จอมศาสตราพลิกดารา - ตอนที่ 62
การสนทนาไร้ซุ่มเสียงระหว่างขอทานเฒ่าและนักพรต แม้แต่หลี่มู่ก็สัมผัสไม่ได้
หลี่มู่ไม่รู้กระทั่งว่าขอทานเฒ่ากับสุนัขตัวนั้นจากไปตั้งแต่เมื่อไหร่
สุดท้าย ผู้คนที่ซากพรรคเสินหนงก็แยกย้ายกันไป
หลี่มู่ขี่ม้าขาวพาเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยสองคนมุ่งหน้าไปยังที่ว่าการอำเภอ โดยมีนายทะเบียนเฝิงหยวนซิง หัวหน้าองครักษ์หม่าจวินอู่ และเหล่ามือปราบรายล้อมตามมา
เสียงยินดีปรีดาค่อยๆ ดังมาจากทุกตรอกซอกซอยตลอดทาง
ในยามนี้เอง บุคคลที่ซ่อนอยู่ในที่มืดทั้งหลายจึงค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น
“ฟู่ ขุนนางเมืองคนนี้น่าสนใจทีเดียว”
ชายหนุ่มผมขาวราวน้ำค้างแข็งพลันปรากฏตัวขึ้นบนเวทีประลอง ราวกับเดินออกมาจากคลื่นน้ำกลางอากาศ
ใบหน้าเย็นชาราวเกล็ดน้ำค้างแข็งเผยแววประหลาดใจอย่างที่เห็นได้ยาก
ชายหนุ่มผมขาวผู้นี้มองแผ่นหลังที่จากไปไกลของพวกหลี่มู่ คล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็แบกกระบี่โบราณจากเศษซากพรรคเสินหนงไปเช่นกัน
ที่จริงแล้วเขาก็อยู่ที่นั่นมาตั้งแต่แรก
แต่กลับไม่มีใครรับรู้ถึงตัวตนของเขา
สองสำนักใหญ่อะไรที่ว่านั่น ต่อให้เป็น ‘มือเหล็กสะท้านฟ้า’ เถี่ยเจิ้นตงจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในยุทธภพทิศพายัพ ในสายตาของเขาระดับนี้ก็เหมือนกับมดปลวก โดยปกติแล้วมดปลวกสู้กันเขาจึงไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
แต่ครั้งนี้ เขามายังอำเภอขาวพิสุทธิ์เพราะเหตุผลอะไรบางอย่าง
เพียงแต่เพราะรออย่างเบื่อหน่ายเกิน จึงเกิดสนใจมาดูละครฉากนี้คลายอารมณ์เบื่อ
คิดไม่ถึงว่ากลับได้เจอเรื่องสนุกที่เหนือความคาดหมาย
ขุนนางเมืองที่แม้แต่เขาก็มองไม่ค่อยออกคนหนึ่ง ข้างกายยังมีเด็กรับใช้บัณฑิตแบบนั้นอีก
กลิ่นอายปีศาจเข้มข้นไร้ขอบเขต
ใครเป็นปีศาจกันแน่?
ขุนนางเมือง?
หรือเด็กรับใช้บัณฑิตน้อย?
