จอมบงการเทพยุทธ์ - บทที่ 19 พลังจักรพรรดิมิอาจหมิ่น ทำลา
าได้รับแต้มตกใจ +584 จากเฉินหวู่ผิง’
‘เจ้าได้รับแต้มตกใจ +688 จากกู้เต๋าชาง’
‘เจ้าได้รับแต้มตกใจ+2898 จากชือขวง’
‘เจ้าได้รับแต้ม…’
เมื่อภาพที่สี่ของจอมจักรพรรดินีปรากฏบนโลงศพสีชาด แต้มตกใจของฉินมู่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และอัตราการเพิ่มก็เร็วจนถึงจุดสูงสุด
ห้าหมื่น…
หนึ่งแสน…
สองแสน…
สองแสนห้าหมื่น…
แต้มตกใจที่สูญเสียไปในการสร้างดินแดนลับแห่งที่สาม กำลังเติมกลับมาอย่างรวดเร็วและจะคืนทุนในไม่ช้า
เวลานี้ มนุษย์ในเมืองหิมะน้ำแข็งทั้งหมดกำลังคุกเข่าลงบนพื้นด้วยท่าทางนอบน้อมและคำนับไปทางวิหารโบราณ พร้อมทั้งตะโกนเรียกชื่อของจอมจักรพรรดิโบราณ
พวกเขายำเกรงและบูชาจอมจักรพรรดินีเผ่าพันธุ์มนุษย์
ในเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นเคยมียอดฝีมือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกด้วย
และนางก็ช่างน่าอัศจรรย์และไร้เทียมทาน ราวกับว่าจะเหยียบย่ำความเย่อหยิ่งและอำนาจทั้งหมดในโลกมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ภายในวิหารสำริดโบราณ
เมื่อเทียบกับมนุษย์ในเมืองหิมะน้ำแข็งซึ่งนับถือบูชาจนราวกับเสียสติ ที่นี่กลับเงียบสนิท
ในตอนนี้ เผ่าพันธุ์โบราณผู้หยิ่งผยองก่อนหน้านี้ กลับเงียบกริบไร้ความเย่อหยิ่งแต่เดิมอีกต่อไป
เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าจอมจักรพรรดินีผู้สูงส่งแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้ ตัวตนทั้งหมดก็ถูกบดบัง
แม้แต่บรรพบุรุษเผ่าพันธุ์โบราณก็ยังสั่นสะท้านในดวงจิต
แม้แต่จอมจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ผู้เป็นหนึ่งในดวงใจของพวกเขา ถ้าได้ประมือกับจอมจักรพรรดินีเผ่าพันธุ์มนุษย์คนนี้ เขาจะชนะได้จริงๆ รึ
แม้จะรู้ดีว่าจอมจักรพรรดิทั้งสองไม่มีทางมาพบกัน มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะคิดและตั้งคำถามเช่นนี้
นี่ไม่ใช่เพราะว่าเผ่าพันธุ์โบราณเหล่านี้ไม่เคารพจอมจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ แต่เพราะความเจิดจรัสของจอมจักรพรรดินีนั้นยอดเยี่ยมมากจนยากจะเชื่อและจินตนาการได้
แล้วใครจะเป็นศัตรูกับผู้น่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้
“สี่โลงศพโบราณ สี่ช่วงชีวิต…”
หยู่โยวพึมพำกับตนเอง ความตกใจในหัวใจของนางนั้นยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์โบราณคนอื่นๆ
ในฐานะที่สืบสายเลือดราชวงศ์เผ่าพันธุ์โบราณ เป็นธรรมดาที่นางย่อมรู้ความลับบางอย่างที่ผู้อื่นไม่รู้
แม้จะไปถึงจุดสูงสุดในวิถีแห่งยุทธ์ อย่างมากที่สุดก็สามารถพึ่งพาโอสถวิเศษเพื่อดำเนินชีวิตต่อไปสูงสุดได้เพียงสองช่วงชีวิต
