จอมศาสตราพลิกดารา - ตอนที่ 70
“ต้าหวง พาข้าข้ามไป”
ขอทานเฒ่าขยี้จมูกแดง ขาหนีบกระทุ้งเหมือนขี่ม้าพลางตีตูดสุนัขอ้วน
“โฮ่งๆ…” สุนัขอ้วนเหนื่อยจนลิ้นห้อย
เห่าสองที เดินสองก้าว
เดินสองก้าว เห่าอีกสองที
‘เซียนจุติ’ จึงไม่เยือกเย็นอีกต่อไป
“ต้าหวง เร็วหน่อย” เขาพูดพลางขยิบตาไม่หยุด
สุนัขอ้วนสีน้ำตาลแลบลิ้นหอบแฮ่กๆ ท่าทางเหนื่อยแทบขาดใจ มันเดินไปอีกสามสี่ก้าว ลิ้นเอียงไปด้านข้าง ก่อนจะไม่ยอมขยับอีก
“ช่วงเวลาสำคัญ ใจสู้หน่อยซี” ขอทานเฒ่าพูดอย่างกระอักกระอ่วน
“โฮ่งๆ…” สุนัขอ้วนสีน้ำตาลแลบลิ้นหูลู่ ให้ตายก็ไม่ยอมเดินต่อ
หลี่มู่และเด็กโง่หมิงเยวี่ยมองตากัน
ขอทานเฒ่านี่มาเล่นตลกรึอย่างไร?
“บ้าเอ๊ย ข้าเพิ่งป้อนไก่ขอทาน[1]ตัวอ้วนทั้งตัวให้เจ้ากินเลยนะ คุยกันแล้วไม่ใช่รึว่าเจ้าจะแบกข้าเดินสามสิบสี่จั้ง? ไม่รักษาสัตย์เอาเสียเลย ‘ความเป็นหมา’ ของเจ้าอยู่ที่ไหนกัน?” ใบหน้าเขาประดักประเดิด อับอายจนโมโห
“โฮ่งๆๆ…”
สุนัขอ้วนสีน้ำตาลไม่ยอม พอได้ยินว่าคุณสมบัติสุนัขของตัวเองถูกสงสัยก็โมโหทันที มันเห่าอย่างบ้าคลั่ง กระโดดสลัดขอทานเฒ่าร่วงลงไปจากหลังทันที
“เฮ้ย…” ขอทานเฒ่าร่วงไปที่พื้น ร้องโอดโอยพลางคลำเอวลุกขึ้นมา จากนั้นกระทืบเท้าอย่างโมโห “สายสัมพันธ์ของเราจบลงแล้ว เจ้าไสหัวไปซะ…”
ภาพลักษณ์เซียนจุติใต้แสงจันทร์ที่เขาพยายามรักษาเอาไว้แต่เดิม ตอนนี้พังทลายไม่เหลือซาก
หลี่มู่เหงื่อตก
โรงพยาบาลบ้าที่ไหนปิดประตูไม่ดี ปล่อยให้คนบ้านี่หนีออกมากันเนี่ย
เขาหันไปมองหมิงเยวี่ย
คนหนึ่งประหลาด คนหนึ่งโง่งม
ขอทานเฒ่าคนนี้คงไม่ใช่ว่าเป็นญาติสายตรงของโลลิหน้ามึนนี่หรอกนะ?
