จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up - ตอนที่ 116
จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 116
ไม่ได้มีเพียงฉินเทียนที่จิตใจกําลังว้าวุ่น หลิวซินเองก็กําลังว้าวุ่นเช่นเดียวกัน
ในฐานะผู้อาวุโสสายนอกของนิกายจิงซิน การถูกฉินเทียนไล่ต้อนทําให้นางต้องเสียหน้าอย่างมาก หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป นางจะยังบากหน้าอยู่ในนิกายจิงซินต่อไปได้หรือ? ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธแค้น นางหรี่ตาลง ในแววตามีประกายสังหารวูบผ่าน
นางบ่มเพาะมาสิบกว่าปีกระนั้นก็ยังคงไม่อาจทะลวงไปสู่ขั้นสวรรค์
ตัวละครเช่นผู้อาวุโสสายนอกเป็นเพียงตัวละคนอันเล็กจ้อย นางรู้สึกว่าผู้อื่นไม่ได้มีความเคารพใดๆต่อนาง ถึงกับกระทั่งดูถูกนาง ทําให้นางรู้สึกทนไม่ได้ นางปฏิบัติต่อเหล่าศิษย์สายนอกอย่างเลวร้าย ทั้งยังตําหนิด้วยเรื่องเล็กน้อยอย่างรุนแรงเพียงเพราะต้องการแสดงอํานาจ
นิสัยใจของนางล้วนแต่ทําให้ผู้อื่นรู้สึกเข็ดขยาด ทั้งยังสลักความไม่พอใจแก่ผู้คนที่ถูกนางกระทําเหล่านั้นไว้อย่างลึกล้ำ
แม้ว่านางจะไม่อาจทําอย่างไรต่อฉินเหลียน แต่ก็ยังมีวิธีมากมายที่จะจัดการฉินเทียน
ระดับเก้าขั้นกลั่นวิญญาณอย่างนางย่อมไม่เกรงกลัวเด็กบ้านนอกที่อยู่เพียงระดับห้าขั้นกลั่นวิญญาณอยู่แล้ว
กลับมาที่ฉินเทียน
หลังจากฉินเหลียนจากไป ฉินเทียนก็ไม่ทราบจะทําอย่างไร ทําได้แต่เลียนแบบเมิ่งฝานอี เขาทรุดกายนั่งลงอย่างกังวลจนไม่อาจสงบใจ
“น้องชายไม่ต้องกังวลไป นิกายจิงซินยึดหลักเมตตาธรรม แม่นางฉินเหลียนจะไม่เป็นอะไร ยิ่งกว่านั้นนางยังเป็นศิษย์สายใน เป็นบุคคลที่ได้รับการถนุถนอมดูแล ย่อมไม่ถูกลงโทษ” เห็นใบหน้าที่ฉายความกังวลอย่างเด่นชัดของฉินเทียนแล้ว เมิ่งฝานอีกกล่าวปลอบโยน
ตัวเขาในตอนนั้นก็เป็นเช่นเดียวกับฉินเทียนในตอนนี้ ทําขู่คําราม ทั้งโวยวาย ล้วนแต่เป็นการกระทําที่ไร้สาระโดยแท้
ฉินเทียนส่งเสียงหัวเราะก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า ” ท่านรออยู่ตรงนี้เป็นสิบปีเพื่อสตรีนางหนึ่งหรือ?”