……
“เอ๋ ไม่นึกว่าจะมีเรื่องแบบนี้ด้วย”
ในโรงเตี๊ยม ‘หน้าเซียน’ โจวเข่อเอ๋อร์ผู้สืบทอดของสำนักดับนิวรณ์นอนเอนเท้าเปล่าอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ครั้นฟังคำของผู้สืบทอดสำนักดับนิวรณ์อีกคนหนึ่งหรือก็คือญาติผู้พี่ ‘ใจมาร’ หลิงลี่จบ ร่องรอยตื่นตกใจก็ปรากฏบนใบหน้าบริสุทธิ์ผุดผ่อง
“คนที่ลงมือไม่ใช่ต้าเจ๋อเปี๋ยแห่งที่ราบทุ่งหญ้า แต่เป็นขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์หลี่มู่ ‘ธนูรั้งจันทรา’ อยู่ในมือของเขา” ใบหน้าหยินหยางของ ‘ใจมาร’ หลิงลี่เผยยิ้มหยอกล้อ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “น้องหญิง เหมือนว่าครั้งนี้เจ้าจะทายผิดแล้ว”
ยากที่จะได้เห็นญาติผู้น้องที่ฉลาดมากเล่ห์ของตนผู้นี้ผิดพลาด อารมณ์ของเขาไม่เลวเลยทีเดียว
รอยยิ้มเช่นนี้ของเขาก็เผยต่อหน้าญาติผู้น้องเท่านั้นเช่นกัน
‘ใจมาร’ หลิงลี่ ผู้สืบทอดที่โดดเด่นที่สุดของสำนักดับนิวรณ์ในยุคนี้ จิตใจเหี้ยมโหด มือเปื้อนโลหิต สังหารมานับไม่ถ้วน คนที่ตายด้วยน้ำมือเขามีทั้งผู้เฒ่ามากบารมีในยุทธจักรและเด็กน้อยไร้เดียงสา จิตสังหารรุนแรง ได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะแนวหน้าในประวัติศาสตร์ของสำนักดับนิวรณ์
หลิงลี่ตั้งแต่เด็กนิสัยดื้อรั้น อารมณ์รุนแรง ยามหุนหันพลันแล่นเหมือนคนบ้า
โดยปกติเขาฟังแค่สองคนเท่านั้น
หนึ่งคืออาจารย์ของเขา ซึ่งก็ตายไปแล้ว
อีกคนหนึ่งคือญาติผู้น้อง ‘หน้าเซียน’ โจวเข่อเอ๋อร์
เขาและโจวเข่อเอ๋อร์สองคนร่วมเรียงเคียงคู่ ไม่เคยแยกจากกัน ในยุทธภพขนานนามรวมกันว่า ‘หน้าเซียนใจมาร’ เป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ของสำนักเก่าแก่ดับนิวรณ์ ทั้งยังเป็นอันดับสองของผู้แข็งแกร่งรุ่นหนุ่มสาวที่มีชื่อเสียงที่สุดในช่วงสิบกว่าปีมานี้ของจักรวรรดิต้าฉิน
“ข้าไม่ใช่เทพเซียนเสียหน่อย จะได้เดาถูกทุกอย่าง” ได้ยินคำหยอกล้อของญาติผู้พี่ ใบหน้าบริสุทธิ์ดั่งเซียนของโจวเข่อเอ๋อร์ก็ทำกระเง้ากระงอด
ฉายาของนางในยุทธภพคือ ‘หน้าเซียน’ ก็เพราะใบหน้าที่บริสุทธิ์ราวเทพธิดา แต่ความจริงเล่า? ยอดฝีมือและอัจฉริยะตายอยู่ในเงื้อมมือของนางไม่รู้มากเท่าใดแล้ว
สตรีที่มีพรสวรรค์ ตำแหน่ง ความสามารถ และสติปัญญาโดดเด่นเหนือผู้อื่นเช่นนี้ กลับเป็นคู่ชู้ชื่นกับญาติผู้พี่ที่มีใบหน้าหยินหยางดำครึ่งขาวครึ่งอัปลักษณ์เช่นนั้น ทำให้คนต้องตื่นตะลึงไปไม่รู้ต่อเท่าไหร่
“ข้าจะไปจับขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ แล้วค่อยแย่ง ‘ธนูรั้งจันทรา’ มา ต้องล่อต้าเจ๋อเปี๋ยแห่งที่ราบทุ่งหญ้าออกมาได้แน่” ‘ใจมาร’ หลิงลี่พูดขึ้น
“ไม่ต้อง ดูไปก่อน” เท้าเปลือยเปล่าของ ‘หน้าเซียน’ โจวเข่อเอ๋อร์แตะไปยังหน้าอกญาติผู้พี่ ยิ้มหวานกล่าว “ท่านไม่รู้สึกว่าขุนนางเมืองหนุ่มน้อยคนนั้นมีปริศนามากมาย ควรค่าให้พวกเราไปเฝ้าดูหรอกรึ?”