สีหน้าของหลี่มู่ไม่เปลี่ยนแปลง เขาแอบโคจร ‘พลังก่อนกำเนิด’ กำหนดลมหายใจ หวังว่าพลังจะฟื้นฟูโดยเร็วที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นนักพรตตาบอดหรือขอทานเฒ่า ถึงรูปแบบจะต่างกัน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่พวกไร้พิษสงแน่นอน
สถานการณ์ในคืนนี้ดูไปแล้วเหมือนจะตลกขบขันสบายๆ แต่แท้ที่จริงแล้วอันตรายกว่าครั้งไหนๆ
หากไม่ระวัง เกรงว่าคงตายอนาถร่างแหลกลาญ
อีกอย่าง ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ หลี่มู่รู้สึกว่าเหมือนมีอันตรายอะไรที่ร้ายแรงยิ่งกว่าแอบซ่อนอยู่ในเงามืด ราวกับน้ำป่ากำลังก่อตัว อาจจะไหลบ่ามาได้ทุกเมื่อ
“เจ้าขอทาน เจ้ามาที่นี่ทำไม?” ริมทะเลสาบ เสียงที่มีใจสู้แต่ไร้เรี่ยวแรงดังขึ้น “เจ้าทำลายเรื่องสำคัญของข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า อยากให้ข้ากำจัดเจ้าไปพร้อมๆ กันอย่างนั้นรึ?”
นักพรตตาบอดที่อยู่ในสภาพ ‘เมาเครื่องบิน’ อ้อ ไม่สิ ต้องเป็น ‘เมานก’ ต่างหาก ในที่สุดก็สมองปลอดโปร่งขึ้นมาเล็กน้อย
มือทั้งสองของเขาพยุงตัวเอาไว้ ยังคงรู้สึกคลื่นไส้อยู่ เขาจ้องขอทานเฒ่าอย่างมีใจสู้แต่ไร้เรี่ยวแรง
ฟังจากน้ำเสียงของเขา เห็นได้ชัดว่ารู้จักกับขอทานเฒ่า
“ฮ่าๆๆ เจ้าบอด ดูสารรูปของเจ้าเสียก่อน พลังเวทเหลือเท่าไหร่ล่ะ ฮ่าๆ ยังจะปากแข็งอีก กำจัดข้า? เชื่อไหมว่าข้าจะปล่อยสุนัขไปกัดเจ้าตอนนี้เลย…” ขอทานเฒ่าทำหน้ายิ้มชั่วร้ายซ้ำเติม ยอมแพ้ที่จะใช้วิธี ‘ขี่สุนัข’ เดินไปยังริมทะเลสาบแล้ว
สุนัขสีน้ำตาลกระดิกหางเดินตามอยู่ข้างหลัง
นักพรตตาบอดดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเกาะก้อนหินลุกขึ้นมา หายใจพะงาบๆ นิ้วทั้งสิบประสานปางมือไม่หยุด
ฟ้าดินรอบๆ มีเสียงลมพัดหวีดหวิว
พลังไร้รูปร่างรวมตัวกันเข้ามา
กลิ่นอายที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าทะลักเข้าไปในกายของนักพรตตาบอด
สีหน้าท่าทางของเขาดีขึ้นมาก
เส้นแสงวับแวมหลายสายลอยอยู่ข้างกายเขา
อีกายักษ์ที่นอนกระตุกอยู่บนพื้นพลังก็ฟื้นคืนขึ้นมาเล็กน้อย ปีกไม่กระตุกอีกต่อไป จึงดิ้นรนลุกขึ้นมา…
“จิ๊ๆๆ น่าสมเพชจริงๆ…เจ้าเป็นจอมเวท ฆ่าปีศาจก็ช่างเถอะ นี่ยังดึงดันจะฆ่าแม้กระทั่งคน แล้วยังบัญญัติศัพท์ ‘ปีศาจมนุษย์’ อะไรนี่อีก เจ้าว่าเจ้าหาเรื่องใส่ตัวไหมเล่า?” ขอทานเฒ่าเดินเข้าไปใกล้พร้อมหัวเราะร่า
เขาไม่ใส่ใจกลิ่นอายอันตรายที่ค่อยๆ แผ่ซ่านมาจากนักพรตตาบอดเลยสักนิด
สุนัขสีน้ำตาลตัวอ้วนก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน
ฟิ้ว!
