จอมนักรบอหังการ - บทที่236 เปลี่ยนหน้าเป็น “ฉีเซิงหยาง” !
จอมนักรบอหังการ บทที่236 เปลี่ยนหน้าเป็น “ฉีเซิงหยาง” !
“สวัสดีครับคุณเย่ ฉันเป็นแม่ของกัวเสี่ยวอี้ เสี่ยวอี้ของฉันกับจูนหลินของบ้านท่านเคย นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันเลย!”
“สวัสดีครับคุณเย่ ผมเป็นพ่อของกัวเสี่ยวอี้ ก่อนนั้นผมเคยปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกองทัพ เคย….เคยเห็นท่านอยู่ครับ!”
“สวัสดีครับคุณเย่ ผมเป็นครูวิชาภาษาของคุณจูนหลิน การแสดงออกของจวินหลินช่วงนี้ดีมากเป็นพิเศษเลย การงานก็ทำได้ทันเวลา ครับท่าน ผมขอยืนถ่ายรูปคู่กับท่านสักรูปนะครับ!”
“สวัสดีครับคุณเย่ ผมแซ่หวาง ลูกชายผมกับลูกชายท่านก่อนหน้านี้เคยร่วมสาบานด้วยกันมานะครับ ตอนนี้พวกเราก็นับได้ว่าเป็นพี่น้องกันได้นะ? “
“สวัสดีครับคุณเย่ ผมเป็นครูประจำชั้นของเด็กชายจวินหลิน คิดไม่ถึงว่า ท่านก็คือคุณพ่อของเด็กชายจวินหลิน คิดไม่ถึงจริง ๆ …..”
เผชิญหน้ากับผู้ปกครองที่บ้าคลั่ง ครูบาอาจารย์ที่บ้าคลั่ง ทำเอาเย่อู๋เทียนมือเกร็งเอาเลย
เคยประจันหน้ากองทัพข้าศึกนับล้านสีหน้าไม่มีเปลี่ยน
นาทีนี้ เล่นเอาเหงื่อแตก
เป็นเรื่องคิดไม่ถึงจริง ๆ
แค่เพียงว่าจะมางานพบปะผู้ปกครอง ตอนนี้ กลับกลายเป็นฮีโร่ในสายตาของทุกคน!แม้กระทั่งฝูงชนในถนนทิงเฉา ก็แห่กันมาเหมือนฝูงปลา เบียดอัดกันเข้ามาในโรงเรียน
ขืนเป็นไปตามสภาพนี้ ประเมินดูได้ว่า แค่เพียงยืนคู่ถ่ายรูปด้วยและเซ็นชื่อ คงต้องหมดไปทั้งวัน
ปัญหาใหญ่คือ เย่อู๋เทียนไม่สามารถปฏิเสธได้เลย
พูดอีกอย่างก็ได้ว่า……
เจอเข้าแบบนี้ จะให้เย่อู๋เทียนปฏิเสธยังไง?
ระดับถึงขนาดเจ้ายมบาลชิงตี้แห่งประเทศหลง
โดนคณะครูนักเรียนทั้งโรงเรียนล้อมกรอบไว้!
หมดปัญญารับมือได้แม้แต่นิดเดียว
ตลอดทั้งช่วงบ่าย เย่อู๋เทียนอยู่ในสภาพเบลอ
ถ่ายรูปด้วยกัน…….
เซ็นชื่อ……
รับหน้ากับพวกผู้ปกครอง ครูและนักเรียน……
แค่นี้ก็เหน็บกินแล้ว!
ตราบจนเวลาค่ำ เย่อู๋เทียนก็ไม่สามารถปลีกตัวได้สำเร็จ
ต่อหน้ากับบรรดาผู้ปกครองชายยังพอว่า ถึงยังไงก็คุยภาษาผู้ชาย ไม่มีเรื่องต้องคุยมาก
แต่ตอนที่เผชิญกับบรรดาผู้ปกครองที่เป็นหญิงนี่…..
