรบอหังการ - บทที่ 38 ลูกเมียน้อยไร้มารยาท!
จอมนักรบอหังการ บทที่ 38 ลูกเมียน้อยไร้มารยาท!
นกอินทรีเผือกกางปีก ความยาวเกือบสิบเมตร
ราวกับนกอินทรีกำลังทะยานจากท้องฟ้าลงมาสู่พื้นดิน
นอกจากเย่อู๋เทียน
คนที่เหลือ ต่างก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
ในบรรดานกอินทรี ทำไมถึงได้มีนกยักษ์แบบนี้?
โดยเฉพาะเหวินเติงเจิน
เมื่อเห็นนกยักษ์ยิ่งอยู่ยิ่งใกล้เข้ามา เขาก็ตกใจมากจนเดินโซเซถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วล้มลงกับพื้น
ตกใจจนพูดเป็นภาษาบ้าน
“เหี้ย นี่มันอะหยาง?“
โจวไป๋เซิงนั้นตกใจจนหน้าซีดเผือด นิ่งงันเป็นไก่ไม้
ฉู่เหวินเต้ารีบปกป้องโจวไป๋เซิง กางแขนออกทั้งสองข้าง หน้าตากลัวจนดูไม่ได้
หลับตาสองข้าง ท่าทางเหมือนจะสู้ด้วยความตาย!
หยางเฟยเอ๋อร์กลัวจนเข้าไปหลบใต้โต๊ะ
พูดอย่างหวาดกลัว
“เย่อู๋เทียน! หลบสิ! รีบหลบเข้ามาสิไอ้งั่ง!”
เย่อู๋เทียนยังคงยืนและเอามือไขว้ไว้ที่หลัง
ยิ้มและมองไปทางนกอินทรีเผือกที่บินเข้ามา
วินาทีถัดมา นกอินทรีเผือกก็มาสยบอยู่ตรงข้างเท้าของเย่อู๋เทียน แววตาที่แหลมคม มองไปยังห้าตัวอักษรที่เย่อู่เทียนเขียนเมื่อกี้โดยไม่กะพริบตา
เผิง-เฉิง-จิ่ว-หว่าน-หลี่(อนาคตก้าวไกล)!
เย่อู๋เทียนยกมือขึ้นมาลูบหัวของนกอินทรีเผือก
“แกทำให้คนตกใจกลัวแล้ว”
เหวินเติงเจินและคนอื่นๆถึงได้เข้าใจ
ที่แท้ นกอินทรียักษ์ตัวนี้ มาเพราะเย่อู๋เทียน
แต่ เหวินเติงเจินยังไม่กล้าแสดงท่าทีอะไร
ยังมีหยางเฟยเอ๋อร์
ยังคงหลบอยู่ใต้โต๊ะ
ร่างกายกำลังสั่นเทา
หากพูดให้น่าเกลียดหน่อย กลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว
ราวกับว่าใช้แรงที่มีทั้งหมด ถึงจะสามารถคลานออกมาจากใต้โต๊ะ
น่าอนาถถึงขีดสุด
แล้วมองโจวไป๋เซิง ฉู่เหวินเต้า อาจารย์กับลูกศิษย์
โจวไป๋เซิงที่รู้ว่านกอินทรีตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงของศิษย์พี่……..
ยกมือขึ้นมาตบบ่าของฉู่เหวินเต้าเบาๆ
แกล้งทำเหมือนไม่เป็นอะไร
“นี่มันอะไรกัน? อาจารย์อย่างฉันเป็นคนที่ไม่มีความหนักแน่นแบบนั้นเหรอ?”
เหวินเติงเจินที่อยู่ไม่ไกลใบหน้ากระตุกไปหนึ่งที
อยากแทรกแผ่นดินหนีไปทันที
โจวไป๋เซิงรวบรวมความกล้า เข้าไปใกล้เย่อู๋เทียน
“ศิษย์พี่ นกอินทรีตัวนี้ มันคือพันธุ์อะไร? ทำไมถึงตัวใหญ่ยักษ์ขนาดนี้?”