“นั่นก็จริง” ‘ใจมาร’ หลิงลี่พูดขึ้น “เด็กน้อยคนนั้นข้างกายเขามีกลิ่นอายปีศาจทั่วร่าง มากมายยิ่งนัก แม้แต่ข้าก็มองธาตุแท้ของนางไม่ออก”
ด้วยนิสัยหุนหันพลันแล่นของ ‘ใจมาร’ หลิงลี่ เหตุที่ไม่จับหลี่มู่มาทรมานสอบปากคำถึงที่มาของ ‘ธนูรั้งจันทรา’ เสียตอนนั้น ก็เพราะเขาพบว่าตนเองไม่อาจมองธาตุแท้ของเด็กรับใช้บัณฑิตหมิงเยวี่ยออก จึงมีใจหวาดระแวง
“เห็นไป๋หรูซวงแล้วหรือไม่?” ‘หน้าเซียน’ โจวเข่อเอ๋อร์เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
‘ใจมาร’ หลิงลี่พยักหน้า “เห็นแล้ว แปลกใจนัก เขาก็ไปที่สนามประลองของสองสำนักนั่นในวันนี้ด้วย เพียงแต่ไม่เผยกายเท่านั้น”
“รู้สึกอย่างไร?” ‘หน้าเซียน’ โจวเข่อเอ๋อร์ถาม
ใบหน้าของ ‘ใจมาร’ หลิงลี่ปรากฏแววจริงจัง “แข็งแกร่งมาก พลังฝึกขั้นปรมาจารย์ แต่เป็นปรมาจารย์ขั้นไหน ข้ามองไม่ทะลุ อย่างไรเสียก็เป็นอัจฉริยะที่เลิศล้ำที่สุดในร้อยปีที่ผ่านมาของสำนักหมาป่าสวรรค์ ไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลย สังหารคู่ต่อสู้เช่นนี้ ทำให้ข้าตื่นเต้นนัก จิตมุ่งต่อสู้ทั่วร่างเดือดพล่านทีเดียว”
“เช่นนั้นก็ดี” ‘หน้าเซียน’ โจวเข่อเอ๋อร์ยืนขึ้น กระโดดไปยังหลังของ ‘ใจมาร’ หลิงลี่อย่างซุกซน ก้อนเนื้อนุ่มนิ่มเบื้องหน้าแนบไปที่หลังของเขา พูดพลางหัวเราะออดอ้อนว่า “ขอแค่พี่ชายไม่ประมาทศัตรูหรือหยิ่งยโสหุนหันพลันแล่น นอกจากผู้สืบทอดของสำนักเทพทั้งเก้าแล้ว ในบรรดาลูกศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักใหญ่และหกสายสำนักก็ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของท่าน”
‘ใจมาร’ หลิงลี่ได้ยินคำชมเช่นนี้ก็ไม่ได้ยินดีสักเท่าไหร่
แววตาของเขาล้ำลึกขึ้นมา มองไปนอกหน้าต่าง ท่าทีเคร่งขรึม ในดวงตาฉายแวววาดหวัง พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เก้าสำนักเทพ? รอให้เรื่องนี้เสร็จสิ้นลง ไม่ช้าก็เร็วข้าจะจัดการเหล่าผู้ถูกเลือกจากสำนักที่แข็งแกร่งเรืองอำนาจทั้งเก้านี่แน่นอน”
‘หน้าเซียน’ โจวเข่อเอ๋อร์ซุกใบหน้าลงไปที่คอของหลิงลี่ สูดกลิ่นกายของชายผู้เป็นที่รัก พูดอย่างอ่อนโยนว่า “หากมีวันนั้นจริง ไม่ว่าจะพายุกระหน่ำหรือฟ้าแจ้งแจ่มใส ข้าก็จะอยู่ข้างกายท่านเสมอ”
……
คุกประจำที่ว่าการอำเภอ
หลี่มู่เพิ่งเข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก
ในอากาศอวลด้วยกลิ่นเน่าหมักหมม แสงอาทิตย์ลอดเข้ามาผ่านหน้าต่างเหนือหัวที่เล็กแคบ ก่อให้เกิดลำแสงสีขาวสว่าง ละอองฝุ่นในนั้นปลิวว่อน แสบตายิ่งนัก
คุกที่ในอดีตส่วนมากจะว่างเปล่า วันนี้กลับมีคนเยอะแยะมากมาย
