จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up - ตอนที่ 43
ตอนที่ 43 ระดับเชี่ยวชาญ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ที่กึ่งกลางลาน เสียงพูดคุยของผู้คนยิ่งมายิ่งดังจอแจ ผู้คนต่างถกเถียงกันว่าผู้ใดจะได้อันดับที่หนึ่งในปีนี้ หลายคนต่างคาดการณ์ว่าปีนี้เองเสี่ยวหยูเฟิงก็คงจะครองตำแหน่งนี้ต่อไป เพราะมันได้อันดับหนึ่งมาถึงสี่ปีติดแล้ว ตอนนี้มันยังอยู่ในระดับที่หกของขั้นก่อตั้งวิญญาณ ดังนั้นการที่มันจะได้รับอันดับที่หนึ่งอีกครั้งจึงมีความเป็นไปได้มาก
มีบางคนที่เปิดโต๊ะพนันให้ลงขัน ซึ่งอัตราของเสี่ยวหยุเฟิงจะเป็นลงหนึ่งจ่ายหนึ่ง ส่วนทางด้านของฉินเทียนจะเป็นลงหนึ่งจ่ายแปด ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าฉินเทียนย่อมไม่ใช่คู่มือของเสี่ยวหยูเฟิง
ฉินเทียนเองก็ไม่ได้ใส่ใจต่อเรื่องเหล่านี้ เขาเพียงนั่งเงียบรอคอยให้งานเริ่มขึ้น
หลังจากผ่านไปได้สิบห้านาที ประมุขของตระกูลจ้าว จ้าวอู่ตี้ก็กระแอมเบาๆก่อนจะเดินไปยังลานประลองเพื่อเปิดพิธี ในฐานะตระกูลที่เข้มแข็งที่สุดในเมืองชิงเหอแล้ว มีเพียงมันที่มีสิทธิ์เปิดงาน ซึ่งนี่ก็ทำให้ประมุขตระกูลคนอื่นๆไม่ค่อยพอใจสักเท่าใด
ผู้เข้าร่วมการประลองจะพบคู่ต่อสู้แบบสุ่ม
ในครั้งนี้มีตระกูลเข้าร่วมมากกว่าห้าสิบตระกูล แต่ละตระกูลได้จัดส่งตัวแทนออกมาตระกูลละสามคน มันจึงทำให้มีผู้เข้าร่วมการประลองมากถึงร้อยหกสิบคน
และเมื่อหลังจากการคัดออกแล้ว ผู้ที่หลงเหลืออยู่ก็จะมีไม่มาก
ก่อนที่จะเริ่มงานนั้น เสียงลั่นกลองก็ดังขึ้นมาจนทำให้โลหตในกายผู้คนสูบฉีดและรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา
มีศิษย์ราวแปดสิบคนเดินขึ้นเวทีประลองก่อนจะล้วงหยิบกระดาษใบแผ่นเล็กๆออกจากกล่อง จากนัน้พวกมันจะเดินไปแจ้งชื่อต่อคณะผู้ตัดสิน
ลานประลองถูกแบ่งออกเป็นสิบส่วนใหญ่เพื่อประหยัดเวลา ระหว่างสามรอบแรก จำนวนผู้เข้าร่วมการประลองก็จะถูกตัดทอนลงอย่างเร็ว ซึ่งหลังจากผ่านสามรอบแรกแล้วลานประลองทั้งหมดก็จะถูกรวมกลับเข้าเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง
เหล่าผู้ที่สามารถผ่านสามรอบแรกมาได้ก็ย่อมไม่มีผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นก่อตั้งวิญญาณ ดังนั้นการต่อสู้ในพื้นที่ขนาดเล็กจึงไม่เหมาะเท่าใด
ท่ามกลางเหล่าผู้ที่ถูกเรียกตัวออกไปสิบคนแรก ฉินเทียนนั้นได้อยู่ในกลุ่มที่สอง
การต่อสู้รอบแรกนั้นไม่มีอะไรมาก เหล่าผู้ที่อยู่ในขั้นผู้ฝึกตนจะถูกคัดออกอย่างรวดเร็ว
“คู่ต่อไป หยางเฉิงพบกับฉินเทียน”
เมื่อกรรมการประกาศออกมา ฉินเทียนก็เดินขึ้นเวทีและยิ้มให้หยางเฉิงอย่างไม่แยแส
“ฉินเทียน อภัยให้ข้าด้วย”
หยางเฉิงกล่าวเสียงเย็น ในเวลาเดียวกันนั้นร่างของมันก็ไหววูบและปลดปล่อยพลังปราณออกจากมาจากร่างจนก่อเป็นพลังงานไร้ลักษณ์ระเบิดออกมา มันชักกระบี่ออกจากฝักและพุ่งเข้าใส่ฉินเทียน
สำหรับคู่ต่อสู้คนแรกที่ฉินเทียนได้พบนั้นเป็นผู้บ่มเพาะขั้นก่อตั้งวิญญาณ นี่ทำให้หลายคนคิดว่าฉินเทียนนั้นโชคร้ายทีเดียวที่ต้องมาเจอผู้บ่มเพาะระดับนี้ตั้งแต่รอบแรก สองในสามของู้เข้าร่วมล้วนแล้วแต่อยู่ในขั้นผู้ฝึกตน แต่นี่เขาไม่โชคร้ายไปหรือ? กระนั้นฉินเทียนกลับหัวเราะออกมา “ผู้ที่กล่าวคำนั้นสมควรเป็นข้า”
ฉินเทียนไม่ได้ปลดปล่อยพลังปราณหรือกลิ่นอายใดๆออกมา เขายังยนอย่างสงบราวกับไร้คู่แข่งอยู่เช่นนั้น..