พูดกันตรง ๆ
เย่อู๋เทียนไม่มีความมั่นใจ
แม้ว่าจะไม่คิดพูด ก็ไม่ได้
พวกผู้ปกครองหญิงพวกนั้นถามกันเรื่องต่อด้วยเรื่อง ตรงถามใส่เย่อู๋เทียนในปัญหาหลากหลาย
ปากไม่กี่ร้อยปากของผู้ปกครองหญิง ก็คงรุมล้อมเย่อู๋เทียนไว้
ถามกันไปสารพัดเรื่อง
นั้นพาให้สมองเย่อู๋เทียน เกิดมีความคิดอยากเป็นลมให้รู้แล้วรู้รอดไป
เย่อู๋เทียนก็ใช่ว่าจะไม่เคยได้คิด
จัดการประกาศเรียกทั้งหมดทุกคนเข้าไปในห้องประชุม จัดวางหมวดหมู่กลุ่มครูกลุ่มผู้ปกครองขึ้นมา ให้พวกเขานั่งลง ตัวเขาเองขึ้นไปพูดไม่กี่คำง่าย ๆ แล้วก็ออกไป
ปัญหาคือ……
ต่อให้เข้าไปอยู่ในห้องประชุมแล้ว
ก็จะเกิดสภาวะคนท่วมท้นล้นทะลัก
คนต่อแถวออกไปถึงท้องถนน
เย่อู๋เทียนคิดจะไป ก็ไปไม่ได้แล้ว
จวบจนถึงค่ำคืนแปดนาฬิกา เย่อู๋เทียนจึงเรียกได้ว่าหลุดรอดออกไปได้
นี่พูดอย่างเด็ดขาดได้เลยว่า เป็นวันที่เหนื่อยที่สุดของเย่อู๋เทียน ให้อยู่บ้านกับเสิ่นรั่วชิงแล้วช่วยกันสรรค์สร้างท้องอีกครรภ์หนึ่งก็ยังไม่เหนื่อยเท่า!
ทุกคนมีน้ำใจกันมากจริง ๆ!
นี่ก็จึงมีผลโดยตรง ทำให้เรื่องอาการสำแดงมะเร็งผิวหนังที่ริมฝีปากของจ้าวลี่หน้า ถูกเก็บออกไปจากความใส่ใจ
เย่อู๋เทียนรับหน้าอยู่กับฝูงคน
จ้าวลี่หน้าอกสั่นขวัญหายอยู่ท่ามกลางฝูงคน
มะเร็งผิวหนังนะนั่น!
มันถึงชีวิตเลยนะ!
จ้าวลี่หน้าเบียดฝ่าฝูงคนออกไปอย่างแสนยาก ไปถามหวังคางเซิง สุดท้ายเขาสรุปมาชัดถ้อยชัดคำ
เนื้อร้ายมะเร็งผิวหนังลามหนัก ขั้นสุดท้ายแล้ว
ในโลกนี้ ถ้าจะมีคนรักษาได้ คนคนนั้นก็คือเย่อู๋เทียนเท่านั้นแหละ!
จากคำบอกกล่าวข้างต้นนี้ พอเย่อู๋เทียนเพิ่งออกพ้นจากโรงเรียน ขึ้นไปในรถ จ้าวลี่หน้าก็ตามติดมุดเข้าในรถด้วย
เย่อู๋เทียนยังอยู่ในสภาพชาชืด มองหน้าจ้าวลี่หน้า พูดเสียงเนือย ๆ อย่างคนหมดแรงว่า “ก็ในฐานะเพื่อนนักเรียนกันมานะ เดี๋ยวเธอไปบ้านผมกินข้าวด้วยกัน แล้วผมค่อยเซ็นลายเซ็นให้นะ ผมเหนื่อยจริง ๆ”
จ้าวลี่หน้าพูดด้วยสีหน้าหมองเศร้าว่า “ฉันจะมาให้คุณเซ็นชื่อกะผีอะไรอ่ะ!ตอนนี้ฉันต้องการหมอ ฉันต้องการหมอรักษาโรคอ่ะ!”
เย่อู๋เทียนจึงได้ตั้งสติกลับมา สูดหายใจเข้าลึก ๆ พูดว่า “ไปที่บ้านผมละกัน ถึงบ้านผมแล้วค่อยคุยกัน!”
จ้าวลี่หน้าจึงได้คลายใจลง
ตามจ้าวลี่หน้ามุดขึ้นรถมา ยังมีเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
อายุไล่เลี่ยกับเย่จูนหลิน
หน้าตาน่ารักน่าชัง
เด็กหญิงน้อยจ้องมองเย่อู๋เทียนด้วยตาที่กลมโต พูดด้วยใบหน้าดูยิ้มไร้เดียงสาว่า “สวัสดีค่ะคุณอาเย่ หนูชื่อฉีซือซือ เป็นนักเรียนห้องเดียวกับเย่จูนหลินค่ะ”
เย่อู๋เทียนยิ้มแห้ง ๆ พูดว่า “สวัสดีจ้ะ”
เด็กสาวน้อยจู่ ๆ ก็หยิบเอาสมุดจดงานออกมาจากกระเป๋านักเรียน ยื่นให้เย่อู๋เทียนพร้อมกับพูดว่า “คุณอาเย่ ท่านช่วยเซ็นชื่อให้หนูได้ไหมคะ?ตอนนี้ท่านเป็นไอดอลของหนูแล้วนะคะ!”
“……………”
เย่อู๋เทียนมึนตึ้บ
เด็กสาวน้อยพูดเสียงอ้อน “ได้นะคะ!”