ขนนกสีดำอันหนึ่งแหวกอากาศพุ่งมายังขอทานเฒ่า
ขอทานเฒ่าแค่เอื้อมมือก็คว้ามันเอาไว้ได้
ไอสีดำแต่ละเส้นสลายไปจากปลายนิ้วของเขา
ขนนกสีดำนั้นแปลงมาจากพลังเวท กำลังภายในของขอทานเฒ่าทำให้มันสลายไป
“เก็บแรงไว้หน่อยเถอะ อีกเดี๋ยวเจ้าหนุ่มนั่นฟื้นตัวแล้ว น่ากลัวว่าจะตบเจ้าเหมือนแมลงวันเหมือนเดิม” เขาหัวเราะอย่างสาแก่ใจ สีหน้าท่าทางเจ้าเล่ห์
“ข้าจะสลายเจ้าไปพร้อมกับมัน” ใบหน้าของนักพรตตาบอดปรากฏแววโมโหอย่างหาได้ยาก
เขาฝืนประสานปางมือ ลวดลายแสงที่เหมือนใยแมงมุมทั่วร่างเริ่มกะพริบระรัว
“ฮ่าๆ ข้าว่าเจ้าอายุปูนนี้แล้ว ยังจะบุ่มบ่ามขนาดนี้อยู่อีก” ขอทานเฒ่ายังไม่สนใจเช่นเดิม หัวเราะอย่างสะใจในความทุกข์ของผู้อื่น จากนั้นก็ชี้ไปยังเด็กน้อยหมิงเยวี่ยที่อยู่กลางทะเลสาบ “เข้าเรื่องแล้วกัน ครั้งนี้เจ้าอาจจะมองผิดแล้ว นังหนูนี่ไม่ใช่ปีศาจหรอก”
“ไอปีศาจพวยพุ่งขนาดนี้ ไม่ใช่ปีศาจแล้วจะเป็นอะไร?” นักพรตตาบอดไม่พิงก้อนหิน แต่ยืนขึ้นด้วยตนเอง ร่างเขาโอนเอนไปมาเหมือนกับคนเมา
อีกายักษ์ก็ร้องกาๆ ดิ้นรนลุกขึ้นมาเช่นกัน
“มีไอปีศาจก็ใช่ว่าจะเป็นปีศาจเสมอไป บางทีอาจมีสาเหตุอื่น เจ้ามองไม่ออกเพราะตบะของเจ้ายังไม่กล้าแกร่งพอ” ขอทานเฒ่าเบ้ปาก โต้เถียงอย่างเหยียดหยาม
“พูดไปพูดมาก็คือเจ้าจะเป็นศัตรูกับข้า หมายหัวข้า” นักพรตตาบอดกัดฟันกรอด
“ผิดแล้ว” ขอทานเฒ่าปฏิเสธอย่างมีเหตุผล “ข้ากำลังช่วยเจ้าต่างหาก ฆ่าฟันมากเกินไปจะทำลายสมดุลของธรรมชาติ”
“ข้าสังหารปีศาจคือการผดุงคุณธรรมแทนสวรรค์ เจ้าช่วยอะไรข้า?” นักพรตตาบอดหัวเราะเสียงเย็น “ขัดขวางข้ายามฆ่าปีศาจเสียทุกครั้ง ทั้งยังทำลายเรื่องสำคัญของข้า นี่เรียกว่าช่วยอย่างนั้นรึ?”
