จอมนักรบอหังการ - บทที่ 9 เสิ่นรั่วชิง เสิ่นจูนอี๋
จอมนักรบอหังการ บทที่ 9 เสิ่นรั่วชิง เสิ่นจูนอี๋!
เวลาที่ยาวนานกว่าเจ็ดปี แม้ว่าหญิงสาวบนเตียงผู้ป่วยจะสลบไม่ได้สติก็ตาม แต่กลับรับรู้เรื่องราวและสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวทั้งหมด
ในทุกเทศกาลวันสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเฉินโล่หัว หรือว่าเฉินเหวินจิ้ง ต่างก็จะมาพูดคุยกับเธอ
โดยเมื่อเย่จูนหลินเติบโตขึ้นและสามารถรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้ ก็จะมาอยู่ที่ข้างเตียง เพื่อพูดคุยกับเธอด้วยเช่นกัน
แต่เสียงที่เธอต้องการได้ยินนั้น กลับเป็นเสียงของผู้ชายเมื่อเจ็ดปีก่อนที่เคยทำให้เธอควบคุมความรู้สึกและอารมณ์ของเธอไม่ได้ เลยตัดสินใจยอมพลีกายให้กับเขา
ผู้ชายคนนั้น ก็คือเย่อู๋เทียน!
วันนี้ เมื่อเธอตื่นขึ้นมา ก็พบเจอกับสามีเลย
อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด วนเวียนอยู่รอบหัวจิตหัวใจ
มีคำรักนับร้อยพัน ที่พูดออกมาไม่ได้
กลัว!
กลัวว่าคือความฝัน
กลัว!
กลัวว่าเมื่อเขารู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะจากเธอไป
ชื่อที่แท้จริงของเธอนั้น คือเสิ่นรั่วชิง ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเสิ่นจูนอี๋
พ่อแม่ของเธอนั้นไม่มีอำนาจบทบาทในตระกูลเสิ่น เมื่อเธอเกิดมาได้ไม่นาน ก็ถูกคนร้ายลักพาตัวไป กลายเป็นเด็กเร่ร่อน จนเมื่ออายุสิบห้าปี ถึงถูกตระกูลเสิ่นพบเจอตัว และเมื่อพากลับมาถึงตระกูลเสิ่นก็รับทราบว่าพ่อแม่ของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชนแล้ว
ในตอนนั้น เสิ่นรั่วชิงเสมือนเป็นหญิงอาภัพ เมื่อเข้ามาสู่ตระกูลเสิ่น ก็ถูกให้ไปเป็นหญิงรับใช้
เสิ่นจูนอี๋ดูถูกหมางเมินเย่อู๋เทียนมาตั้งแต่เด็ก เพียงเพราะการหมั้นหมายในอดีต จึงต้องจำยอมใช้ชีวิตร่วมกันกับเย่อู๋เทียน
ในสายตาของเสิ่นจูนอี๋ เย่อู๋เทียนนั้น ก็เป็นเพียงแค่คนโง่เง่าที่หลงใหลในวิชาบู๊คนหนึ่ง
สามีในอนาคตของเธอนั้น มิอาจเป็นคนโง่เง่าที่ไร้สมองไร้ความคิด มีแต่ร่างกายที่แข็งแกร่งแน่ ครั้นแล้วจึงได้ให้เสิ่นรั่วชิงที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอปลอมตัวเป็นเธอ และปรากฏอยู่เคียงข้างของเย่อู๋เทียน
เสิ่นรั่วชิงที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยนั้นถึงแม้ว่าจะปกปิดเรื่องราวมากมายต่อเย่อู๋เทียน แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นว่าหลอกลวง
หากตอนเด็กไม่ได้ประสบกับอุปสรรคความทุกข์ยากมากมาย อันที่จริงเธอก็คงจะเป็นภรรยาของเย่อู๋เทียนในตอนที่เติบโตขึ้นอย่างถูกต้องเปิดเผย
สถานะดังกล่าวนี้ เธอเหมาะสมคู่ควรอย่างที่สุด!