พวกคุณชายหลี่ปิงที่ส่งเข้ามาขังก่อนหน้านี้ใกล้เป็นบ้า คล้ายขอทานเข้าไปเต็มที พวกที่ถูกขังไว้ด้วยกันในคุกคับแคบล้วนเป็นลูกผู้ดีใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย เคยได้ทุกข์ยากแบบนี้เสียที่ไหน แต่ละคนจวนเจียนจะสติแตกแล้ว
ประมาณหนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ หลี่ปิงยังตะโกนด่าเหมือนกับคนบ้า
แต่ตอนนี้เขากลับปิดปากเงียบด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
เพราะเขาเห็นร่างแล้วร่างเล่าร่างเล่าไม่ถูกลากก็ถูกคุมตัวเดินเข้ามา ส่วนมากโดนซัดเสียเกือบตาย บางส่วนในนั้นที่เข่ามีธนูปักอยู่ยังไม่ได้ดึงออกไป กำลังส่งเสียงร้องคร่ำครวญ
ดูจากเสื้อผ้าและคำพูด คนพวกนี้ล้วนเป็นจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง
‘เป็นคนของพรรคมังกรฟ้ากับสำนักเขี้ยวพยัคฆ์…’
หลี่ปิงแอบตื่นตะลึงในใจ
และสิ่งที่ยิ่งคาดไม่ถึงคือ หลี่ปิงจำได้ทันทีว่าในนั้นยังมีผู้แข็งแกร่งที่ชื่อเสียงโด่งดังหลายคน พวกเขาโดนลากเข้ามาเหมือนสุนัขโดนตีตายเช่นกัน หนึ่งในนั้น ยอดฝีมือมีชื่อเสียงที่สุดที่เขารู้จัก ‘หัตถ์ขยี้ศิลา’ เยวี่ยหยางถูกร้อยสะบัก ท่าทางใกล้ตายเต็มที ทำให้หลี่ปิงตกใจตาแทบถลน
‘เกิดอะไรขึ้น? แม้แต่เยวี่ยหยางก็ถูกจับเข้ามา…’
หลี่ปิงไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ตนเห็นได้
‘หัตถ์ขยี้ศิลา’ เยวี่ยหยาง ในความคิดของหลี่ปิงก็เป็นยอดฝีมือชั้นยอดแล้ว แข็งแกร่งจนน่ากลัว เขาอยู่ต่อหน้าเยวี่ยหยางไม่มีทางฝืนได้ถึงครึ่งกระบวนท่า น่าจะกำราบไปได้ทั่วทั้งอำเภอขาวพิสุทธิ์สิ แต่ตอนนี้เยวี่ยหยางกลับมีสภาพเช่นนี้ไปเสียแล้ว
อีกทั้งเขาได้ยินคำซุบซิบพูดคุยของคนในยุทธจักรที่ถูกจับเข้ามารอบด้าน ทำให้หลี่ปิงรู้ว่า ‘หัตถ์ขยี้ศิลา’ เยวี่ยหยางยังไม่ใช่บุคคลยอดเยี่ยมที่สุดที่โดนจับเข้ามา
หลี่ปิงรีบปิดปากอย่างสงบเสงี่ยม ขดตัวไปที่มุมหนึ่งด้วยใบหน้าหวาดกลัว
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดอะไรขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน
เขาแอบอยู่ในมุมพลางลอบสังเกต
ไม่นานนัก ในดวงตาของเขาก็ฉายประกายโกรธแค้น
เพราะเขามองเห็นขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่จับเขา หยามหมิ่นเขา และชิงทรัพย์สมบัติของเขาไปทั้งหมด ปรากฏตัวขึ้นที่ทางเดินในคุกโดยมีมือปราบองครักษ์หลายคนเดินมาด้วย
แต่ความโกรธก็เปลี่ยนเป็นความสงสัยและหวาดกลัวอย่างรวดเร็ว
เพราะเขาพบว่าจอมยุทธ์ยอดฝีมือทั้งหลายที่โดนลากเข้ามา รวมถึง ‘หัตถ์ขยี้ศิลา’ เยวี่ยหยางเลือดอาบร่างที่เพิ่งฟื้นคืนสติขึ้นมา ในเสี้ยวขณะนั้น ในสายตาพวกเขาฉายแววหวาดกลัวและยำเกรง ต่างไม่กล้าพูดอะไร