เมิ่งฝานอีหัวเราะอย่างขมขื่นก่อนจะพยักหน้า “นิกายจิงซินแห่งนี้แตกต่างจากสํานักนิกายอื่นๆ ที่นี่ ประมุขของนิกายจะเป็นผู้ที่คอยตัดสินใจเรื่องการแต่งงานของเหล่าศิษย์ ข้าไม่มีทางเลือกจึงทําได้เพียงรอคอย แต่ข้าก็ยังเชื่อว่าความจริงใจของข้าสามารถหลอมละลายเหล็กกล้า”
“เพ้ย สมัยนี้แล้วยังมีผู้ชายแบบนี้อยู่อีกเหรอ นี่โง่งมหรือสมองทึบกันเนี่ย?” ฉินเทียนได้แต่คิดอยู่ในใจ กระนั้นก็ยังรู้สึกนับถือหัวใจของเมิ่งฝานอี เฝ้ารอคอยเป็นเวลาสิบปี ช่างเป็นคนที่มีความอดทนจริงๆ แต่ตัวฉินเทียนไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเขา มีเพียงความแข็งแกร่งจึงจะเป็นตัวแทนของทุกสิ่ง
หากเมิ่งฝานอีอยู่ในขั้นจุติหรือสูงยิ่งกว่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเวลาสิบปี เพียงไม่กี่ชั่วลมหายใจ นิกายจิงซินต้องผงกศีรษะยอมรับทันควัน
” พี่ชาย ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าต่อให้ท่านเฝ้ารอต่อไปอีกสิบปี สตรีนางนั้นก็ยังไม่อาจครองคู่อยู่กับท่าน?”
เมิ่งฝานอีสั่นสะท้าน แววตาเปลี่ยนเป็นหม่นหมอง “ผ่านไปอีกสิบปี อวี้ถิงก็ยังไม่อาจอยู่ร่วมกับข้า… ”
เขาขบคิดก่อนจะเผยสีหน้าทอดอาลัยออกมา
สิบปีแล้ว เขารอคอยมาอย่างยาวนาน กระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าข้ามผ่านเวลาสิบปีนี้มาได้อย่างไร ละเลยการบ่มเพาะเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะยังสามารถกลับไปที่สํานักได้หรือไม่ ทันใดนั้นจู่ๆเมิ่งฝานอีก็คล้ายคิดได้
” หากต้องการสิ่งใด จงใช้พลังในการเจรจา” ฉินเทียนกล่าวออกมา หากแต่ในใจกลับคิดถึงเรื่องอื่น “หลังจากจัดการเรื่องราวของอวิ๋นม่านได้แล้ว ข้าคงต้องไปสํานักเทียนจี๋สักหน แต่ไม่รู้ว่ามันตั้งอยู่ที่ไหนนี่สิ จะดีกว่าถ้าพาเมิ่งฝานไปด้วยกัน
หลังจากที่ได้พูดคุยกับเมิ่งฝานอีจนทราบว่าเขาเป็นศิษยีของสํานักเทียนจี๋ ในใจของฉินเทียนก็เกิดความคิดจะพาตัวเมิ่งฝานอีไปด้วยกัน
” หากเปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้าจะทําอย่างไร?” เมิ่งผ่านอีเอ่ยถาม
ฉินเทียนหัวเราะ
หากเปลี่ยนเป็นเขา เขาแน่นอนว่าจะไม่ยอมอยู่อย่างขมขึ้นเป็นสิบปี เขาจะใช้สิบปีนี้เพิ่มพูนพลังฝีมือ เพิ่มเลเวลจนแข็งแกร่ง แข็งแกร่งกระทั่งต่อให้ประมุขนิกายจิงซินไม่เห็นด้วยกับเขา เขาก็ใช้กําลังบุกเบิกเป็นทางโลหิตสายหนึ่ง
การเฝ้ารอคอยเช่นนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดของเขาแม้สักแวบเดียว
หากว่าประมุขนิกายจิงซินเต็มใจจริงๆ นางคงเห็นด้วยกับเรื่องนี้ไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว จะปล่อยให้เขารอคอยเป็นสิบปีไปทําไม?