นี่คือกฎในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์หมื่นเซียนมาทุกยุคทุกสมัย ต่อให้เป็นจอมจักรพรรดิผู้แข็งแกร่งก็ยากที่จะฝ่าฝืนกฎนี้
แต่บัดนี้ เกิดข้อสงสัยว่าเมื่อหลายปีก่อนมีจอมจักรพรรดินีเผ่าพันธุ์มนุษย์ซึ่งใช้ชีวิตถึงสี่ชีวิตฝ่าฝืนฟ้าดินและท้ายที่สุดก็เป็นอมตะ ทอดสายตามองไปที่จักรพรรดิโบราณของทุกเผ่าพันธุ์
นี่ไม่ได้หมายความว่าจอมจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ก็ยังเทียบกับนางไม่ได้หรอกรึ
และแม้ว่าจะมีโลงศพโบราณสี่โลงอยู่ที่นี่
แต่ในรูปสุดท้าย สตรีที่ยืนอยู่ในผืนพิภพนั้น ทั้งพลังปราณและร่างกายของนางนั้นก็สมบูรณ์อยู่เสมอ นางไม่เคยแสดงสัญญาณของความชราใดๆ เลย
นางจบสิ้นชีวิตที่สี่แล้วจริงๆ รึ
รึว่านางยังคงเดินทางผ่านทุกช่วงกาลเวลา เป็นอมตะมาทุกยุคทุกสมัย กลายเป็นตำนานเดินดินที่ยังมีชีวิตอยู่
ถ้าเป็นเช่นนั้น เกรงว่าเผ่าพันธุ์หมื่นเซียนทั่วทั้งจักรวาลย่อมอกสั่นขวัญแขวนเมื่อรู้เรื่องนี้
หยู่โยวรู้สึกได้ว่าความศรัทธาของนางเริ่มสั่นคลอน
นางส่ายหน้าอย่างรุนแรง พยายามขจัดความคิดที่ทั้งน่าเหลือเชื่อและน่าสะพรึงกลัวออกไปจากหัว แต่ก็ไม่อาจสำเร็จได้
ความกลัวของหยู่โยวนั้นไม่อาจอธิบายได้ แต่ชือขวงที่อยู่ข้างๆ นั้นราวกับเสียสติ
เขาเองก็มีความคิดเช่นเดียวกับหยู่โยว แต่ก็ปฏิเสธมันในทันที
เป็นไปไม่ได้
ไม่มีใครในโลกนี้มีชีวิตอยู่ได้ตลอดกาล
ไม่มีใครเหนือกว่าจอมจักรพรรดิแห่งเผ่าพันธุ์หมื่นเซียนได้
ทุกอย่างในวิหารโบราณแห่งนี้ต้องถูกจัดแจงโดยใครบางคน
ก็เพื่อข่มขวัญผู้ฝึกยุทธ์เผ่าพันธุ์หมื่นเซียน
“หึหึ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องหลอกหลวง มันเป็นแค่เกมที่ใครบางคนจัดเตรียมไว้ ใครจะเป็นอมตะในโลกนี้ได้ แม้แต่บรรดาจักรพรรดิในอดีตยังทำไม่ได้ แล้วแค่เผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
”
“ดูข้าทำลายภาพลวงตานี้และเปิดเผยความจริงทั้งหมด”
ซือขวงคำรามอย่างบ้าคลั่ง แล้วเจดีย์บรรพบุรุษสีม่วงก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขา
เจดีย์บรรพบุรุษนั้นมีทั้งหมดเก้าชั้นนั้นลอยอยู่บนหัวของชือขวง มันส่องประกายลงมาปกป้องเขาด้านล่าง
กระแสพลังจักรพรรดิแผ่ออกมาจากเจดีย์บรรพบุรุษเล็กน้อย ซึ่งแลดูน่าเกรงขาม
เจดีย์บรรพบุรุษลอยขึ้นๆ ลงๆ ราวกับเป็นภาพลวงตา และดูเกินจริงอยู่สักหน่อย
“ภาพฉายราชันบรรพบุรุษ ชือขวง ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะนําสมบัติล้ำค่าเช่นนี้มาด้วย”
หยู่โยวมองไปที่เจดีย์บรรพบุรุษเหนือศีรษะของชือขวง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
เจดีย์บรรพบุรุษนี้ มันก็คือเผ่าพันธ์ราชสีห์เก้าเศียรซึ่งรวมตัวกันจนเป็นภาพฉายยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์แล้วส่งมอบให้ชือขวง มันมีพลังเทียบเท่ากับระดับจักรพรรดิเลยก็ว่าได้