ทั้งคุกพลันเงียบสงัด
ราวกับเทพแห่งความตายมาเยือน ไม่มีใครกล้าหายใจเสียงดัง
“ใต้เท้า ทุกอย่างเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว” จุดที่ลึกที่สุดของคุก ประตูห้องทรมานเปิดออก หัวหน้าพัศดีเจินเหมิ่ง เดินออกมาทำความเคารพอย่างนอบน้อม
ก่อนหน้านี้เขาได้รับแจ้งจากนายทะเบียนเฝิงหยวนซิง ให้เตรียมของแปลกประหลาดบางอย่างเอาไว้ในห้องทรมาน
ถึงแม้ชื่อหัวหน้าพัศดีเจินเหมิ่งจะมีคำซึ่งมีความหมายว่าห้าวหาญ แต่ที่จริงแล้วรูปลักษณ์กลับไม่ได้ห้าวหาญ แต่เป็นชายผอมสูงอายุสามสิบกว่า รูปร่างเหมือนลำไผ่ หน้าตาขาวซีดไร้สีเลือด ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในอาการป่วย
ในกายของเขามีกำลังภายในหมุนวน พลังอย่างต่ำที่สุดก็เป็นยอดฝีมือระดับสองขั้นรวมปราณ
“ดี ลำบากเจ้าแล้ว”
หลี่มู่พยักหน้าให้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอเจินเหมิ่ง
ก่อนหน้านี้แค่เคยเห็นชื่อของเจินเหมิ่งในม้วนเอกสารของที่ว่าการอำเภอเล่มหนึ่ง
ในช่วงของโจวอู่และเจิ้งหลงซิง หัวหน้าพัศดีอยู่ในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ก็นับว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งเช่นกัน ขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊หลายคนต่างคิดหาวิธีโผล่หน้ามาให้หลี่มู่เห็นบ่อยๆ ด้วยหวังว่าจะก้าวหน้าไปได้อีกขั้น แต่เจินเหมิ่งไม่เคยมาปรากฏกายต่อหน้าหลี่มู่เลย
ด้วยสาเหตุนี้ทำให้หลี่มู่ค่อนข้างสนใจใคร่รู้ในตัวของเจินเหมิ่ง
แต่ว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
พวกหลี่มู่เข้าไปในห้องทรมานด้วยการนำของเจินเหมิ่ง
ห้องมืดกว้างขวางมีพื้นที่ร้อยกว่าผิงหมี่ (ตารางเมตร) มีกำแพงหินและเพดาน ไม่มีหน้าต่าง มีช่องลมเล็กๆ มากมายเชื่อมกับโลกภายนอก อากาศนับว่าถ่ายเทได้ บนกำแพงหินรอบด้านมีคบเพลิงยี่สิบกว่าอันแขวนอยู่ กำลังลุกไหม้ดังเปรี๊ยะๆ ส่องสว่างไปทั่วทั้งห้องมืด
ที่นี่คือห้องสอบสวนนักโทษ
มุมกำแพงทั้งสี่ด้านมีเครื่องทรมานน่าขนลุกวางอยู่หลายสิบชิ้น บนนั้นมีจุดสีดำ เห็นได้ชัดว่าเป็นรอยเลือดแห้งกรังที่นักโทษซึ่งได้รับโทษทิ้งเอาไว้ ก็ไม่รู้ว่าผ่านมานานเท่าไหร่แล้ว
เครื่องทรมานแปลกประหลาดมากมายทำให้คนมองแล้วใจหวาดผวา
“ใต้เท้า ตอนนี้จะเริ่มสอบสวนเลยหรือไม่?” เจินเหมิ่งถามอยู่ข้างๆ
“อืม เวลามีจำกัด ตอนนี้ก็เริ่มเลยเถอะ เอาจอมยุทธ์ขั้นรวมปราณมาตามใจสักสองคน ข้าจะลองดูสักหน่อยว่าวิธีของข้าใช้ได้หรือไม่” หลี่มู่มองประเมินไปรอบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวพลางยิ้มกว้าง
……………………………………………………