เย่อู๋เทียน อธิบายอย่างเรียบเฉย
“เป็นหนึ่งในนกที่ผิดปกติไม่กี่ตัวบนโลกนี้”
“ตอนนั้นฉันพบเจอนกอินทรีคู่หนึ่งในดินแดนที่เหน็บหนาวมาก นกอินทรีตัวผู้อยู่กับฉัน และนกอินทรีตัวเมียอีกตัวอยู่หวางเอ๋อร์
โจวไป๋เซิงมึนงง ไม่รู้ว่าหวางเอ๋อร์ ที่เย่อู๋เทียนพูดถึงคือใคร!
เหวินเตงเจินได้ยินคำว่าหวางเอ๋อร์สองคำนี้ หนังตาก็กระตุกอย่างแรง เขาซึ่งเป็นอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิของประเทศหลง จะไม่รู้ว่าหวางเอ๋อร์คือใครเชียวเหรอ?
จอมพลอันดับสองของหนึ่งในร้อยจอมพลของประเทศหลง
โล่หวาง!
เป็นคนโปรดของฝ่าบาท
เหมือนจะเป็นลูกศิษย์ของเย่อู๋เทียน
ในเวลานี้ เฝ้ารักษาดินแดนอยู่ทางเหนือของประเทศหลง ซึ่งเป็นสถานที่เหน็บหนาวข้นแค้น!
เย่อู๋เทียน ก็ได้ลูบหัวของนกอินทรีเผือกอีกครั้ง
“ไปเถอะ”
นกอินทรีเผือกมีความอาลัยอาวรณ์ แต่ก็ยังขยับตัวออกไปไม่ไกล กลางปีกแล้วบินออกไป
ภาพนี้ ทำให้ทุกคนตะลึงไปอีกครั้ง!
ด้วยขนาดของนกอินทรีเผือกแบบนี้ เมื่อมันเริ่มออกตัวกลับไม่ได้ใช้แรงเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีท่าทางที่อืดอาดเลย
เหวินเติงเจินและคนอื่นๆมองดูนกอินทรีเผือกบินออกไป ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เป็นเวลานาน
ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงได้สติกลับคืนมา
สายตาของเหวินเติงเจินได้ไปหยุดอยู่บนห้าตัวอักษรที่อยู่บนโต๊ะอีกครั้ง
“เผิง-เฉิง-จิ่ว-หว่าน-หลี่ (อนาคตก้าวไกล)!”
“คงไม่ใช่ เพราะตัวอักษรเผิงตัวนี้ ดึงดูดเจ้านกอินทรียักษ์ตัวนี้มานะ?”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เหวินเตงเจินก็มองเย่อู๋เทียนในทันที
“อาจารย์ เอาอักษรใบนี้ของคุณ มอบให้กับฉันได้มั้ย?”
เย่อู๋เทียนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
โจวไป๋เซิงก็เอ่ยปากพูดขึ้น
“ท่านเหวิน แม้ว่าคุณจะเรียกฉันว่าอาจารย์อา แม้จะเป็นการพูดทีเล่นทีจริง แต่อักษรใบนี้ คุณไม่ควรแย่กับผู้อาวุโสอย่างฉัน!”
“……”
เหวินเติงเจินหน้าหมองไปทันที
เย่อู๋เทียนกลับพูดสรุปในทันที
“ก่อนหน้านี้ก็ได้คุยกันแล้ว อักษรใบนี้ เขียนให้หยางเฟยเอ๋อร์ หากพวกคุณต้องการ ก็ต้องถามความเห็นของเธอก่อน!”
เหวินเติงเจินก็ได้เอาตราประทับของเขาประทับลงไปบนขอบกระดาษของห้าตัวอักษรโดยตรง
“เป็นของฉันแล้ว!”
