จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up - ตอนที่ 26
ตอนที่ 26 ค่าบาป
“ค่าบาปเพิ่มขึ้น 1 ค่าบาปปัจจุบัน: 7 แต้ม….”
ฉินเทียนสะดุ้งขึ้นมา นึกย้อนกลับไปตอนที่สังหารฉินคุนและคนอื่นๆแล้ว ระบบก็แจ้งเตือนเขาเช่นนี้ “ค่าบาปคืออะไร?”
เขาครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆนานา ฉินเทียนเปิดหน้าต่างสถานะขึ้นดู และพยายามค้นหาค่าบาป
แล้วเขาก็ต้องตกตะลึง เขาไม่คิดเลยว่าการสังหารผู้คนจะมอบประโยชน์ให้มากมายถึงเพียงนี้
ค่าบาป: เมื่อมีค่าบาปถึงหนึ่งพันจุดจะสามารถฝึกฝนทักษะปีศาจ และยังสามารถใช้ทักษะเงาโลหิตและจำแลงกายปีศาจได้
ที่หนึ่งหมื่นแต้มจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตปีศาจและสามารถรับพลังปีศาจอันทรงพลัง
ที่หนึ่งแสนแต้ม…..
ที่หนึ่งล้านแต้ม…..
รายละเอียด: ไม่สามารถลบล้างได้ ยิ่งค่าบาปสูงมากเท่าไร การต้านทานพลังปีศาจก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งค่าบาปสูงมากเท่าไร การต้านทานพลังศักดิ์สิทธิ์ก็ยิ่งลดน้อยลง
“มารดามันเถอะ! นี่ไม่เท่ากับกำลังบีบให้ข้าต้องเดินไปในเส้นทางแห่งปีศาจรึยังไง?”
ฉินเทียนลอบรู้สึกยินดีอยู่ในใจ ค่าบาปทำให้เขารู้สึกยินดีมากกว่าจะกังวล กระนั้นเขาก็ยังต้องการค่าบาปนับพันแต้มเพื่อฝึกฝนวิถีโลหิต เขาคิดขึ้นในใจ “หนึ่งคนให้ค่าบาปหนึ่งแต้ม ดังนั้น…ข้าจะต้องสังหารคนอีกเกือบพันคน?”
“ท้ายที่สุดข้าก็จะกลายเป็นราชันย์ปีศาจเลือดเย็น!”
ตอนนี้ค่าบาปของเขามีอยู่เพียง 7 แต้มเท่านั้น ยังห่างไกลจาก 1,000 แต้มมากนัก ฉินเทียนหยุดคิดเกี่ยวกับมัน มองไปยังอวิ๋นม่านที่ยังคงหลับตาแนบแน่น เขาก็ยิ้มและกล่าวว่า “สาวน้อย ตอนนี้ลืมตาได้แล้ว”
อวิ๋นม่านค่อยๆเปิดเปลือดตาขึ้น มองฉินเทียนที่กำลังจ้องมองนาง สองแก้มก็พลันขึ้นสีคล้ายดอกของต้นพีชในฤดูใบไม้ผลิ
‘ช่างงดงามจริงๆ ถัดไปอีกสองปีเสน่ห์ของนางจะไม่ล่อลวงผู้คนจนตายเลยรึ?’ ฉินเทียนคิด อวิ๋นม่านยังคงอยู่ในอ้อมแขนของเขา จมูกของเขาจึงสูดได้กลิ่นหอมจากร่างของนาง มันทำให้ร่างกายของเขาถูกกระตุ้นขึ้นเล็กน้อย โชคดีที่มันมืดมาก และอวิ๋นม่านไม่อาจสังเกตเห็นสีหน้าของเขาโดยละเอียดชัด มิเช่นนั้นเขาคงอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ใด
เขาอุ้มร่างของอวิ๋นม่านขึ้นมาและสอดส่ายสายตาไปโดยรอบ สูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง เขามองดูแผลของอวิ๋นม่านและหยิบเอาเม็ดยาหู่เฉิงออกมา “กลืนมันซะ มันจะช่วยเยียวยาบาดแผลและไม่เจ็บปวดอีก”
อวิ๋นม่านผงกศีรษะอย่างแช่มช้า กลืนเม็ดยาลงไป ไม่นานแก้มของนางก็ยิ่งแดงราวดอกกุหลาบ นางหันไปมองดูศพของกอลิล่าดุร้ายที่อยู่ห่างไปไม่ไกลแล้วจึงกล่าวขึ้นมา “สัตว์ปีศาจขั้นที่ห้าช่างแข็งแกร่งจริงๆ”
ฉินเทียนหัวเราะและหยิบแก่นปีศาจที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา เขาหันไปมองบุรุษเคราครึ้ม หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตะโกนออกไป “ท่านลุง รับมันไว้”
