จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up - ตอนที่ 93
จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 93 ระเบิด!
ปีศาจคือสิ่งใด?
กระทำทุกสิ่งตามปรารถนา ไร้ซึ่งข้อผูกมัดใดๆ บุกเบิกเส้นทางจากการฆ่า
ปีศาจสวรรค์ ประกอบรวมด้วยปราณชั่วร้าย ปราณโลหิตปีศาจ ปราณจิตมุ่งร้าย และปราณที่แข็งกร้าว มีพลังงานสี่ชนิดประกอบรวมกัน เกิดเป็นพลังอันแข็งแกร่งขึ้นมา
ร่างกายของฉินเทียนในตอนนี้ขยายใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว ทั่วร่างเปี่ยมล้นด้วยพลัง มีเพียงคำเดียวที่สามารถใช้อธิบาย ‘เกิดใหม่’
สิ่งที่ทำให้ฉินเทียนรู้สึกสดชื่นยิ่งกว่าคือหมอกดำที่ก่อนนี้ยังเป็นเพียงกลุ่มก้อนขมุกขมัว ตอนนี้เกิดมีตัวตนภายใต้การมองด้วยเนตรโลหิตของเขาแล้ว
———————-
วิญญาณร้าย: ผู้ไม่ตาย
ระดับ: 5
พลังชีวิต: 100,000
ค่าประสบการณ์: 50,000
พลังปราณ: 10,000
เพิ่มเติม: วิญญาณร้ายที่ก่อตัวขึ้นจากปราณจิตมุ่งร้ายของปีศาจเก้าสวรรค์
———————-
“ร่างจำแลงของปีศาจ?” ฉินเทียนมองดูหน้าต่างสถานะของวิญญาณร้าย ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวคือ ‘ร่างจำแลง’ “หากว่านี่เป็นเพียงร่างจำแลง แบบนั้นร่างจริงจะแข็งแกร่งถึงขั้นไหน?”
วิญญาณร้ายมีร่างกายสีดำ ดวงตาทั้งคู่เปล่งแสงสีเขียวเข้ม แขนขาทั้งสี่ของมันดูคล้ายแท่งเหล็ก ปราณจิตมุ่งร้ายไหลหลั่งออกจากร่างไม่หยุด สร้างเป็นพลังปราณที่เย็นยะเยือกและน่ากลัวยิ่ง
หลังจากเปิดใช้งานโหมดปีศาจ และมองดูร่างกายของวิญญาณร้ายที่เบื้องหน้า ฉินเทียนก็แสยะยิ้ม แม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้ม หากแต่มันกลับแฝงไว้ด้วยจิตสังหารอันท่วมท้น “ถุยเถอะ คิดว่าบิดาตีเจ้าไม่ได้เหรอ บิดาจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้เลย!”
วิญญาณร้ายสั่นเทิ้มขณะที่มองมายังฉินเทียน ราวกับไม่อยากจะเชื่อต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ฉับพลัน หอกดำมะเมี่ยมเล่มหนึ่งก็ขึ้นรูป
“บ้าคลั่งขั้นที่หนึ่ง!”
ฉินเทียนแค่นเสียง เปิดใช้บ้าคลั่งขั้นที่หนึ่งด้วยร่างปีศาจสวรรค์ เมื่อค่าสถานะเพิ่มขึ้นสี่เท่า เขาก็แข็งแกร่งไร้ประมาณ “บิดาอยากจะเห็นนักว่าจะตีเจ้าจนตายได้หรือไม่”
“ตาย!”
กลิ่นอายชั่วร้ายที่เกิดขึ้นจากปีศาจสวรรค์นั้นเหนือล้ำกลิ่นอายชั่วร้ายของวิญญาณร้ายไปไกลลิบ เผชิญกับหอกดำที่อยู่ในมือวิญญาณชั่วร้าย ใบหน้าของฉินเทียนยังคงนิ่งเฉย นี่ก็คือความเย่อหยิ่งของปีศาจสวรรค์บรรพกาล รับมือกับวิญญาณชั้นต่ำอย่างรังเกียจเดียดฉันท์
เป็นความรังเกียจเดียดฉันท์ที่หยั่งรากลึกอยู่ในกระดูก
หอกพุ่งแทงทะลุฟ้า นำพากลิ่นอายแห่งความตายให้ขยับเคลื่อนไหว
ฉินเทียนหัวเราะก่อนที่สองมือจะสร้างหัตถ์ปราณขึ้นนับพัน เมื่อฝ่ามือเหล่านั้นรวมตัวกัน ก็เกิดเป็นฝ่ามืออันใหญ่โตข้างหนึ่ง หัตถ์นั้นคว้าจับหอกดำไว้ แววตาเย็นเยียบปรากฏขึ้นวูบ ร่างกายของฉินเทียนพลันระเบิดพลังออกมา หอกที่ถูกคว้าจับถูกซัดขว้างออกไป
“ให้ตายเถอะ ทรงพลังจริงๆ!” ฉินเทียนตะโกนอย่างตื่นเต้น “น่าสนุกนี่!”