โจวไป๋เซิงก็ไม่ยอมเหมือนกัน
หยิบตราประทับออกมา ก็ประทับลงบนกระดาษโดยตรง จากนั้นหันไปทางหยางเฟยเอ๋อร์
“ศิษย์น้องหยาง ฉันยินดีเอาของสะสมที่อยู่ในสำนักอักษรทั้งหมด เพื่อแลกกับอักษรใบนี้อของศิษย์พี่!”
หัวใจของหยางเฟยเอ๋อร์เต้นอย่างระทึก
ของสะสมทั้งหมดที่อยู่ในสถานสอนเขียนพู่กันจีนโจวจวิน
ว่ากันว่าห้องหนังสือของท่านโจวมีงานจริงที่ถูกเขียนขึ้นโดยนักเขียนปรมาจารย์อยู่หนึ่งใบ!
แค่ใบนั้นใบเดียว ราคาก็สูงคับฟ้า!
ยิ่งไปกว่านั้น ห้องหนังสือของท่านโจวยังมีภาพวาดทั้งสมัยโบราณสมัยใหม่ตั้งมากมาย แค่ส่มหยิบออกมาหนึ่งชิ้น ทุกชิ้นล้วนเป็นของที่หายาก!
ก็เพราะเหตุนี้ โจวไป๋เซิงที่อยู่ในประเทศหลงถึงได้มีอีกหนึ่งสมญานาม ชื่อโจวป้านเฉิน(โจวครึ่งเมือง)!
เพราะว่าของสะสมทั้งหมดที่โจวไป๋เซิงที่สะสมไว้ เพียงพอที่จะซื้อเมืองได้ครึ่งเมืองแล้ว!
ตอนนี้ โจวไป๋เซิงเพียงเพราะต้องการอักษรใบนี้ของเย่อู๋เทียน จะเอาของสะสมทั้งหมดของเขาให้กับตัวเอง?
หยางเฟยเอ๋อจะเป็นลมแล้วจริงๆ
แต่วินาทีต่อมา หยางเฟยเอ๋อร์ก็ได้เก็บอักษรที่เย่อู๋เทียนเขียนอย่างรวดเร็ว
“ไม่ขายให้ใครทั้งนั้น มันเป็นของที่พี่ชายฉันเขียนให้ฉัน!”
ตอนนี้ ไม่ว่าตัวอักษรห้าตัวที่เย่อู๋เทียนเขียนนั้นจะมีค่าแค่ไหน
แค่บนกระดาษที่มีตราประทับของเหวินเติงเจินกับโจวไป๋เซง มันมีแค่หนึ่งเดียวในโลก!
หากเอามันไปประมูล ไม่กล้าจะคิดถึงราคาของมันเลย!
หยางเฟยเอ๋อร์ไม่เพียงแต่เก็บตัวอักษรที่เย่อู๋เทียนเขียน ยังได้เก็บของท่านเหวิน และของท่านโจวอีกด้วย
แค่คำเดียว
รับปากแล้ว ก็ต้องให้มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะอายทำไม?
หยางเฟยเอ๋อร์เก็บตัวอักษรทั้งสามใบแล้ว ก็ถามเย่อู๋เทียนอย่างเขินอาย
“พี่เทียน หากไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อน”
“อ่อ อาทิตย์หน้ามีงานสังสรรค์ของเพื่อนสมัยเรียน นายต้องมาร่วมให้ได้นะ นายไม่อยู่ตั้งเจ็ดปี เพื่อนๆต่างก็คิดถึงนายมาก!” แค่มองแวบเดียวเย่อู๋เทียนก็มองทะลุปรุโปร่งถึงความคิดของหยางเฟยเอ๋อร์แล้ว จึงยิ้มเล็กน้อย
“งานสังสรรค์ ฉันจะไป แต่วันเรื่องในวันนี้ ห้ามให้คนอื่นรู้”
“อีกอย่าง วันนี้ที่ฉันช่วยเธอ พูดให้ดีหน่อย เพราะเมื่อก่อนเธอเคยแอบช่วยฉันเขียนการบ้าน บุญคุณนี้ ถือว่าฉันได้ชดใช้แล้ว”
หยางเฟยเอ๋อร์ก็เอ๋อไปในทันที
เย่อู๋เทียน……
ทำไมถึงรู้ว่าตอนนั้นตัวเองช่วยเขาทำการบ้าน?