ฉินเทียนทำภารกิจได้สำเร็จแล้ว หลังจากที่งัดเอาแก่นปีศาจขึ้นมาได้
มองดูแก่นที่อยู่ในมือแล้ว ฉินเทียนก็รู้สึกฝืนใจที่จะต้องแยกจากมันอย่างมาก กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี บุรุษผู้นั้นและกลุ่มของมันได้ไล่ล่ากอลิล่าดุร้ายมากว่าครึ่งเดือน และเขาเองก็ได้รับทักษะศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว เมื่อเทียบกับแก่นปีศาจนี้ ทักษะศักดิ์สิทธิ์ย่อมมีค่าสูงกว่า
บุรุษผู้นั้นรู้สึกตกตะลึงเมื่อได้พบเจอคนที่มีจิตใจกว้างขวางเช่นนี้ จะอย่างไรสิ่งนั้นก็คือแก่นปีศาจ เมื่อกลืนมันลงไปจะทำให้ผู้ฝึกตนขั้นต้นสามารถบรรลุขั้นรวบรวมวิญญาณได้ในสามปี ดังนั้นสำหรับผู้ฝึกตนทั่วไปแล้ว แก่นปีศาจนี้ก็ไม่ต่างไปจากเม็ดยาระดับสวรรค์
ตระกูลฉินเป็นตระกูลใหญ่ลำดับที่สามแห่งเมืองชิงเหอ กระทั่งต่อให้นำสมบัติของตระกูลออกมา มันก็ยังไม่เพียงพอจะซื้อหาแก่นปีศาจได้ถึงสิบชิ้น
กระทั่งเหล่าผู้ฝึกตนระดับสูงก็ยังประเมินค่าแก่นปีศาจเอาไว้อย่างสูง กระนั้นตอนนี้ฉินเทียนกลับส่งมอบออกมาโดยง่าย บุรุษผู้นั้นทั้งรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกตกตะลึงไปพร้อมกัน มันย่อมต้องการแก่นปีศาจนี้ และไม่เพียงมันที่ต้องการ เมื่อฉินเทียนกล่าวว่าจะมอบมันให้ ดวงตาของบุรุษนั้นก็เต็มไปด้วยความสุขและความโลภ
กระนั้นเมื่อมองดูร่างของหยานเทียนแล้ว น้ำตาของมันก็คลอหน่วย มันไล่ติดตามปีศาจตัวนี้มากว่าครึ่งเดือน สหายที่ไล่ล่ามันด้วยกันต่างตกตายไปทีละคน เหลือมันเพียงคนเดียว หากว่ามันรับแก่นปีศาจนั้นมา มันก็จะต้องแบกรับความเจ็บปวดเอาไว้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น มันก็คงไม่อาจกลับไปฝึกฝนตนอย่าสงบได้อีก กลับกัน มันจะมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกผิดบาป
หลังจากต่อสู้กับการล่อลวงจากแก่นปีศาจอยู่พักหนึ่ง มันก็ตัดสินใจได้ “ขอบคุณเจ้ามาก แต่ข้าไม่อาจรับมันไว้”
มันกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น น้ำเสียงของมันไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย
ฉินเทียนพลันประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง เขาเก็บแก่นลงไปและกล่าวว่า “นามของข้าคือฉินเทียน”
“ข้าเรียกว่า เฮยหยาน” บุรุษนั้นกล่าวตอบ
มันไม่ทราบว่าฉินเทียนสามารถเรียนรู้ทักษะสักดิ์สิทธิ์ของกอลิล่าดุร้ายได้อย่างไร แต่จากการต่อสู้จนถึงตอนนี้ เขากลับสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้อย่างเยือกเย็น มันจึงมั่นใจอย่างยิ่งว่าฉินเทียนย่อมต้องไม่ใช่เพียงชายหนุ่มธรรมดาสามัญผู้หนึ่ง
เรื่องราวในอนาคตไม่อาจคาดเดา ดังนั้นการมอบแก่นปีศาจต่อฉินเทียนอาจจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า
เฮยหยานทอดถอนใจและกล่าวออกมา “น้องฉิน หากพวกเรามีวาสนาต่อกัน พวกเราคงได้พบกันอีก”
“ท่านลุง ท่านกำลังจะไปที่ใด?”