“ถ้าเกิดว่าเป็นข้า ข้าจะฝึกฝนจนมีระดับเหนือกว่า ถึงตอนนั้นต่อให้ประมุขนิกายไม่ยินยอม นางก็ไม่มีทางเลือก”
“พี่ชาย ความแข็งแกร่งเป็นตัวชี้วัดทุกสิ่ง คนอ่อนแอก็ได้แต่เป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง มีแต่ต้องแข็งแกร่งจึงจะได้รับการยอมรับ” ฉินเทียนจ้องมองท้องฟ้าพลางเอ่ยออกมา
มีเพียงหนทางเดียว นั่นก็คือต้องแข็งแกร่งขึ้น
ท่าทีของเมิ่งฝานอีเปลี่ยนไป เกิดระลอกคลื่นขึ้นในใจเขา ” พลัง ต้องครอบครองพลัง
”
“ฟู่….” เมิ่งฝานอีถอนหายใจยาวก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่น “ขอบคุณมาก!”
เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินตรงไปยังประตูทางเข้านิกาย จากนั้นจึงกล่าวต่อศิษย์สตรีที่เฝ้าประตูอยู่ ” หากมีโอกาสก็รบกวนขอฝากคําพูดไปถึงแม่นางอวี้ถิง บอกกับนางว่าข้าจะกลับมา”
ศิษย์ผู้นั้นตกตะลึงก่อนจะพยักหน้ารับ สีหน้าประหลาดพิกลอยู่บ้าง นางรู้สึกงุนงงยิ่ง ไม่ใช่ว่าบุรุษที่ยึดมั่นในรักผู้นี้รอคอยมาแล้วเป็นสิบปีหรือ ไฉนตอนนี้จู่ๆก็พลันได้สติ?
หลังจากจัดการจิตใจของตนได้แล้ว เมิ่งฝานอีก็เดินไปหาฉินเทียนก่อนจะกล่าวอย่างหนักแน่น “น้องชาย ข้าจะกลับไปที่สํานักของข้าแล้ว คําพูดของเจ้าได้กระตุ้นเตือนสติให้กับข้า ตอนนี้ข้าทราบแล้วว่าการคอยเป็นเวลาสิบปีของข้านั้นมันช่างเปล่าประโยชน์”
“ท่านกําลังจะกลับสํานักเทียนจี๋?” ฉินเทียนเอ่ยถาม
“ถูกแล้ว กลับสํานักเทียนจี๋” เมิ่งฝานอีตอบ
ฉินเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา “จะรังเกียจหรือไม่หากข้าร่วมทางไปด้วย? ข้านับถือสํานักเทียนจีมานานแล้ว อยากจะไปชมดูมาตลอด เพียงแต่ข้าไม่รู้จักที่ตั้งของมัน”
“ย่อมได้แน่นอน ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าแล้ว ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งปีก็สามารถเข้าเป็นศิษย์สายใน จากที่นี่คงใช้เวลาราวครึ่งเดือน ระหว่างนั้นข้าจะช่วยชี้แนะให้เอง”
ฉินเทียนประสานมือ ” ขอบคุณ”
จากนั้นจึงกล่าวต่อ ”ถ้าเป็นไปได้ท่านช่วยรออีกสักสองสามวันได้หรือไม่? ข้าอยากจะทราบสถานการณ์ของท่านน้าของข้าก่อน”
เมิ่งฝานอีหัวเราะอย่างใจกว้าง “สิบปีข้าก็รอมาแล้ว รอต่ออีกสองสามวันจะเป็นไรไป”
” ขอบคุณมาก”
ในความมืดอันเงียบงัน
เงาร่างหนึ่งยืนอยู่บนยอดไม้พางสอดส่ายสายตามองหาบางสิ่ง
ฝ่ามือของเงาร่างนั้นขยับก่อนที่ค่ายกลที่คุ้มครองนิกายอยู่จะบังเกิดช่องว่างพอให้คนรอดผ่านและเงาร่างนั้นก็พุ่งผ่านช่องว่างออกไป
“เหอะ!” หลิวซินแค่นเสียงเย็น ” ช่างหลับอย่างสบายอกสบายใจนัก”
พลังปราณควบแน่นกลายเป็นกระบี่ปรากฏขึ้นในมือ ประกายสีเงินปรากฏขึ้นวูบ ขณะที่จิตสังหารซึ่งกักเก็บไว้ถูกปลดปล่อยออกมา
ฉินเทียนที่เป็นเป้าหมายแสยะยิ้มเย็นก่อนจะพุ่งร่างหนีไป
หลิวซินชะงักก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ ”คิดหนี?”