เปรียบได้ว่า พรหมลิขิตของทั้งสองคนนั้นได้กำหนดเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว
เพียงแค่เรื่องที่ดีย่อมจะประสบกับอุปสรรคปัญหาอยู่เสมอ
คิดที่จะตัดขาดความรักความผูกพันธ์ แต่ก็เป็นเรื่องที่กระทำได้ยากมากเหลือเกิน
ทั้งสองคนจ้องสบตากัน เย่อู๋เทียนเองก็มีสภาพจิตใจที่ซับซ้อน ผ่านไปสักครู่ จึงถามขึ้นว่า: “คุณชื่ออะไรเหรอ? ”
เสิ่นรั่วชิงอยากที่จะพูดตอบออกมา
แต่เป็นเพราะสลบไปนานเจ็ดปี เพิ่งจะฟื้นตัวขึ้น จึงมีภาวะแทรกซ้อนทางสมองเลยพูดไม่ได้
แม้ว่าเสิ่นรั่วชิงจะพูดตอบออกมาไม่ได้ แต่กลับรู้สึกว่าที่ปากของตัวเองเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด จึงพบว่า ตัวเองนั้นได้กัดแขนของเย่อู๋เทียนจนเกิดรอยแผล
เมื่อเห็นรอยกัดที่น่าตกใจบนแขนของเย่อู๋เทียนแล้ว
เสิ่นรั่วชิง ก็น้ำตาไหลพราก
ยกมือขึ้นไปลูบคลำบริเวณรอบข้างรอยแผลของเย่อู๋เทียน
ด้วยความเจ็บปวดใจ
เมื่อเฉินโล่หัวและเฉินเหวินจิ้งเห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้ว ก็อดที่จะตื่นเต้นดีใจไม่ได้
“ฟื้นแล้ว! ”
“คิดไม่ถึงว่า……หล่อนจะได้สติฟื้นขึ้นมาจริง ๆ ด้วย! ”
เฉินโล่หัวรีบเดินเข้ามาหา เพื่อตรวจจับชัพจรของเสิ่นรั่วชิง
นอกจากหัวใจที่เต้นแรงแล้วนั้น สภาพอาการอย่างอื่นก็ไม่ต่างกันกับคนปกติทั่วไป!
นี่ถือว่าเป็นปาฏิหารย์ทางการแพทย์โดยสิ้นเชิง!
ทำให้ทุกคนยากที่จะจินตนาการคาดเดาได้!
เฉินเหวินจิ้งมิอาจทนมองรอยแผลของเย่อู๋เทียนต่อไปได้ จึงพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นเทาว่า: “ฉันจะช่วยพันแผลให้นายนะ”
เย่อู๋เทียนเหมือนกับว่าไม่ได้ยินที่เฉินเหวินจิ้งพูด เขายังคงมองไปที่เสิ่นรั่วชิงอย่างไม่กระพริบตา และพูดขึ้นว่า: “คุณชื่ออะไรเหรอ? ”
เสิ่นรั่วชิงยกมือขึ้นมาลูบคลำไปที่ใบหน้าของเย่อู๋เทียน
แม้ว่าจะพูดไม่ได้
แต่ ทุกอย่างอธิบายได้ด้วยตัวของมันเอง
เฉินเหวินจิ้งมองไปที่เสิ่นรั่วชิง ถอนหายใจ และพูดกับเย่อู๋เทียนว่า: “หล่อนชื่อว่าเสิ่นรั่วชิง เป็นลูกพี่ลูกน้องของเสิ่นจูนอี๋ โดยคนที่อยู่ร่วมกันกับนายมาตลอดเมื่อเจ็ดปีก่อนหน้านี้นั้น ก็คือหล่อนนั่นเอง”
เย่อู๋เทียนจิตใจหวั่นไหว แทบจะหลั่งน้ำตา แล้วก็หันมองไปยังเย่จูนหลินที่กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟา และพูดถามขึ้นว่า: “อย่างนั้นเขา……”
เฉินเหวินจิ้งพูดว่า: “ลูกชายของเสิ่นรั่วชิง ไม่รู้ว่ามีความสัมพันธ์อะไรกับนายหรือไม่”
ขณะที่เย่อู๋เทียนกำลังจะพูด เสิ่นรั่วชิงที่อยู่ยนเตียงผู้ป่วยนั้นก็พลันมองไปที่เย่จูนหลิน แล้วก็ลุกขึ้นนั่ง เพื่อจะไปมองดูให้แน่ชัด
เย่อู๋เทียนไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด
เสิ่นรั่วชิงลงมาจากเตียงอย่างทุลักทุเล เดินโซเซไปโซเซมา จนมาถึงด้านข้างของเย่จูนหลิน
เมื่อเห็นเย่จูนหลินนอนหลับสนิท เสิ่นรั่วชิงก็แสดงสีหน้าท่าทางตกใจ
เย่อู๋เทียนเดินเข้าไปหาและบอกว่า: “กำลังนอนหลับอยู่”
เสิ่นรั่วชิงร่างกายสั่นเทา แล้วก็โอบอุ้มเย่จูนหลินขึ้นในอ้อมอก และร้องไห้สะอึกสะอื้น
ทั้งตื่นเต้นดีใจ และก็เศร้าโศกเสียใจ!