ฉินเทียนวางแผนเอาไว้อยู่สองเรื่อง เขาต้องการล่วงรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับเทือกเขาคุนหลุน และเฮยหยานนับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เขาตั้งใจที่จะบรรลุขั้นก่อตั้งวิญญาณในครึ่งเดือน จากนั้นจึงเข้าไปฝึกฝนในเทือกเขาคุนหลุน
ดังนั้นเขาจึงต้องการคนนำทาง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เขาต้องการเพื่อนร่วมทางเช่นเฮยหยาน จะอย่างไรเฮยหยานก็อยู่ในขั้นกลั่นวิญญาณ แล้วฉินเทียนจะปล่อยมันไปโดยง่ายได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้ฉินเทียนจึงตั้งใจจะยกแก่นปีศาจให้กับมัน กระนั้นเฮยหยานกลับเลือกที่จะไม่รับมันเอาไว้ แล้วเขาจะทำสิ่งใดได้อีกเล่า?
ฉินเทียนไม่ยอมแพ้และยังคงตื้อเฮยหยานต่อ
“ข้าจะใช้เวลาพักฟื้นก่อน จากนั้นจึงค่อยขบคิดต่อไป” เฮยหยายเหม่อมองท้องฟ้ายามราตรีและกล่าวออกมา
“ท่านลุง ไฉนจึงไม่มาที่เมืองชิงเหอกับข้าเพื่อฟักฟื้นก่อนเล่า?”
“เมืองชิงเหอ? เจ้าเป็นศิษย์ตระกูลฉินงั้นหรือ?”
“ถูกแล้ว ตระกูลฉินได้จัดเทศการล่าสัตว์ให้พวกเราเข้ามาล่าสัตว์ปีศาจในเขตเทือกเขาคุนหลุน” ฉินเทียนกล่าวตอบ
เฮยหยานผงกศีรษะเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา “ตกลง ไม่สำคัญว่าเป็นที่ใด จะอย่างไรข้าก็ไม่มีที่ไปอยู่แล้ว”
ฉินเทียนเผยรอยยิ้มและกล่าวว่า “เทศกาลจะจบลงในยามบ่ายของวันพรุ่งนี้ ดังนั้นพวกเราจะกลับไปยังเมืองชิงเหอในเวลานั้น”
“ตกลง” เฮยหยานกล่าวตอบ
มันรู้สึกว่าฉินเทียนผู้นี้ให้ความรู้สึกที่พิเศษอย่างยิ่ง กระทั่งค่อนข้างคล้ายคลึงกับหยานเทียนสหายสนิทของมัน มีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกว่าการอยู่กับฉินเทียนสามารถช่วยปลอบประโลมความเจ็บปวดในใจของมันได้
นอกจากนี้ มันยังประเมินค่าฉินเทียนเอาไว้สูงมาก แม้ว่าในอดีตมันจะไม่ได้พบเจอผู้คนมากมายนัก แต่มันก็ยังเคยพบกับศิษย์ของตระกูลมาบ้าง แต่ฉินเทียนกลับเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้มันรู้สึกดี
พวกเขาทั้งสามเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง อวิ๋นม่านเข้าไปยังพื้นที่ส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำก่อนจะจัดการกับบาดแผล
ฉินเทียนนำเนื้อออกมาย่างและรับประทานกับเฮยหยานอย่างสบายใจ พวกเขากลับคล้ายพี่น้องที่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปี ทั้งสองต่างพูดคุยกันถูกคอ
ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี ในป่ากลับเกิดความปั่นป่วน สัตว์ปีศาจระดับต่ำเริ่มเลือกที่จะหลบหนี
กระบี่ที่ถืออยู่ในมือ ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผล กระนั้นมันก็ยังคงเข่นฆ่าอยู่ท่ามกลางวงล้อมของสัตว์ปีศาจ
ดุจดังเทพแห่งความตายจุติมาประทับร่าง ทุกกระบี่ที่ฟันออกไปได้ปลิดปลงชีวิตหนึ่งลง
มันเป็นผู้ฝึกตนขั้นที่เก้า เป็นราชันย์ที่เพียงเป็นรองขั้นก่อตั้งวิญญาณ
ฉินเฟิงที่ไร้เมตตา กุมกระบี่เข่นฆ่าอย่างไร้ปราณี
เสียงร้องโหยหวนของสัตว์ปีศาจยังคงดังมาให้ได้ยินภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี เสียงร้องเหล่านั้นได้ดึงดูดเหล่าสัตว์ปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้เคียงให้ติดตามร่องรอยมา……..
เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงตระกูลฉินแล้ว มันต้องการความแข็งแกร่ง นี่คือสิ่งที่มันเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า คล้ายดั่งเมล็ดพันธุ์ที่หยั่งรากลึกลงในจิตใจมัน……
เพื่อที่จะฝ่าฟันอุปสรรคในภายภาคหน้า นี่เป็นทางเดียวที่มันต้องกระทำ……