จอมศาสตราพลิกดารา - ตอนที่ 72
เมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ยามค่ำคืนละมุนละไมดั่งสาวน้อยที่กำลังหลับใหล
เงียบและสุขสงบ
ใต้เท้าขุนนางเมืองจัดการคนในยุทธจักรที่ชั่วร้ายพวกนั้นให้สิ้นซากในวันเดียว สำหรับประชาชนในอำเภอทุกคนแล้ว ความหวาดกลัวและไม่เป็นสุขหลายวันที่ผ่านมาสลายหายไป ในที่สุดพวกเขาก็สามารถนอนอย่างสบายใจ หลับฝันดีได้
บนหอวิจิตรอลังการ
ในที่สุดเด็กชายตัวน้อยฉินเจิ้งที่สวมชุดคลุมยาวลายมังกรสีเหลืองสดก็ทำบทเรียนของหนึ่งวันเสร็จ ก่อนจะกลับห้องมาฝึก ‘วิชาหยกจรัส’
นับตั้งแต่สามขวบ เขาก็เริ่มฝึกฝนตามการจัดการของพี่หญิง
‘วิชาหยกจรัส’ เป็นเคล็ดวิชาที่พี่หญิงเลือกให้เขาด้วยตนเอง ว่ากันว่าฝึกฝนจนถึงขีดสูงสุดจะทำให้ ‘จิตใจไร้มลทิน ร่างบริสุทธิ์ดุจหยก’ เป็นเคล็ดวิชาฝึกฝนกายและใจชั้นยอด กระทั่งว่าสามารถเบิกปัญญา มีประโยชน์มากมาย
เด็กรับใช้ชุดดำชิงเอ๋อร์ที่ติดตามข้างกายอาจารย์หวางยืนอยู่ในห้องดั่งรูปปั้น เฝ้าดูอยู่ข้างกายฉินเจิ้งอย่างเงียบๆ
เขากำลังจับตาดูอยู่ที่นี่ตามคำสั่งขององค์หญิง
สายตาของชิงเอ๋อร์หยุดบนใบหน้าของเด็กชายที่อยู่ในสภาวะ ‘ดำดิ่งในสมาธิ’
ต้องยอมรับว่าองค์ชายน้อยผู้นี้หน้าตางดงามยิ่งนัก รับใบหน้างดงามของบิดามารดามา ฉลาดหลักแหลม แต่มีนิสัยรักสนุก มักจะก่อเรื่องข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง เป็นคุณชายเกเรชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองฉิน หลายครั้งแม้แต่องค์หญิงยังต้องปวดหัว
ชิงเอ๋อร์คิดอยู่หลายครั้ง คนมากมายยอมลำบากและเสียสละเพื่อเด็กน้อยซุกซนผู้นี้ มันคุ้มค่าหรือ?
เขาจะมีอนาคตได้จริงๆ หรือ?
แน่นอน ทั้งหมดนี้นางก็แค่คิดเท่านั้น
ในเมื่อนางมองสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงอันซับซ้อนของจักรวรรดิไม่ออก แต่อาจารย์ที่ราวกับเทพเจ้าในสายตาของนางกลับยืนหยัดสนับสนุนเด็กน้อยดื้อรั้นผู้นี้มาโดยตลอด
เวลาไหลผ่านไปอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้น สีหน้าของชิงเอ๋อร์เปลี่ยนไป
ในขณะเดียวกัน ฉินเจิ้งก็ลืมตาขึ้น
หน้าผากของเขาชื้นไปด้วยเหงื่อ สีหน้าขาวซีด ราวกับฝันร้ายอย่างไรอย่างนั้น เขาหอบหายใจถี่ก่อนพูดขึ้น “ข้า…ข้าเหมือนรู้สึกว่ามีบางอย่างที่น่ากลัวกำลังตื่นขึ้น”
แสงเทียนไหววูบเบาๆ
ในห้องพลันมีร่างเงาหนึ่งปรากฏ
“เจิ้งเอ๋อร์” มือขององค์หญิงฉินเจินเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของฉินเจิ้งอย่างเบามือ ก่อนจะเอ่ยว่า “วันนี้เจ้าเหนื่อยแล้ว ‘วิชาหยกจรัส’ ย้อนทำร้าย วันนี้ไม่ต้องฝึกแล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะ”
“ขอรับ” ฉินเจิ้งพยักหน้าอย่างว่าง่าย
ต่อหน้าพี่หญิงเขาเป็นแกะน้อยว่านอนสอนง่ายเสมอ
ไม่นานนักหญิงรับใช้สองคนก็เข้ามาคอยปรนนิบัติฉินเจิ้งให้เข้านอน
