จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up - ตอนที่ 61
จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 61 ขัดขวาง
ณ ที่แห่งหนึ่งภายในเทือกเขาคุนหลุน
คนกลุ่มหนึ่งกำลังก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างระแวดระวัง ทั้งหมดเก็บซ่อนกลิ่นอายเพื่อหลบหลีกจากพวกสัตว์ปีศาจ หากเลี่ยงไม่ได้พวกเขาก็จะรีบลงมือแล้วออกเดินทางต่อ
“ตามสัญลักษณ์บนแผนที่นี้แล้ว พวกเราสมควรอยู่ห่างไม่มาก”
บุรุษคนหนึ่งหยิบเอาแผนที่ที่มีสภาพเก่าและขาดออกมา หลังจากเปรียบเทียบแผนที่กับสภาพแวดล้อมที่เบื้องหน้าแล้ว มันก็ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก
“ฉางเฟิง เจ้าแน่ใจหรือ? เทือกเขาคุนหลุนกว้างใหญ่ไพศาล ผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจกลายเป็นใหญ่หลวงได้เลยนะ”
ฉางเฟิงกวาดมองผู้คนโดยรอบ ก่อนจะกล่าวตอบอย่างหนักแน่น “พี่หลี่ ข้ามั่นใจว่ามันถูกต้อง”
“ดี เช่นนั้นพวกเราพักเอาแรงกันก่อน จากนั้นจึงค่อยไปจัดการราชาซากศพ” หลินหยานตะโกนบอกก่อนจะเอนตัวพิงก้อนหิน มันหยิบเม็ดหยางเฉิงออกมากลืนและปิดตาเข้าฌาน
คนกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยคนห้าคน นอกจากฉางเฟิงและผู้นำกลุ่มหลินหยานแล้ว ยังมีฟางขุย เสวี่ยติงซาน และหญิงคนเดียวภายในกลุ่ม ยี่เชียนหาน นางมีสีหน้าที่เย็นชา นางไม่ได้เอ่ยคำพูดแม้แต่คำเดียวตลอดการเดินทาง
นางมีรูปโฉมงดงาม ผิวพรรณนวลเนียนไร้ตำหนิ หากแต่ท่าทีที่เย็นชาของนางทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้
ฉางเฟิงเก็บแผนที่พลางล้วงเอายาหยางเฉิงมากลืน จากนั้นจึงหันไปหลินหยาน “ได้ยินมาว่าหยางฮั่นเองก็รับภารกิจนี้มาเช่นกัน ทั้งยังนำบุตรีของผู้อาวุโสซุนมาด้วย ครั้งนี้….”
หลินเฟิงลืมตาพลางกล่าวว่า “ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถรับภารกิจของสำนักเทียนจี๋ ไม่ต้องคิดมากแล้ว ผู้ใดทำภารกิจสำเร็จก่อน ผู้นั้นก็รับเอารางวัลไป”
“นั่นสินะ แต่ข้ากลัวว่าหยางฮั่นจะเล่นไม่ซื่อ อย่างไรเสียมันก็ขึ้นชื่อด้านความชั่วร้าย เจ้าลืมสิ่งที่มันกระทำกับเจ้าไปแล้วหรือ มันทำให้เจ้าขาดคุณสมบัติในการเป็นศิษย์สายใน…คนผู้นี้ไม่อาจประมาทได้” ฉางเฟิงกล่าวเตือนคนในกลุ่ม
ในการแข่งขันเพื่อเป็นศิษย์สายในนั้น หากไม่ใช่เพราะหยางฮั่นวางกับดักแล้ว หลินหยานก็คงได้เป็นศิษย์สายใน ในฐานะสหายของหลินหยาน ฉางเฟิงรู้สึกว่านี่ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน หลินหยานก็ทราบว่าตนติดกับ ทว่านั่นก็สายเกินไปเสียแล้ว มันสูญเสียคุณสมบัติที่จะกลายเป็นศิษย์สายใน และนั่นก็ทำให้มันถูกกดขี่จากหยางฮั่นเรื่อยมา