“เจ้านี่นะ ไม่ใช่แค่ตาบอด แต่ใจยังมืดบอดด้วย ข้าขัดขวางก็เพื่อเจ้าจะได้สร้างบาปกรรมน้อยลง ลดกรรมตัดเวร เจ้าตายไปแล้วจะได้ไม่ต้องตกนรก ก่อกรรมมากเกินไปจะไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด” ขอทานเฒ่าพูดอย่างองอาจทรงคุณธรรม
หลี่มู่ไม่มีเวลาสนใจตัวประหลาดทั้งสองโต้เถียง ‘หยอกล้อ’ กัน เขารีบโคจร ‘พลังก่อนกำเนิด’ ฟื้นฟูพลังกาย
“พูดจาเพ้อเจ้อ อย่าได้พูดให้มากความ คืนนี้มาชี้ขาดให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเถอะ”
คำพูดเพ้อเจ้อไร้เหตุผลของขอทานเฒ่าทำเอานักพรตตาบอดโมโหจนกัดฟันกรอด ใกล้จะคลุ้มคลั่งเต็มที
หากโดนคนงี่เง่าตามตอแยไม่ไปไหนอยู่ตลอด ทั้งยังทำลายภารกิจที่ทุ่มเทสุดแรงกายแรงใจไม่ลดละครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับทำอะไรมันไม่ค่อยจะได้ ไม่ว่าใครก็ต้องโมโหจนแทบบ้าแน่นอน
ถึงแม้ว่าคนคนนี้จะเคยเป็นสหายสนิทกันก็ตาม
จิตใจของนักพรตตาบอดตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้เอง
“เฮ้อ อย่าๆๆๆ ทั้งวันมีแต่จะฆ่าจะฟัน ครั้งนี้ข้าไม่อยากลงมือกับเจ้าหรอกนะ พวกเรารู้จักกันมาตั้งนานแล้ว มีอะไรก็พูดจากันดีๆ ข้าจะหารือกับเจ้าเรื่องหนึ่ง” ขอทานเฒ่าโบกมือ พูดพร้อมยิ้มกว้าง “ขอแค่เจ้ารับปากข้าเรื่องนี้ นับแต่นี้ไปข้าจะไม่ทำให้เจ้าเสียเรื่องอีก”
ทรวงอกของนักพรตตาบอดยุบพองอย่างรุนแรง ครู่ใหญ่ๆ ถึงจะฝืนควบคุมเพลิงโทสะเอาไว้ได้ “ว่ามา”
ขอทานเฒ่าชี้ไปยังหมิงเยวี่ยที่ถูกขังอยู่ในกรงตาข่ายแสงกลางทะเลสาบ “ข้าอยากรับนังหนูนั่นเป็นศิษย์ เจ้ามอบนางให้ข้าเป็นอย่างไร?”
“ไม่มีทาง” นักพรตตาบอดปฏิเสธเด็ดขาด “กายมีกลิ่นอายปีศาจคละคลุ้ง ข้าต้องสังหารมัน ทำลายร่างปีศาจ ป่นกระดูกให้เป็นผุยผง ทำให้มันแตกดับเป็นธุลีเสีย”
“ก็บอกแล้วว่านางไม่ใช่ปีศาจ แค่กายมีไอปีศาจแฝงเท่านั้น” ขอทานเฒ่าพูด “วางใจเถิด ข้ามีวิธีกำจัดไอปีศาจในร่างนาง ทำให้นางเป็นคนปกติ”
นักพรตตาบอดส่ายหน้า “นั่นก็ไม่ได้ มีไอปีศาจก็คือปีศาจ จะกลายเป็นคนปกติไปได้อย่างไร? น่าขันสิ้นดี”
“ไม่ได้จริงๆ?”