หยางเฟยเอ๋อร์จากไปโดยไม่ทันที่จะคิด
ช่วยไม่ได้
อักษรทั้งสามใบตกอยู่ในมือเธอแล้ว เรื่องยิ่งน้อยยิ่งดี
อีกฝั่งหนึ่ง ห้องครัวตระกูลเย่
เสิ่นจูนอี๋ลงมาทำอาหารด้วยตัวเอง เพื่อเตรียมกับแก้ม
อารมณ์ยังคงไม่ดี ยังคงกังวลกับสถานการณ์ของตัวเองในอนาคต
ด้านหน้ามีเย่อู๋เทียน ด้านหลังมีเย่จื่อหลง
ทั้งสองคนต่างก็เหมือนหมาป่าและเสื้อ ไม่ได้มีเจตนาดีต่อเธอเลย ตัวเองควรจะยืนอยู่ฝั่งไหน?
แต่ในเวลานี้ เสิ่นจูนอี๋ก็ได้รับข้อความ
เย่จื่อหลงเป็นคนส่งมา
เป็นรายชื่อฉบับหนึ่ง
หลังจากที่เสิ่นจูนอี๋ดูจบแล้ว ก็ช็อกอย่างมาก
ทุกคนที่อยู่ในรายชื่อ ล้วนเป็นบุคคลสำคัญระดับโลทั้งหมดเพราะให้เกียรติเย่จื่อหลง ต่างก็มาร่วมงานฝังศพของเย่จินหลิงในเมืองเจียงไห่
เย่จื่อหลิง น่ากลัวถึงขนาดไหนกันแน่?
ขณะที่คิด เสิ่นจูนอี๋ก็ได้รับสายที่เย่จื่อหลงโทรเข้ามา
ปลายสายดังขึ้นด้วยเสียงหัวเราะของเย่จื่อหลง
“เห็นรายชื่อหรือยัง?”
เสิ่นจูนอี๋ประหม่าจนต้องกลืนน้ำลาย
“เห็นแล้ว”
เย่จื่อหลงยิ้มเยาะ
“ฉันคิดไปคิดมา เย่อู๋เทียนนั้น อย่างไรเสียเขาก็คือลูกชายคนโตของเย่จินหลิง ฉันน่ะ ในสายตาคนอื่น มันก็แค่ลูกเมียน้อย!”
“เหมือนจะไม่คู่ควรเป็นคนรับมรดก!”
“ดังนั้น ฉันจะตีมันให้ตายต่อหน้าแขกทั้งหมด!”
เสิ่นจูนอี๋หรี่ตาลง
“เย่อู๋เทียนนั้น เป็นถึงนักบูโดอัจฉริยะ!”
เย่จื่อหลงยิ้มเยาะ
“อย่างมันไม่นับเป็นนักบูโดอัจฉริยะหรอก เมื่อสามปีก่อน ฉันก็สำเร็จถึงขั้นพลังแปลง เธอรู้มั้ยว่าพลังแปลงหมายถึงอะไร?”
“ฮ่าๆ เธอไม่รู้!”
อยู่ๆเสิ่นจูนอี๋ก็คิดคำพูดตอนหนึ่งของเย่อู๋เทียนกับฉีหยูนเซินก่อนที่เย่จินหลิงจะเสียชีวิต
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นจูนอี๋ก็พูดอย่างลองเชิงไปหนึ่งประโยค
“ฉันนั้นไม่รู้เรื่องบูโดจริง แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าขีดจำกัดของพลังตันอยู่แดนไหน?”