ขณะที่กระบี่ของหยางเฉิงกำลังจะแทงเข้าใส่ฉินเทียนนั้นเอง สองมือของฉินเทียนก็พลันขยับเคลื่อนไหว เขาไม่ได้ใช้พลังปราณ หากแต่หมัดกลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มันรวดเร็วเสียจนกระทั่งหยางเฉิงยังไม่อาจตอบสนองได้ทัน ก่อนที่กระบี่ของมันจะถูกรับเอาไว้ได้ มันก็รู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอก
ปัง!
มันลอยหวือออกไปเกือบสี่สิบก้าวก่อนจะกระแทกเข้ากับพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นร่างของมันก็หยุดนิ่งไม่ไหวติง
ฉินเทียนยังคงยืนอยู่บนเวทีอย่างองอาจ คล้ายภูผาที่ไม่อาจโยกคลอน
จากเสียงเชียร์ที่ดังสั่นก็เงียบกริบราวป่าช้า ผู้คนต่างมองฉินเทียนอย่างตกตะลึง สามารถโค่นล้มขั้นก่อตั้งวิญญาณได้ในการลงมือเพียงครั้งเดียว ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่ได้ใช้พลังปราณแต่อย่างใด เพียงหมัดธรรมดาหมัดหนึ่งยังรุนแรงถึงเพียงนั้น
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือกลิ่นอายของฉินเทียนที่นิ่งสงบราวกับสายน้ำ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง กรรมการก็ประกาศออกมา “ฉินเทียนเป็นฝ่ายชนะได้ผ่านเข้ารอบต่อไป”
จากที่เงียบเป็นป่าช้าก็พลันกระหึ่มจนกลายเป็นอึกทึก
“จบการต่อสู้ในหมัดเดียว! ช่างน่าหวาดหวั่นจริงๆ!”
“เจ้าเด็กหยางเฉิงนั่นเป็นผู้บ่มเพาะขั้นก่อตั้งวิญญาณ แน่นอนว่าย่อมต้องมีฝีมือไม่ต่ำทราม แต่ไม่คิดเลยว่าฉินเทียนกลับสามารถจัดการมันได้ในหนึ่งหมัด!”
“อัจฉริยะอันดับหนึ่งเมื่อห้าปี หลังจากกลายเป็นสวะได้ห้าปี หรือในปีนี้มันจะสามรถกู้คืนชื่อเสียงกลับมาได้อีกครั้ง?”
…………………………………..
ขณะที่เดินลงจากเวที ฉินเทียนก็พบว่ามีสายตาอยู่หลายคู่ที่จับจ้องมายังเขา จิตสังหารที่มีความต้องการฆ่าอย่างเปี่ยมล้นได้แผ่ออกมา หากแต่ฉินเทียนก็ยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น
การต่อสู้นี้เป็นเพียงการอุ่นเครื่องเท่านั้น หลังจากนี้ต่างหากจึงจะเป็นการต่อสู้ที่แท้จริง
เสี่ยวหยูเฟิง…ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ตกรอบไปซะก่อนนะ
เมื่อฉินเทียนกลับมายังที่นั่งของเขาแล้ว ศิษย์ตระกูลฉินต่างก็ลอบยินดีและตื่นเต้น ฉินเทียนได้รับชัยชนะ! นี่ราวกับพวกมันได้รับอาบไล้ลำแสงแห่งชื่อเสียงนี้ไปด้วย พวกมันสามารถเชิดหน้าชูตาต่อผู้อื่นได้แล้ว ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา ตระกูลของพวกมันได้รับอันดับต่ำสุดในสี่ตระกูลใหญ่ อย่างไรก็ตาม ในปีนี้พวกมันกลับมีความหวังขึ้นมาบ้างแล้ว
“ไม่เลว ไม่เลวเลย เพียงหนึ่งหมัดก็โค่นขั้นก่อตั้งวิญญาณลง หมัดของเจ้าได้บรรลุจุดสูงสุดของระดับแล้ว” ฉินซานเทียนหรี่ตาลงขณะเผยรอยยิ้มออกมา เมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่ประหลาดใจต่อผลลัพธ์แล้ว ความมั่นใจที่ตระกูลฉินอาจจะช่วงชิงที่หนึ่งมาได้ก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย
ในอีกด้านหนึ่ง ทั้งฉินควงและฉินเซี่ยงเทียนต่างก็ยิ้มอย่างบิดเบี้ยว พวกมันกำลังตกตะลึง ดังเช่นที่ฉินซานเทียนได้กล่าวเอาไว้ หมัดของฉินเทียนได้บรรลุระดับสูงสุดแล้วจริงๆ มันเป็นระดับของผู้เชี่ยวชาญก็ว่าได้
ในเวลานั้นพวกมันทั้งสองต่างก็คิดขึ้นในใจ “เจ้าเด็กนี่ต้องตาย”
ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน จากผู้ฝึกตนระดับที่หนึ่ง สวะที่ผู้คนต่างก็เยาะเย้ยดูถูกกลับสามารถทะยานขึ้นมาถึงขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับที่สี่ได้ นี่มันเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้อัจฉริยะแค่ไหนก็ยังทำไม่ได้!