“ไม่มีทางเด็ดขาด”
“คุยกันหน่อยเถอะน่า”
“ข้าไม่มีเรื่องให้เจรจา”
“เจ้า…มารดาเจ้าเถอะ เจ้าก้อนหินในหลุมส้วม[2] ตาแก่ดื้อดึงนิสัยเสีย ตาของเจ้าที่บอดนั่นน่ะ สมควรแล้วที่บอด” ขอทานเฒ่าใช้ไม้อ่อนตื๊อไม่ได้ผล ก็โมโหทันที เขายกเอาจุดอ่อนขึ้นมาด่า พร้อมสบถกล่าว “เจ้าดูตัวตนที่แท้จริงของนางออกรึ? ด้วยความสามารถของเจ้าน่ะมองไม่ออกหรอก นี่หมายถึงอะไร? บางครั้งจงคิดให้มากหน่อย อย่าได้ดื้อด้านนัก บทเรียนในตอนนั้นยังไม่พออีกรึ? ทั้งวันรู้จักแต่ฆ่าๆๆๆๆ เจ้าโดนความแค้นครอบงำจนหน้ามืดตามัวแล้ว”
“หุบปาก”
นักพรตตาบอดตวาด โกรธจนผมตั้งชัน น้ำเสียงที่เอ่ยดุดัน
สิ่งที่ทำให้เขาโกรธไม่ใช่คำด่าปากเสียจากขอทานเฒ่าที่เอาจุดอ่อนมาพูด
แต่เป็นประโยคสุดท้ายประโยคนั้นต่างหาก
“เจ้าจะไปรู้อะไร?” เขาโกรธเกรี้ยวจนแทบเต้น “เจ้ามันคนบัดซบแล้งน้ำใจ รู้จักแต่เล่นสนุกไปวันๆ…”
พูดยังไม่ทันจบ
ฟิ้ว!
ลมกรดกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา
ขาซ้ายของนักพรตตาบอดมีละอองเลือดสาดกระจาย
เพียงเสี้ยวขณะ ขาซ้ายของเขาทั้งขาอันตรธานหายไป
“อั้ก…” เขาอึ้งตะลึง อ้าปากกระอักเลือดออกมา ร่างหงายหลังล้มตึง
ขอทานเฒ่าก็อึ้งตะลึงไปเช่นกัน จากนั้นจึงมายังข้างกายนักพรตตาบอดในชั่วพริบตาราวสายฟ้าฟาด แล้วประคองอีกฝ่ายเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็หันกลับไปมองกลางทะเลสาบ
หลี่มู่โบกไม้โบกมือหัวเราะฮิๆ
“เป็นเจ้า?” สีหน้าขอทานเฒ่าตื่นตะลึง
หลี่มู่ท่าทางแข็งแรงมีชีวิตชีวา “ใช่แล้ว เป็นฝีมือข้าเอง”
ผลจากการฟื้นฟูพลังของ ‘พลังก่อนกำเนิด’ เห็นได้ชัดว่าเกินกว่าความคิดของนักพรตตาบอดและขอทานเฒ่ามากนัก พวกเขาคิดไม่ถึงว่าหลี่มู่ที่ก่อนหน้านี้เหนื่อยจนอ่อนแรงจะฟื้นตัวได้ในเวลาสั้นๆ แค่นี้
อาศัยจังหวะที่นักพรตตาบอดอารมณ์ขึ้นขาดสติ ไม่มีสมาธิ เขาคลำเจอลูกพุทราจากหมิงเยวี่ยมาได้ลูกหนึ่ง จึงออกแรงดีดออกมาผ่านกรงตาข่ายแสง ยิงไปยังขาซ้ายของนักพรตตาบอด
พลังของหลี่มู่น่ากลัวถึงเพียงใดกัน?