เขาย่อมคิดไม่ถึงอยู่แล้วว่าการเปิดใช้โหมดปีศาจจะทำให้แข็งแกร่งจนน่ากลัวขนาดนี้ นี่มันเกินกว่าที่จินตนาการไว้เสียอีก
ถึงกระนั้น โหมดปีศาจอันไร้เทียมทานนี้กลับใช้ได้แต่กับเผ่าปีศาจ หากใช้สู้กับผู้บ่มเพาะจากสำนักธรรมะที่มีเครื่องรางแข็งแกร่งแล้ว กลิ่นอายชั่วร้ายก็จะถูกสะกดข่ม การใช้งานช่างยุ่งยากเสียจริง
อยู่ในแดนปีศาจแล้ว ไม่ว่าปีศาจสวรรค์ปรารถนาสิ่งใด ไม่มีผู้ใดหยุดยั้งได้
ตูม…..
วิญญาณร้ายถูกเหวี่ยงกระเด็นไปกระแทกก้อนหินอย่างหนักหน่วง มันลุกขึ้นก่อนจะพุ่งแทงหอกออกมาอย่างเดือดดาล
“โดนจังๆ”
“เจ็บล่ะสิ?”
“บิดาอยากจะดูนักว่าเจ้าตายเป็นหรือไม่”
เมื่อโจมตีสำเร็จ ฉินเทียนก็ทะยานตามติดไป เมื่ออยู่กลางอากาศก็เรียกใช้ทักษะเงาโลหิต เกิดเป็นเงาร่างปรากฏขึ้นนับไม่ถ้วน จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นแปด………
ก่อนที่สุดท้าย เงาโลหิตจะปรากฏตัวขึ้นเกลื่อนฟ้า
ฉินเทียนตื่นเต้นอีกแล้ว พลังแบบนี้มันสุดยอดเสียจริง แข็งแกร่งไปแล้ว “เงาโลหิต ทักษะระเบิด!”
เกิดเป็นเสียงดังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน พื้นดินสั่นไหว ท้องนภาบิดเบี้ยว เสียงฟ้าร้องดังครืนๆไม่หยุดราวกับท้องฟ้าจะถูกฉีกทำลาย
ด้วยความคิด เงาโลหิตนับหมื่นร่างก็เปลี่ยนเป็นสีดำก่อนจะพุ่งเข้าไปในร่างของวิญญาณร้าย………..
หนึ่งร่าง สองร่าง สามร่าง……….
หลังจากเข้าไปทั้งหนึ่งหมื่นร่างแล้ว ฉินเทียนก็ฉีกยิ้มโหดเหี้ยม ดวงตาสีเลือดฉายแววตื่นเต้น “ตาย!”
“ระเบิด!”
วิญญาณร้ายไม่สามารถป้องกันการรุกรานจากเงาโลหิตได้เลย หอกดำในมือกลายเป็นไร้ประโยชน์ ราวกับสถานการณ์ถูกเปลี่ยนพลิก ฉินเทียนในตอนนี้คล้ายเป็นหมอกดำที่โจมตีไม่ผลบ้างแล้ว
ดวงตาสีเขียวเข้มเต็มไปด้วยแววไม่ยินยอมพร้อมใจ หอกในมือปัดป่ายไม่หยุดยั้ง สร้างเป็นพลังชั่วร้ายที่ทรงพลังกว่าเก่า แต่ฉินเทียนที่มีร่างปีศาจสวรรค์ไม่มีท่าทีเกรงกลัว การโจมตีของวิญญาณร้ายทำได้เพียงสะกิดเกาให้กับเขา ไร้ภัยคุกคามโดยสิ้นเชิง
ครืน ครืน ครืน…………
วิญญาณร้ายตกอยู่ในสภาพเกรี้ยวกราด ตัวมันเป็นถึงอสูรวิญญาณร้ายระดับห้า ผู้กุมพลังชั่วร้ายเอาไว้เต็มมือ กระนั้นกลับไม่อาจหลบหนีจากการระเบิดของเงาโลหิตทั้งหนึ่งหมื่นร่างที่อยู่ภายใน
ยิ่งไปกว่านั้น การระเบิดยังสูบกลืนพลังชั่วร้ายของมันอย่างต่อเนื่อง ระเบิดครั้งหนึ่ง พลังชั่วร้ายของมันก็ลดลงส่วนหนึ่ง….