นางไล่ติดตามไปทันทีโดยไม่ต้องขบคิด เห็นฉินเทียนหลบหนีเช่นนี้แล้ว จิตสังหารของนางยิ่งมาก็ยิ่งเข้มข้น ในใจรู้สึกมีความสุขมาก “ระดับห้าขั้นกลั่นวิญญาณก็ยังเป็นระดับห้าขั้นกลั่นวิญญาณ แค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งหรือจะมาสู้ข้าได้? เพื่อระบายโทสะแล้ว เจ้าจะต้องตาย!”
หลังจากหลิวซินไล่ล่าตามติดไป เมิ่งฝานอีก็ลืมตาขึ้นอย่างเฉยชา “ฉินเทียนกลับคํานวณไว้แล้วว่าผู้อาวุโสหลิวซินจะติดตามมาลงมือ” จากนั้นจึงติดตามคนทั้งสองไป
ไม่นาน พวกเขาก็ออกห่างจากพื้นที่ของนิกายจิงซิน
ฉินเทียนหยุดยั้งลงที่เนินเขาแห่งหนึ่ง เขาหันไปมองหลิวซินขณะที่กลิ่นอายของเขาเปลี่ยนไป “รนหาที่ตายจริงๆ”
อากาศเกิดการผันผวน ปราณเพลิงสีม่วงลุกโหมกระพือก่อนจะกลายเป็นกระบี่จํานวนนับไม่ถ้วนลอยบดบังแสงจันทร์จากท้องฟ้า
หลิวซินหน้าเปลี่ยนสี ในใจตื่นตระหนก นางเองก็ทราบแล้วว่านางพาตนเองเข้าสู่กับดัก
“รู้สึกกลัวแล้วเหรอ?” ฉินเทียนแสยะยิ้ม “ตอนที่อยู่หน้าประตูนิกาย ข้าไม่กล้าลงมือจริงๆ อย่างไรเสียก็เป็นนิกายจิงซินที่มียอดฝีมืออยู่อย่างคับคั่ง แต่ที่นี่ไม่เหมือนกัน นอกจากพวกเราแล้วก็ไม่มีใคร ต่อให้มีคนตายก็ไม่มีคนหาพบ”
ฉินเทียนเดาได้อยู่แล้วว่าหลิวซินจะต้องลอบลงมือ
ในตอนนบ่ายหลังจากที่เซียนเหลียนฮัวจากไป ชื่อของหลิวซินก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดง ประกายแสงสีทองเริ่มแผ่ออกจากร่าง ในใจของฉินเทียนแทบจะโห่ร้องอย่างยินดีเมื่อได้เห็นว่าอีกงฝายกลายเป็นบอสตัวหนึ่ง
*เจ้า!” หลิวซินโกรธแค้น ดอกบัวดําสีดอกพลันปราฏกขึ้น
ฉินเทียนแค่นเสียง ”ระดับเก้าขั้นกลั่นวิญญาณ? บิดาก็เคยฆ่ามาแล้ว!”
“เปิดใช้ค่ายกลเจ็ดสังหาร…”
“บัวดํา ปะทุ!”
ทันใดนั้นกระบี่ที่ลอยอยู่เกลื่อนฟ้าก็พลันพุ่งลงมาด้วยสภาวะราวกับเทพสังหาร เป็นสายธารกระบี่อันไร้สิ้นสุดที่แผ่ปราณสีม่วงอมดําออกมา ดูน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง
บึ้ม……………
ได้ยินเสียงระเบิด ฉินเทียนก็เผยรอยยิ้ม ”ทีเดียวก็ตายแล้ว?”
” ทักษะชั้นหยกช่างทรงพลังเสียจริง ฮ่าๆ…..”