ลูกพุทราลูกเล็กๆ เขายิงออกมาได้ไม่ต่างอะไรกับปืนเกาส์ไรเฟิลของโลกมนุษย์เลย
อย่างไรเสียนักพรตตาบอดก็เป็นจอมเวท พลังฝึกอยู่ที่พลังเวท ไม่ใช่วิถียุทธ์ ร่างกายแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป แต่ก็มีขีดจำกัดของความแข็งแกร่งเช่นกัน ดังนั้นขาซ้ายจึงขาดไปตามเสียง
“ผู้เยาว์ เจ้า…ไยจึงโหดเหี้ยมเช่นนี้”
ขอทานเฒ่าไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
แต่เดิมเขาคิดว่าคนที่เจอกับหายนะคืนนี้น่าจะเป็นหลี่มู่ ไม่คิดเลยว่า…
“ชมเกินไปๆ ที่จริงข้าเล็งหัวเอาไว้ เสียดายที่ยิงพลาด”
หลี่มู่แสดงทีท่าเสียดาย
ที่เขาพูดคือความจริง
นักพรตตาบอดถล่มที่ว่าการอำเภอ ทั้งยังสังหารคนในที่ว่าการไปสี่คน แล้วยังเกือบผ่าเขากับหมิงเยวี่ยเป็นก้อนเนื้อสารพัดรูปทรงอีกต่างหาก นี่เป็นความแค้นถึงเป็นถึงตายแล้ว ดังนั้นเขาไม่มีทางใจอ่อนเหมือนสตรี จะต้องสังหารในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ไม่ออมมือให้แน่นอน
น่าเสียดาย ดีดลูกพุทราอย่างไรก็ไม่เหมือนยิงธนู เขาดีดเอียงไปนิดหนึ่ง
ครั้นเห็นสีหน้าท่าทางเยาะเย้ยของหลี่มู่ ใจของขอทานเฒ่าหนาวยะเยือก
เจ้าเด็กนี่อันตรายจริงๆ
ต้องป้องกันเอาไว้หน่อย
ส่วนหลี่มู่ก็ได้เห็นภาพที่น่าประหลาดใจ เมื่อนักพรตตาบอดบาดเจ็บหนัก กรงตาข่ายแสงก็ค่อยๆ หม่นแสงลงจริง ก่อนหายไปจากท้องฟ้าอย่างช้าๆ เห็นได้ชัดว่าพลังเวทของนักพรตตาบอดไม่อาจรักษาค่ายกลนี้เอาไว้ได้แล้ว
“เจ้าบอดนี่ฝีมือโหดเหี้ยม สังหารมือปราบในที่ว่าการไปสี่คน ทำผิดกฎหมายของจักรวรรดิ ยกโทษให้ไม่ได้ ข้าจะพามันกลับไป แล้วตัดสินความตามกฎหมาย” หลี่มู่เอ่ยอย่างทรงอำนาจ
“ฆ่ามือปราบสี่คน?” ขอทานเฒ่าส่ายหน้าเอ่ย “เป็นไปไม่ได้ ถึงแม้เขาจะชอบฆ่าฟัน แต่ไหนแต่ไรมาก็ฆ่าแค่ปีศาจเท่านั้น ไม่ได้ฆ่าคนแม้แต่คนเดียวมาสิบกว่าปีแล้ว จะไปฆ่ามือปราบของเจ้าได้อย่างไร”
หลี่มู่โมโหแล้ว
“ข้าเห็นกับตาจะผิดไปได้อย่างไร? ได้ยินพวกเจ้าพูดกันเมื่อครู่ จะต้องรู้จักกันแน่นอน ตาเฒ่า เจ้าคงไม่ได้จะปกป้องเจ้าบอดนี่หรอกใช่ไหม ถ้าเป็นอย่างนั้น…เอ๋? เฮ้ยๆๆ? เกิดอะไรขึ้น แผ่นดินไหวเหรอ?”
พูดได้เพียงครึ่งหนึ่ง หลี่มู่พลันพบว่าหินสีดำใต้เท้าตนเริ่มขยับ
ทั่วทั้งน้ำตกเก้ามังกรมีคลื่นโหมซัดถาโถมเหมือนกับน้ำเดือดอย่างไรอย่างนั้น
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
……………………………………
[1] ไก่ขอทานคืออาหารจีนแถบเจียงซี เป็นไก่ยัดไส้ด้วยเครื่องต่างๆ ห่อด้วยใบบัว ก่อนจะหุ้มด้วยดินเหนียวอีกทีแล้วจึงเอาไปเผา
[2] ก้อนหินในหลุมส้วม เป็นคำพักท้าย หมายถึงทั้งแข็งทั้งเหม็น คำว่าแข็งและเหม็นในภาษาจีนสื่อถึงลักษณะนิสัยได้ด้วย ซึ่งก็คือดื้อดึงและนิสัยเสียนั่นเอง