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากได้เป็นศิษย์สายในได้ไม่นาน หยางฮั่นก็เข้าร่วมกับกลุ่มฟ้าพิโรธ กลุ่มฟ้าพิโรธนั้นเป็นกลุ่มทรงอิทธิพลของสำนักเทียนจี๋ อย่างไม่มีทางเลือก หลินหยางถูกบีบบังคับให้ต้องไปสังหารราชาซากศพที่ส่วนลึกของเทือกเขาคุนหลุนเพื่อสะสมความดีความชอบและพยายามจะเข้าเป็นศิษย์สายในอีกครั้ง
ราชาซากศพนั้นถือกำเนิดจากโลหิตของจ้าวปีศาจที่บ่มเพาะมาหลายพันปี ดังนั้นมันจึงแข็งแกร่งยิ่ง ในกลุ่มของหลินหยานนั้น มีเพียงหลินหยานที่อยู่ในขั้นกลั่นวิญญาณระดับหนึ่ง คนอื่นๆเพียงอยู่ในขั้นรวบรวมวิญญาณเท่านั้น สำหรับการเข้าสู่เทือกเขาคุนหลุนที่เก้าตายหนึ่งรอด ทั้งยังต้องไปสังหารราชาซากศพด้วยแล้ว ฉางเฟิงไม่มั่นใจว่าจะทำได้สำเร็จ
แม้กระนั้น พวกมันก็ไม่มีทางเลือก การจะเลือกภารกิจทั่วไปคงไม่ได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงเลือกรับภารกิจที่มีความเสี่ยงสูงเช่นนี้มา แต่พวกมันก็คาดไม่ถึงว่าหยางฮั่นจะรับภารกิจนี้มาเช่นเดียวกัน
นี้คล้ายเป็นการบีบพวกมมันให้หมดหนทาง
แววตาของหลินหยานฉายความแน่วแน่ขณะที่กวาดมองผู้คนในกลุ่ม ในใจของมันรู้สึกตื้นตันยิ่ง นับตั้งแต่หยางฮั่นได้กลายเป็นศิษย์สายใน พวกมันก็ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก กระนั้นสหายเหล่านี้ก็ไม่เคยทอดทิ้งมันไป
หลินหยางรู้สึกติดหนี้บุญคุณสหายเหล่านี้ และเพื่อเป็นการหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ มันก็จำต้องเลือกรับภารกิจที่เสี่ยงอันตรายนี้
และสำหรับหยางฮั่น หลินหยางเกลียดคนผู้นี้เข้ากระดูกดำ ทว่าการบ่มเพาะของมันยังคงด้อยกว่า การล้างแค้นจึงเป็นเรื่องที่กระทำได้ยากเย็น ทั้งอีกฝ่ายยังมีผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่ง กลุ่มฟ้าพิโรธ
ทั้งกลุ่มออกเดินทางกันต่อ….
……………………………………
ฉินเทียนไม่รู้สึกร้อนใจใดๆ เขายังคงทิ้งระยะห่างจากกลุ่มหยางฮั่นหนึ่งกิโลเมตร เขาลอบติดตามคนกลุ่มนี้เพื่อหาเป้าหมายที่ทำให้คนเหล่านี้เข้ามาภายในเทือกเขาคุนหลุน
กลุ่มคนทั้งห้านี้มีฝีมือไม่ต่ำทราม ผู้นำกลุ่มหยางฮั่นก็เป็นผู้บ่มเพาะขั้นกลั่นวิญญาณ ฉินเทียนคาดเดาจุดหมายของพวกเขาไม่ออก ดูจากความแข็งแกร่งของกลุ่มแล้ว พวกเขายังคงอ่อนแอเกินกว่าจะไปสังหารสัตว์ปีศาจระดับห้า จากการเฝ้าสังเกตการแสดงออกและทิศทางที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปแล้ว พวกเขาไม่คล้ายกับคนไม่มีเป้าหมาย กลับกัน พวกเขากำลังเร่งรีบเดินทางไปยังเป้าหมาย
ฉินเทียนนั้นคุ้นเคยกับบริเวณที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไป กระนั้นพื้นที่แถบนั้นก็ไม่คล้ายมีความพิเศษอะไร
เว้นก็แต่ซากโบราณสถาน
“ซากโบราณสถาน?”
ฉินเทียนขมวดคิ้วพลางดำดิ่งไปในภวังค์ ตัวเขาเคยไปที่นั่นมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง นอกจากสายลมที่พัดเป็นครั้งคราวแล้ว ที่นั่นก็ไม่เห็นจะมี…เว้นเสียแต่มันจะถูกฝังอยู่ใต้ซากโบราณสถานนั้น?