เสี่ยวหยูเฟิงต้องใช้เวลาถึงสองปีเพื่อตัดผ่านไปยังขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับที่สี่ ขณะที่ฉินเทียนกลับใช้เวลาไม่ถึงสามเดือน
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป การจะกำจัดฉินเทียนก็ดูจะยากขึ้นเรื่อยๆ
ฉินเซี่ยงเทียนจ้องมองฉินเทียนอย่างชั่วร้าย ทั้งหมดที่มันต้องการในตอนนี้ก็คือให้เสี่ยวหยูเฟิงทิ่มแทงกระบี่ตัดขั้วหัวใจของฉินเทียนไป
………………………………
“ดั่งเช่นที่คาดไว้ มันสามารถเอาชนะขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับที่สี่ได้”
จ้าวอู่ตี้คิดขึ้นอย่างประหลาดใจ “ตระกูลฉินกลับมีสัตว์ประหลาดเช่นนี้ผุดขึ้นมา!”
“ท่านพ่อ เป็นมันที่สร้างความอัปยศให้กับข้า!” จ้าวเจียงหนานอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก เมื่อมันมองเห็นฉินเทียน ความเกลียดชังที่อยู่ในใจก็พลันปะทุขึ้นและฉายออกทางแววตา
“นายน้อยโปรดวางใจ หากว่าข้าพบมันในการประลอง ข้าจะไม่ปราณีต่อมัน” จ้าวยี่กระซิบด้วยน้ำเสียงเย็นชาอยู่ด้านข้างจ้าวเจียงหนาน
จ้าวอู่ตี้จึงด่าทอมัน “เจ้าไม่ใช่คู่มือมัน จ้าวคง เจ้าจะได้พบกับมันแน่ เมื่อเวลานั้นมาถึง จงอย่าได้ปราณีต่อมันให้สังหารมันซะ…”
มีเจ้าของดวงตาแดงฉานคู่หนึ่งอยู่ที่ด้านหลังจ้าวอู่ตี้ มันฉีกยิ้มเย็นชาและขานรับ “ขอรับ!”
จ้าวเจียงหนานยิ้มออกมา ในเมื่อจ้าวคงเป็นผู้ลงมือแล้ว ฉินเทียนแน่นอนว่าย่อมไม่มีทางรอด
หลังจากเก็บตัวฝึกฝนมาตลอดห้าปี แน่นอนว่าศิษย์ผู้นี้ย่อมต้องแข็งแกร่งอย่างมาก
ศิษย์ผู้นี้ได้รับการชี้แนะจากจ้าวอู่ตี้ด้วยตนเอง เป้าหมายก็เพื่อกำจัดอัจฉริยะของตระกูลอื่นๆ ซึ่งเป้าหมายของมันในปีนี้ก็คือ เสี่ยวหยูเฟิง แต่หลังที่ฉินเทียนได้แสดงพลังออกมาแล้ว ความนใจของมันก็พุ่งเป้าไปยังฉินเทียนแทน
เพื่อลบล้างความอัปยศที่ฉินเทียนได้สร้างเอาไว้ การสังการฉินเทียนจึงเป็นเสมือนการกระตุ้นเตือนตระกูลฉินอย่าได้ล้ำเส้นไป
นี่ยังเป็นการประกาศให้ชาวเมืองชิงเหอได้รับทราบว่าตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองชิงเหอก็คือตระกูลจ้าว
ฉินเทียนนั่งรอคอยอย่างเรียบเฉย ครึ่งเดือนที่ต้องตรากตรำเพื่อตัดผ่านไปยังขั้นก่อตั้งวิญญาณได้ทำให้เขามีเวลาในการทำความเข้าใจในหลายสิ่ง
และสำหรับการประลองนี้ มันนับเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะทดสอบพวกมัน
กล่าวไปแล้วผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดก็ไม่ใช่อะไร นอกจากหินรองเท้าให้เขาเหยียบก้าวขึ้นไป….