ในฐานะที่เป็นแม่ หลังจากที่ได้ให้กำเนิดลูกของตัวเองแล้ว ก็ยังไม่เคยพบเจอกันมาเลยกว่าเจ็ดปี แม้แต่จะให้น้ำนมแม่ก็ยังไม่เคยเลยด้วยซ้ำ
รู้สึกผิดและละอายใจอย่างที่สุด!
เสิ่นรั่วชิงโอบอุ้มเย่จูนหลิน ส่งเสียงอ้อแอ้อ้อแอ้ แต่ก็ยังคงยากที่จะพูดอะไรออกมาได้
ราวกับแม่ผู้เป็นใบ้
เฉินเหวินจิ้งมองไปที่เฉินโล่หัวด้วยความสงสัย และถามขึ้นอย่างสงสัยว่า: “นี่คือ……โรคแทรกซ้อนจนทำให้พูดไม่ได้เหรอ? ”
เฉินโล่หัวพยักหน้า
เย่อู๋เทียนพยายามที่จะควบคุมยับยั้งความตื่นเต้นดีใจ และพูดขึ้นว่า: “ภรรยาของฉันยังไม่สามารถทำใจปล่อยวางได้ ผ่านไปสักระยะก็คงจะดีขึ้นแล้ว”
ภรรยาของฉัน?
เสิ่นรั่วชิงได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็หวั่นไหว ไม่กล้ามองไปที่เย่อู๋เทียน
เฉินเหวินจิ้งเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
ยังไงก็คิดไม่ถึงว่า เย่อู๋เทียนจะยอมรับเสิ่นรั่วชิงเป็นภรรยา
แต่เมื่อนึกย้อนคิดดูแล้ว ก็เข้าใจได้
ถ้าไม่ใช่เพราะชะตากรรมที่อับโชคของเสิ่นรั่วชิง หล่อนก็คงจะเป็นภรรยาของเย่อู๋เทียนไม่ใช่เหรอ?
เฉินโล่หัวคือผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน เมื่อเห็นเย่อู๋เทียนกับเสิ่นรั่วชิงอยู่ด้วยกัน จึงรีบกวักมือเรียกเฉินเหวินจิ้ง และพูดว่า: “พวกเราออกไปกันก่อนเถอะ ปล่อยให้พวกเขาทั้งสามคนพ่อแม่ลูกได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง”
เฉินเหวินจิ้งพูดขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า: “แล้วบาดแผลของเย่อู๋เทียนล่ะ……”
เฉินโล่หัวจึงมองไปที่เย่อู๋เทียนด้วยสีหน้าท่าทางที่ซับซ้อน
เพราะเมื่อครู่นั้นเธอพบว่า บาดแผลที่บริเวณข้อมือของเย่อู๋เทียนนั้น เลือดกำลังแข็งตัวอย่างค่อนข้างเร็วทีเดียว
กลไกการแข็งตัวของเลือดของชายคนนี้ เหมือนว่าจะรวดเร็วกว่าคนธรรมดาทั่วไปเป็นสิบเท่า
ช่างทำให้ฉันรับรู้และเข้าใจเรื่องราวอะไรใหม่ ๆ อีกมากมายเลย!
เฉินเหวินจิ้งเองก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าบาดแผลที่ข้อมือของเย่อู๋เทียนนั้นเกิดสะเก็ดขึ้นแล้ว ก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ
แต่ว่า ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก และรีบออกไปจากห้องผู้ป่วยทันที
ในขณะเดียวกันนั้น
ผู้หญิงที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกันกับเสิ่นรั่วชิง ก็ได้เดินเข้ามาในห้องโถงชั้นหนึ่งของโรงพยาบาลด้วยสีหน้าท่าทางเย็นชา
นั่นก็คือเสิ่นจูนอี๋
เมื่อเทียบกับเจ็ดปีก่อนหน้านี้ เวลานี้เธอได้กลายเป็นหญิงสาวที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มขั้นแล้ว
ท่าทางสุภาพและหรูหรา สง่างามอย่างที่สุด
และยังดูดีมีเสห่น์กว่าเมื่อก่อน รวมถึงยังมีความหยิ่งทะนงมากขึ้นอีกด้วย
เธอมัดรวบผมทรงสูง แต่งหน้าอย่างสวยงาม สวมใส่ชุดเสื้อผ้าที่หรูหรา น่องขาที่เรียวยาวและผุดผ่อง สวมใส่ถุงน่องสีเนื้อที่บางเบา และสวมใส่รองเท้าส้นสูงสีดำรุ่นลิมิเต็ดของทั่วโลก
บริเวณจุดที่เดินผ่านนั้น ฝูงชนพากันจ้องมองดูด้วยความชื่นชมยกย่อง
เกิดเสียงเกียวกราวฮือฮากันไปทั้งหมด
เธอมาที่โรงพยาบาล ไม่ใช่เพราะเรื่องอื่นใด แต่เป็นเพราะเย่อู๋เทียนคนเดียวเท่านั้น
เย่อู๋เทียนได้ทำร้ายเสิ่นเฟยยู่จนบาดเจ็บในปราสาทตระกูลเย่ และยังทำให้เย่จินหลิงโมโหจนถึงกับกระอักเลือดและสลบลงไป ซึ่งช่างสมควรตายยิ่งนัก
เสิ่นจูนอี๋คาดการณ์ว่า
เย่อู๋เทียนจะต้องมาที่โรงพยาบาลเพื่อหาเสิ่นรั่วชิง
ไอ้คนชั่วที่สมควรตายนี้ คิดไม่ถึงว่าเมื่อเจ็ดปีก่อนยังจะไม่ตายไปอีก!
