จอมบงการเทพยุทธ์ - บทที่ 66 ตัวตนแรกของฉันมู่ที่ถูกสร้า
นร้างตะวันออก เมืองเชิงหยางของเผ่าพันธุ์มนุษย์
หญิงสาวทั้งสองที่มีดวงตากระจ่างใสราวกับพระจันทร์ มีความงามตามธรรมชาติยืนเผชิญหน้ากันและจ้องมองกันอย่างเงียบๆ
หญิงสาวทั้งสองมีรูปร่างผอมเพรียว ด้วยกล้ามเนื้อที่ราวกับน้ําแข็ง กระดูกราวกับหยกและชุดสีขาวราวกับหิมะพลิ้วไหวหญิงสาวทั้งสองเหมือนนางฟ้าที่จากสวรรค์ลงมาสู่โลกนี้
“เจ้าคือกายาจักรพรรดิแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ หยุนรั่วซี ใช่หรือไม่ ? ”
เย่หลิงเสวี่ยมองไปยังหญิงสาวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม และเปิดปากพูดก่อน
“เจ้ารู้จักชื่อข้าได้อย่างไร ?”
หยุนรั่วซีเล็กคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเด็กสาวชุดขาวที่อยู่ตรงหน้า นางจึงมีความรู้สึกที่ค่อนข้างแปลก
มีจิตสังหารจางๆ ที่แผ่ปกคลุมรอบๆ ร่างของอีกฝ่าย ที่ทําให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
“ข้าเคยเห็นภาพเหมือนของเจ้าตอนที่ข้าผ่านเมืองศักดิ์สิทธิ์”
เย่หลิงเสวี่ยเอ่ย ใบหน้าสวยของนางเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“ดูเหมือนว่าข้าก็รู้ว่าเจ้าเป็นใครนะ”
ใบหน้าสวยของหยุนรั่วซีแสดงท่าทางครุ่นคิด
“ถ้าข้าจําไม่ผิด เจ้าน่าจะเป็นเย่หลิงเสวี่ยใช่หรือไม่ ? ”
ในวัยที่ใกล้เคียงกับนางนั้น เย่หลิงเสวี่ยดูเหมือนจะไม่ธรรมดา ร่างกายล้อมรอบไปด้วยจิตสังหารอันบางเบาลักษณะเช่นนี้จะเป็นใครอื่นไปได้นอกจากหญิงสาวที่เพิ่งได้ชื่อเสียงในแดนร้างตะวันออก
หยุนรัวซีคาดหวังกับคําตอบของอีกฝ่าย
“ใช่แล้ว”
เย่หลิงเสวี่ยพยักหน้า
ทันใดนั้นก็เกิดความเงียบขึ้น
หญิงสาวทั้งสองไม่มีใครพูดอะไร แต่ดวงตาของทั้งคู่กําลังสบกันราวกับกําลังประเมินอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ
เมื่อทั้งสองสบตากัน พวกนางต่างก็มีความซาบซึ้งและมีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
พวกนางล้วนเป็นราชันผู้กําแหงที่มีชื่อเสียงในหมู่ผู้เยาว์ พวกนางมีจิตใจที่เอื้อเฟื้อต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์
ทั้งสองมีปณิธานและเป้าหมายเดียวกัน และเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ย่อมมีความเป็นมิตรกันอยู่แล้ว
“ที่ข้ามาอยู่ตรงนี้ เพราะข้ากําลังจะไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เพื่อไปสักการะร่องรอยที่เหลืออยู่ของจักรพรรดิอู่จื่อ แล้วเจ้าล่ะ ? ”
หยุนรั่วซีเอ่ยปาก กล่าวถึงจุดประสงค์ในการเดินทางของนาง
เมื่อไม่กี่วันก่อนชื่อของจอมจักรพรรดิอู่จื่อเลื่องลือไปทุกสารทิศ หลังจากที่เขาได้สั่นสะเทือนแดนร้างตะวันออกหยุนรั่วซีก็เริ่มเดินทางมุ่งหน้าไปในทิศทางของเมืองศักดิ์สิทธิ์
นอกจากจะได้เห็นร่องรอยที่เหลืออยู่ที่จอมจักรพรรดิอู่จื่อทิ้งไว้แล้วเหตุผลที่สําคัญกว่านั้นก็คือจอมจักรพรรดิอู่อเป็นทายาทของผู้สําเร็จวิชากายาจักรพรรดิ
ในร่างกายของเขามีเลือดของกายาจักรพรรดิไหลเวียนอยู่
สิ่งนี้ทําให้หยุนรั่วซีรู้สึกคุ้นเคยตามธรรมชาติ
เป็นเพราะว่ามีเลือดของกายาจักรพรรดิไหลเวียนอยู่ในร่างกายของจอมจักรพรรดิอู่จื่อนางจึงตั้งตารอว่าจะได้เห็นเคล็ดวิชาในการฝึกฝนของกายาจักรพรรดิได้ที่นี่หรือไม่
“เรามีจุดหมายเดียวกัน ทําไมไม่ร่วมทางไปด้วยกันล่ะ ?”