ไม่มีทางให้เลือก เย่อู๋เทียนเซ็นชื่อให้กับฉีซือซือ
เสร็จแล้ว เย่อู๋เทียนก็เลยถามจ้าวลี่หน้าไปถึงว่า “คุณพ่อของซือซือหละ?ทำไมไม่เห็นเขามาด้วย?”
จ้าวลี่หน้าอึ้งไปนิด ทำปากเบ้ พูดว่า “เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว”
เย่อู๋เทียนชะงักอึ้ง
นานอยู่ครู่ใหญ่ เย่อู๋เทียนจึงพูดขึ้นมาว่า “หลายปีมานี้ เธอก็เลี้ยงลูกด้วยตัวเองมาตลอดเลยกรือ?”
จ้าวลี่หน้าไม่พูดอะไร
บรรยากาศในรถดูหนักอึ้งทันที
คนขับรถคือเสิ่นรั่วชิง
เสิ่นรั่วชิงมองผ่านกระจกมองหลังมองจ้าวลี่หน้าแวบหนึ่ง พูดออกไปอย่างนิ่มนวลว่า “ทีหลังมีปัญหายุ่งยากอะไร มาหาเย่อู่เทียนนะ พวกคุณเป็นเพื่อนนักเรียนกันมา คุณมีปัญหาอะไร เขาก็ต้องช่วยคุณ”
จ้าวลี่หน้าฝืนดันรอยยิ้มขึ้นมา พูดว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ ปกติก็ไม่มีปัญหาอะไร มีก็ร่างกาย…..ไม่ค่อยยอมสู้!ตอนนี้ที่ฉันกังวลก็คือ ถ้าฉันเกิดมีอันเป็นไปอะไรขึ้นมา คนที่มีทั้งบ้าน ไม่มีใครดูแลซือซือได้ คุณปู่คุณย่าของเค้า คุณพ่อคุณแม่ของฉัน ก็ไม่มีใครดูแล”
เป็นที่ชัดเจนว่า หลายปีผ่านมานี้ ทั้งครอบครัวมีแต่จ้าวลี่หน้าคนเดียวเป็นผู้ดูแล
ประเด็นนี้ ทำเอาเย่อู๋เทียนรู้สึกคิดไม่ถึงเลยทีเดียว
ที่อยู่ในความทรงจำนั้น จ้าวลี่หน้าเป็นคนนิสัยค่อนข้างปล่อยสบายง่าย ๆ เห็นเป็นมาตั้งแต่เด็ก
ไม่คิดว่า ผู้หญิงที่ถูกดูแลเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมตั้งแต่เล็ก พอโตขึ้น กลับต้องมาแบกภาระทั้งครอบครัว!
จ้าวลี่หน้าหายใจเข้าลึก ๆ จู่ ๆ ก็ถามเย่เทียนขึ้นมาว่า “ยังจำฉีเซิงหยางได้ไหม?”
เย่อู๋เทียนชะงักอึ้งขึ้นมา พูดว่า “จำได้ สมัยอยู่โรงเรียนประถมศึกษาซีเฉิงนั่นไง ผมยังเคยต่อยกับเขาเลย”
จ้าวลี่หน้ายิ้มเฝื่อน ๆ “สมัยเด็ก เขาก็ซนเหมือนกับคุณนั่นแหละ คิดไม่ถึงว่าตอนโตกันขึ้นมาแล้ว กลับได้ไปเป็นพนักงานดับเพลิง ตอนที่ซือซืออายุได้เจ็ดเดือน เขาไปช่วยดับเพลิง แล้ว…ก็จบลง”
พูดมาถึงนี่ แววตาจ้าวลี่หน้าทอประกายเศร้าสลด กัดฟันพูดว่า “ตามจริงแล้วจนถึงเดี๋ยวนี้ฉันก็ยังแค้นเขาอยู่ ที่ทิ้งเราสองแม่ลูก อีกทั้งคนแก่ของทั้งสองครอบครัว!คุณว่ามาซิว่าที่ตอนนั้นไปช่วยดับเพลิงนั้น ทำไมไม่ยอมคิดถึงคนที่บ้านบ้างนะ?ความจริงก็ล่าถอยออกมากันแล้ว แต่เพื่อเพื่อนผู้ร่วมผจญภัยอีกคน กลับย้อนลุยเข้าไป ผลสุดท้าย สภาพของคนที่ถูกหามออกมา คงเหลือแต่เถ้ากระดูก”
เย่อู๋เทียนได้ฟังเรื่องทั้งหมดนี้มา เหมือนมีก้างปลาติดอยู่กลางลำคอ ในใจรู้สึกถึงรสชาติที่ยากอธิบาย สูดหายเข้าลึก ๆ ถามไปว่า “หลายปีนี้ ไม่คิดหาใหม่สักคนหรือ?”