แต่ว่า ก็ไม่เป็นไร
ในคืนนี้ มีปู่หูอยู่ทั้งคน
ไอ้คนชั่วนี้จะต้องเป็นเฉกเช่นเดียวกันกับหญิงชั่วช้าอย่างเสิ่นรั่วชิง ที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ในสภาพตายทั้งเป็น!
แต่ขณะที่เสิ่นจูนอี๋กำลังเดินเข้ามาในห้องโถงโรงพยาบาลนั้น ก็ต้องตกใจถึงกับเบิกตาโพลงต่อเหตุการณ์ที่พบเห็นอยู่เบื้องหน้า
ปู่หูคือคนที่เธอสั่งให้มาขโมยเครื่องมือการแพทย์จากโรงพยาบาลแห่งนี้
เวลานี้ ปู่หูที่ยิ่งใหญ่ไม่เป็นสองรองใครในเมืองเจียงไห่ กลับถูกชายในชุดทหารคนหนึ่งหิ้วตัวออกมาอย่างกับสุนัข
นี่มัน…..
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ชายที่หิ้วตัวของปู่หูออกมานั้น คือเผยจื่อตง
เสิ่นจูนอี๋มองเห็นใบหน้าท่าทางที่ชัดเจนของเผยจื่อตงแล้ว ก็เต็มไปด้วยความสงสัย แต่ไม่รู้ว่าคิดอย่างไร จึงได้รีบเดินเข้าไปถามว่า: “คุณคือ……คุณชายใหญ่ตระกูลเผย เผยจื่อตงใช่ไหม? ”
เผยจื่อตงมองไปที่เสิ่นจูนอี๋อย่างเฉยชา และถามขึ้นว่า: “คุณเป็นใครกัน? ”
เสิ่นจูนอี๋ทำเป็นเล่นลูกไม้ หัวเราะและพูดขึ้นว่า: “ฉันเหรอ เสิ่นจูนอี๋ไง ตอนที่คุณยังเล็กฉันยังเคยอุ้มคุณอยู่เลย ได้ยินว่าตอนนี้คุณมีชื่อเป็นหนึ่งในหนึ่งร้อยยอดจอมพลทหารแห่งประเทศหลงแล้ว อีกทั้งยังเป็นจอมพลที่มีอายุน้อยที่สุดแห่งประเทศหลงอีกด้วย คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่า จะเป็นความจริง! ”
เผยจื่อตงไม่ได้พูดอะไร
เสิ่นจูนอี๋จึงมองไปที่ปู่หูในมือของเผยจื่อตงอีกครั้ง ยิ้มอย่างแข็งทื่อและพูดขึ้นว่า: “จื่อตง ฉันว่า เรื่องนี้เกิดความเข้าใจผิดอะไรกันหรือเปล่า? คุณหูผู้นี้ เป็นลูกน้องของเย่จินหลิงสามีของฉันเอง คุณให้เกียรติกับฉันหน่อย ปล่อยตัวเขาก่อนเถอะนะ”
เผยจื่อตงยิ้มเยาะขึ้นบริเวณมุมปาก
ปู่หูทนไม่ไหวจึงเงยหน้าขึ้นมองไปที่เสิ่นจูนอี๋ และพูดขึ้นด้วยความหวาดกลัวว่า: “รีบ รีบขึ้นไปยอมรับผิดที่ชั้นบนเดี๋ยวนี้ เผยจื่อตงผู้นี้ เป็นเพียงแค่ทหารนายหนึ่งภายใต้เย่อู๋เทียนเท่านั้น เย่อู๋เทียน เย่อู๋เทียนกลับมาแล้ว! ”