คิดเช่นนั้น หัวใจของเขาก็เต้นแรง ทุกอย่างกระจ่างแล้ว “พวกมันต้องกำลังมุ่งหน้าไปที่ซากโบราณสถานนั้น”
ที่ซากโบราณสถานนั้นคล้ายมีค่ายกลที่ก่อบรรยากาศอันเย็นยะเยือกเป็นครั้งคราว หากแต่ค่ายกลนั้นก็คล้ายมีสัญญาณของการคลายตัว ราวกับว่ากำลังมีบางสิ่งบางอย่างพยายามจะออกมา ใต้ซากโบราณสถานนั้นจะต้องมีบางอย่างซ่อนตัวอยู่เป็นแน่
ฉินเทียนพลันเพิ่มความเร็วมุ่งหน้าไปยังซากโบราณสถานนั้นพลางปกปิดร่องรอยไปด้วย
การคาดเดาของฉินเทียนนั้นถูกต้อง หยางฮั่น หนานกวนหยานและพรรคพวกกำลังมุ่งหน้าไปซากโบราณสถานจริงๆ
หากแต่เมื่อพวกเขามาถึงนั้น กลุ่มของหลินหยานทั้งห้าก็มาถึงก่อนก้าวหนึ่งแล้ว พวกหลินหยานกำลังค้นหาทางเข้าของมัน
หยานฮั่นแค่นเสียงพลางเดินตรงเข้าหาอีกฝ่ายก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลน “พี่หลิน ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้? อาศัยท่านที่เป็นเพียงขั้นกลั่นวิญญาณระดับหนึ่งก็สามารถสังหารราชาซากศพได้หรือ? เพื่อความปลอดภัย ข้าแนะนำให้ท่านรีบไสหัวกลับไปโดยไว มิเช่นนั้นท่านต้องตายอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน”
คำ ‘ตาย’ ถูกเน้นย้ำเป็นพิเศษ หยางฮั่นเปิดเผยจิตสังหารออกมาอย่างชัดเจน
สำหรับหลินหยาน มันรู้จักหยางฮั่นดี สิ่งแรกที่หยางฮั่นกระทำเมื่อได้กลายเป็นศิษย์สายในก็คือการเขี่ยหลินหยานให้พ้นทาง กลั่นแกล้งไม่ให้หลินหยานก้าวหน้า นั่นก็คือเหตุผลที่มันเข้าร่วมกับกลุ่มทรงอำนาจอย่างกลุ่มฟ้าพิโรธ นั่นก็เพื่อกดหัวหลินหยานเอาไว้
และด้วยเหตุนั้น หลายปีที่ผ่านมาพวกหลินหยานจึงถูกบีบบังคับให้จนตรอก
และภารกิจในคราวนี้ เป้าหมายของหยางฮั่นก็คือการขัดขวางไม่ให้กลุ่มของหลินหยานได้สร้างผลงานใดๆ
ใบหน้าของหลินหยานเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว แต่ก่อนที่เขาจะได้เปิดปากตอบโต้ไปนั้น อาซานที่อยู่ด้านข้างหนานกวนหยานก็ก้าวออกมาคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าพวกชั้นต่ำ! บุตรีท่านผู้อาวุโสอยู่ที่นี่แล้ว ยังไม่รีบแสดงคารวะอีก!”
หนานกวนหยานยิ้มอย่างพึงพอใจให้อาซาน นางรู้สึกดีใจที่ไม่เข่นฆ่าสมุนผู้นี้ไป มิเช่นนั้นจะมีผู้ใดออกหน้าให้นาง?
หลินหยานแลบะกลุ่มโค้งตัวแสดงความเคารพ เว้นก็แต่ยี่เชียนหาน
“เจ้าหูหนวกหรือ?” อาซานชี้หน้าพลางตะคอกใส่ยี่เชียนหาน
“พอแล้ว” หยางฮั่นหัวเราะอย่างชั่วร้าย มันชำเลืองยี่เชียนหานแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับมากล่าวกับหลินหยาน “พวกเจ้ายังอยู่ที่นี่ทำอะไร? ยังไม่ไปอีก?”
“ฮึ่ม…เจ้าคนสกุลหยาง ไม่คิดว่าเจ้ากำลังแสดงอำนาจบาตรใหญ่ไปหรือ?” ฉางเฟิงตะโกนก่อนจะขบฟันจ้องหยางฮั่นเขม็ง กระทั่งแบกรับภารกิจที่เสี่ยงอันตรายเดินทางเข้าสู่เทือกเขาคุนหลุน หยางฮั่นก็ยังตามมาไล่ต้อนพวกมันให้จนมุม
“เจ้ากระทั่งยังไม่มีคุณสมบัติจะเอ่ยปากกล่าววาจากับข้า….”
พร้อมกล่าวเช่นนั้น พัดของมันก็คลี่กางออกพร้อมจิตสังหาร กลิ่นอายอันแข็งแกร่งของมันพุ่งตรงเข้าใส่ฉางเฟิง
…………………………….
พริบตานั้นหลินหยานขมวดคิ้ว กระบี่ที่สะพายอยู่ด้านหลังพลันลอยออกจากฝักก่อตัวเป็นรังสีกระบี่สีทอง มือทั้งสองยกขึ้นเพื่อควบคุมกระบี่ให้ฟาดฟันเข้าต้านรับการโจมตีของหยางฮั่น
เปรี้ยงงงงง!
แรงปะทะที่เกิดขึ้นทำให้หลินหยานต้องก้าวถอยหลัง โลหิตสีแดงไหลรินจากมุมปาก มันจ้องมองหยางฮั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ลึกๆในใจของมันรู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่ง ‘มันตัดผ่านไปอีกระดับแล้ว?’
“เหอะ…” หยางฮั่นแค่นเสียง “ไม่ทันสังเกตหรือ? ฮ่าฮ่า…ตอนนี้ข้าอยู่ในขั้นกลั่นวิญญาณระดับห้าแล้ว แค่ขั้นกลั่นวิญญาณระดับหนึ่งเยี่ยงเจ้ายังไม่มีปัญญาเอาชนะข้าได้”
“ตอนนี้ในเมื่อเจ้าทราบแล้วก็จงไสหัวไปซะ! มิเช่นนั้นก็อย่าได้ตำหนิข้าที่จะสังหารพวกเจ้าสักหลายคน!”