หลังจากได้ยินหยุนรั่วซีกล่าว เย่หลิงเสวี่ยก็ตอบด้วยรอยยิ้ม
เช่นเดียวกันกับหยุนรั่วซี นางมาที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้ เพื่อสักการะร่องรอยที่เหลืออยู่ของจอมจักรพรรดิอู่จื่ออีกด้วย
“แน่นอน ไม่มีปัญหา”
หยุนรั่วซีพยักหน้า แต่นางก็เกิดความลังเลอยู่บ้าง
“ที่อยู่ของข้าได้รับความสนใจจากทั่วโลก ถึงแม้ว่าข้าจะซ่อนที่อยู่ของข้าอย่างระมัดระวังแล้วแต่ก็ยังมีผู้ให้ความสนใจมากมาย
ถ้าจะเดินทางไปด้วยกัน ข้าก็กลัวว่าจะอันตรายเกินไป”
“ไม่เป็นอะไรหรอก สายตาที่จับจ้องมาที่ข้าก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเจ้าเลยเจ้ากับข้าก็เดินทางไปด้วยกันหากมีอันตรายจริงๆพวกเราก็ร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรูสิ”
เย่หลิงเสวี่ยหัวเราะ
ในตอนนี้ นางไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตโบราณที่กดขี่เผ่าพันธุ์มนุษย์และพวกเศษสวะในเผ่าพันธุ์มนุษย์มีมากแค่ไหน
ผู้ที่ต้องการแก้แค้นนาง มีไม่น้อย
“เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็เดินทางไปด้วยกัน”
เมื่อได้ยินเย่หลิงเสวี่ยพูดเช่นนั้น หยุนรั่วซีก็รีบตกลงอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวสองคนที่กําลังพูดคุยกันอยู่ที่นี่ ไม่ได้สังเกตเลยว่า มีอีกร่างที่ยืนอยู่ข้างๆ
ฉินม่มองไปยังหยุนรั่วซีและเย่หลิงเสวี่ยที่กําลังพูดคุยกันอยู่ อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเล็กน้อย
ด้วยความแข็งแกร่งของทั้งคู่ จึงไม่มีปัญหาอะไรในการรับมือกับปัญหาทั่วไป
ทั้งสองมีมรดกระดับจักรพรรดิอยู่ในมือของพวกนาง ถึงแม้ตอนนี้จะมีเขตแดนไม่สูงนักและแม้ว่าพวกนางจะต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เขตแดนสวรรค์นิมิตก็ตาม
หยุนรั่วซีและเย่หลิงเสวี่ยก็กล้าที่จะเดินทางบนโลกใบนี้
อย่างไรก็ตาม ฉินมู่ก็ให้ความสนใจกับหญิงสาวสองคนนี้เสมอ เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีพลังมหาศาลในความมืดที่กําลังเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของหญิงสาวสองคนนี้อยู่และเกรงว่าจะมีเจตนาที่ไม่ดีเสียด้วย
และเมื่อหญิงสาวทั้งสองมาถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์ ในที่สุดฉินมู่ก็รู้เรื่องนี้ ว่าสิ่งที่กําลังให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับความแข็งแกร่งของการเคลื่อนไหวของหยุนรั่วซีและเย่หลิงเสวี่ยมันมาจากที่ไหน
เพราะตอนนี้ มีสองจอมยุทธ์ระดับราชันศักดิ์สิทธิ์ และหกจอมยุทธ์ผู้ทรงอํานาจซ่อนตัวอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ราวกับว่าพวกเขากําลังรอให้หญิงสาวทั้งสองเข้ามาติดกับดักเอง
และในหมู่คนเหล่านี้ ฉันม่ก็ได้พบใบหน้าที่คุ้นเคย
ลูกศิษย์ของนิกายเทียนเฉิน ภู่เหว่ยเตี้ยน
ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้ที่ซ่อนตัวอยู่คงหนีไม่พ้นเป็นคนของนิกายเทียนเฉิน !
เฉินมู่เดาได้เลยว่าทําไมอีกฝ่ายถึงต้องซุ่มโจมตีเย่หลิงเสวี่ยและหยุนรั่วซี
เมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์โบราณ นิกายเทียนเฉินคงกลัวและไม่อยากเจอกับจอมจักรพรรดิของเผ่าพันธุ์มนุษย์มากกว่า
นอกจากนี้ หากผู้นํานิกายเสียชีวิตในวันนี้ เหล่าลูกศิษย์ที่เหลืออยู่ของนิกายเทียนเฉินที่บ้าคลั่งมากขึ้นทําเรื่องแบบนี้ก็ดูเข้าใจได้ไม่ยาก
ภายใต้ตาข่ายแห่งสวรรค์และโลก แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่หยุนรั่วซีและเย่หลิงเสวี่ยจะหลบหนีออกไปได้
บางที อาจจะมีเพียงฉินมู่เท่านั้นที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้
แต่ฉันม่ต้องซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง คอยผลักดันทุกอย่างไปข้างหน้า
แต่ตอนนี้ มันปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันและถึงแม้ว่าจะไม่มีใครรู้ว่าเขากําลังทําอะไรอยู่แต่ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนจํานวนมากเกินไปหรือว่าเขาควรจะเตรียมตัวตนปลอมไว้บ้างการแอบซ่ อนอยู่เบื้องหลังมันก็ค่อนข้างจะเหงานิดหน่อย
ด้วยอัตลักษณ์ที่เหมาะสมข้าจะทําอะไรก็ได้ไม่สําคัญว่าใครจะสังเกตเห็น
ฉินมู่คิดอย่างรอบคอบ
ตัวตนปลอมเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่สร้างขึ้นได้เองตามปกติ
ถ้าฉันม่ต้องการจะลงมือ เขาจะปรากฏตัวต่อหน้าชาวโลกด้วยความสามารถนี้
เมื่อเสร็จสิ้นแล้วก็จะกลับเป็นแบบเดิม
ด้วยวิธีนี้ จะทําให้เขาลงมือได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกังวัลอะไร
อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเพียงตัวตนปลอม ส่วนร่างกายที่แท้จริงของเขายังคงลึกลับและซ่อนอยู่เบื้องหลัง !