หลังการระเบิดชุดใหญ่ วิญญาณร้ายก็ทนไม่ไหวแล้ว ร่างกายสีดำของมันบวมเบ่งก่อนจะระเบิด ‘ตูม’
ตายจากการระเบิด
“ขอแสดงความยินดีต่อผู้เล่น ‘ฉินเทียน’ สำหรับการสังหารสัตว์อสูรวิญญาณร้ายระดับห้า ได้รับค่าประสบการณ์ 50000 หน่วย พลังปราณ 10000 จุด ค่าการรอดชีวิต 0……”
“ขอแสดงความยินดีต่อผู้เล่น ‘ฉินเทียน’ สำหรับการได้รับ หอกวิญญาณทมิฬ….”
“ขอแสดงความยินดีต่อผู้เล่น ‘ฉินเทียน’ สำหรับการเปิดภารกิจระดับ S” : สังหารปีศาจเก้าสวรรค์ในสามวัน การทำภารกิจล้มเหลวจะทำให้ผู้เล่นติดอยู่ในแดนปีศาจตลอดไป”
“โหมดปีศาจสิ้นสุด กลับคืนร่างเดิม”
………………………………….
การแจ้งเตือนจากระบบดังขึ้นต่อเนื่อง ฉินเทียนที่เลือดลมสูบฉีดในตอนแรกกลายเป็นห่อเหี่ยวในตอนท้าย
สายตาจับจ้องในที่ห่างไกลอย่างเหม่อลอย จากนั้นค้อยคำสาปแช่งก็ถูกพ่นออกมาเป็นชุด สุดท้ายก็ร่ำร้องออมา “ท่านปู่ระบบ หรือชีวติของบิดาไม่มีค่าอะไรเลย? ภารกิจระดับ S มารดาเจ้าสิ ให้แล้วให้อีก เจ้าเคยคิดถึงจิตใจข้าบ้างหรือไม่?”
“ลืมเรื่องกระตุ้นเปิดภารกิจไปก็ได้ แต่เจ้าจะสร้างเงื่อนไขว่าหากภารกิจล้มเหลวแล้ว บิดาจะต้องติดแหง่กอยู่ที่บัดซบนี่มาด้วยทำไม?”
“เคยคิดหรือไม่ว่าถ้าข้าตาย เจ้าก็อาจจะหายไปด้วย?”
“มารดาเจ้าสิ เจ้ามันไร้ความรับผิดชอบ!”
ฉินเทียนทิ้งตัวลงนั่งอย่างโมโห มาวมาวมุดโผล่ออกมาจากที่ใดก็ไม่อาจทราบ มันวิ่งเข้ามาหาฉินเทียนด้วยท่าทางอ่อนแอ ก่อนจะทำหน้าตาน่ารัก ดวงตาสีแดงเข้มของมันเผยความตั้งใจจะปลอบโยนราวกับไม่ต้องการเห็นเขาไม่มีความสุข
“ไฮ๊ ระบบเสงเคงเอ๊ย!”
หลังจากถอนใจยาว ฉินเทียนก็ลุกขึ้นมองไปยังร่างของวิญญาณร้ายที่เป็นกลุ่มพลังงานสีดำ
เมื่อไม่ได้อยู่ในโหมดปีศาจ เขาก็ไม่อาจมองเห็นร่างจริงของมัน ทันใดนั้นกลุ่มพลังงานสีดำก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนจะรวมตัวกัน เกิดเป็นลูกบอลสีแดงขนาดใหญ่ จากนั้นจึงพุ่งหายเข้าไปในหุบเขา………
ฉินเทียนตกตะลึงพลางนึกถึงภารกิจระดับ S วิญญาณร้ายเป็นร่างจำแลงของปีศาจเก้าสวรรค์ที่ถูกส่งแยกย้ายมาดูดซับแก่นโลหิตของพวกสัตว์อสูร พลังงานสีแดงกลุ่มนั้นชัดเจนว่าเป็นแก่นโลหิตที่ดูดซับมาจากฝูงอสูรใบมีดก่อนหน้า
ภายในหุบเขา เมฆบนฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ขณะที่มีสายฟ้าวูบวาบอยู่เป็นระยะ
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แววตาของฉินเทียนก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่ “ไปดูสักหน่อยแล้วกัน……”