แม้ว่าจะเป็นเพียงภาพฉายของยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็มีพลังเกินกว่าจะจินตนาการได้
มันทรงพลังเกินธรรมดา หาสิ่งใดเปรียบได้ยาก
ด้านข้าง เสวี่ยหรูเยียนมองดูภาพฉายเจดีย์บรรพบุรุษสีม่วงเหนือศีรษะของชือขวงด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าทำไมชือขวงถึงได้ไม่กลัวเกรงใดๆ เมื่อเผชิญหน้ากับนาง
ปรากฏว่าเขามีสมบัติวิเศษนี้ไว้ป้องกันตัว เหตุนี้จังไม่ต้องกลัวนางแม้แต่น้อย
แต่คาดไม่ถึง ในวิหารโบราณแห่งนี้ ซือขวงจะถูกกระตุ้นอย่างมากจนถึงกับได้เสียสละภาพฉายยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์นี้โดยตรง
“ด้วยการสนับสนุนของราชันบรรพบุรุษ ใครจะหยุดข้าได้”
“ข้าอยากจะเปิดโลงศพ แล้วทำลายทั้งหมด และทะลายเรื่องโป้ปดนี้”
“ไม่มีสตรีคนดังกล่าวในประวัติศาสตร์ เผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นไร้ซึ่งจักรพรรดิ”
ภายใต้ภาพฉายยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ ชือขวงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดและทะยานไปข้างหน้า
เขาต้องการเปิดโลงศพโบราณทั้งสี่นี้ และพิสูจน์ว่าทุกอย่างเป็นเท็จ
ด้านนอกวิหารโบราณ เมื่อมนุษย์ในเมืองหิมะน้ำแข็งได้รู้ว่าชือขวงกำลังจะเปิดโลงศพโบราณและลบหลู่ศพของจอมจักรพรรดิ ทุกคนก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองพร้อมด้วยหมัดที่กำแน่น เกลียดชังที่พวกตนไม่สามารถไปที่วิหารโบราณเพื่อหยุดชือขวงได้
และในวิหารโบราณ แม้แต่เสวี่ยหรูเยียนเองก็ทนไม่ไหวและต้องการทำอะไรบางอย่างเพื่อหยุดความบ้าคลั่งนี้
แต่ทว่าหลังจากที่ชือขวงก้าวไปข้างหน้าได้เพียงสองก้าว ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
ในวิหารสำริดโบราณ โลงศพโบราณทั้งสี่ก็ได้สั่นไหว และจิตสังหารก็ได้เล็ดลอดออกมาจากโลงศพกระจายไปทั่วสิบทิศ
ที่ไหนสักแห่ง ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอันสูงส่งโกรธเกรี้ยวเพราะการกระทำของชือขวง
บนพื้น มีแถบแสงสว่างขึ้นมาปกคลุมทั่วทั้งวิหารโบราณ ล้อมรอบโลงศพโบราณทั้งสี่ที่อยู่ตรงกลาง
จิตสังหารที่เย็นยะเยือกลุกโชนขึ้นจากแถบแสงเหล่านั้น
ท้ายที่สุด มันรวมตัวเป็นอักขระทีละตัว ลอยอยู่ในความว่างเปล่าที่รายล้อมไปด้วยความวุ่นวาย
ขณะนี้ กระแสพลังจอมจักรพรรดิโบราณระเบิดออกมาอย่างสมบูรณ์ กระทบถึงฟ้าดิน
ในความว่างเปล่า ระลอกคลื่นล่องหนกระจายออกมา ซัดผ่านชือขวง
ต่อจากนั้น ฉากที่ทำให้เผ่าพันธุ์ทั้งหมดตกใจและหวาดกลัวก็ปรากฏขึ้น
ระลอกคลื่นจิตสังหาร ทำลายและสลายทั้งยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์และชือขวง ราวกับมดที่ถูกบดขยี้เป็นเถ้าถ่านทันที
โดยไม่ได้ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย
ราชันบรรพบุรุษแตกพ่าย
ชือขวงตายจาก
…………