ฉินเจินพยักหน้ากับชิงเอ๋อร์ จากนั้นหมุนตัวออกจากห้องไป
ข้างนอกห้อง อาจารย์หวางยืนรออยู่
“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” เห็นองค์หญิงฉินเจินเดินออกมา อาจารย์หวางก็เอ่ยถาม
องค์หญิงฉินเจินส่ายหน้า “ ‘วิชาหยกจรัส’ ของเจิ้งเอ๋อร์ยังฝึกฝนไม่ล้ำลึก สัมผัสถึงกลิ่นอายพวกนั้นได้แค่เล็กน้อย พักคืนหนึ่งก็ไม่เป็นไรแล้ว เพียงแต่… ”
ทั้งสองเดินไปพูดไปจนมาถึงระเบียงทางเดินด้านนอก
สายลมกลางคืนพัดโชย
สายตาของฉินเจินมองไปยังที่ว่าการอำเภอที่ตั้งอยู่บนที่สูง
กลิ่นอายน่าหวาดกลัวนั้นทะลักออกมาจากข้างหลังที่ว่าการ
กลิ่นอายกลุ่มนี้ทั้งประหลาดทั้งเย็นเยือก ดูถูกไม่ได้เลย ต่อให้แข็งแกร่งเช่นนางก็วางใจไม่ได้
อาจารย์หวางพูดขึ้น “ข้าไปดูหน่อยก็แล้วกัน”
ฉินเจินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้ากล่าว “ก็ดี แต่อย่าได้เข้าไปพัวพันด้วยจะดีที่สุด”
อาจารย์หวางหัวเราะ “องค์หญิงวางใจเถิด”
พูดจบ ร่างของเขาก็หายไปจากที่ตรงนั้น
……
นอกเมือง ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง
แสงจันทร์กระจ่างดาราลี้หาย เสียงกบร้องดังเป็นระลอก
ชายหน้าเหลี่ยมมีหนวดเคราผลักประตูกระท่อมมุงจากออกมา ขมวดคิ้วมองไปทางเขาด้านหลังเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์
ประตูข้างหลังเปิดออกอีกครั้ง หญิงสาวงามล้ำอ่อนหวานเดินออกมาเช่นกัน
“พี่ชิง…” ในสายตาของนางแฝงความกังวลรางๆ
ชายมีหนวดเคราหันกลับมายิ้มอ่อนโยนให้ กุมมือเนียนขาวของภรรยาเอาไว้แล้วกล่าวว่า “สุขสงบมานานหลายปี พายุฝนก่อตัวขึ้นอีกแล้ว…ท้องฟ้าเช่นนี้ พายุกำลังจะโหมกระหน่ำ”
“เป็นท่านผู้นั้นที่อยู่ใต้น้ำลึกในอำเภอกระมัง” หญิงสาวงามพิลาศถอนใจ “คิดไม่ถึงเลย ในที่สุดก็มีวันนี้”
“จำศีลใต้น้ำลึกพันปี แปลงกายเป็นมังกรทะยานสู่สวรรค์” ชายมีหนวดเคราท่าทีองอาจผึ่งผาย “ก็ถึงเวลาที่เขาควรทะยานสู่ท้องฟ้าแล้ว ตอนนั้นท่านอาจารย์บอกไว้ว่าเจ้าและข้าจะอยู่สุขสงบได้ห้าปี ยามนี้ก็เป็นปีที่ห้าแล้ว”
“มังกรเจียวปรากฏ โลกหวาดผวา กลัวแต่ว่าคนพวกนั้นจะมาเพราะได้ยินข่าว ถึงตอนนั้นท่านและข้าคงถูกตามเจอร่องรอย ชีวิตที่สุขสงบเช่นนี้ไม่อาจมีได้อีกแล้ว” หญิงสาวซบหน้าลงที่อกของสามี “พายุฝนคาวเลือดจะก่อตัวอีกครั้ง ข้ากับท่านจะสังหารได้สักเท่าไหร่?”
“มาหนึ่งคน ฆ่าหนึ่งคน มาเป็นคู่ ฆ่าทั้งคู่” ชายไว้หนวดเคราองอาจน่าครั่นคร้าม
หญิงสาวแย้มยิ้มบางๆ ราวกับตกอยู่ในห้วงความองอาจของสามี
คิดถึงตอนนั้น นางกำลังเจิดจรัสเป็นที่รักของทุกคน ความรักตกอยู่กับนางเพียงผู้เดียว ผู้เกี้ยวพานางมีมากราวปลาตะเพียนในแม่น้ำ แต่นางไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย นางมองวีรบุรุษมากพรสวรรค์ที่สง่ารูปงามนับพันนับหมื่นของทั้งสามจักรวรรดิแห่งแผ่นดินเสินโจวอย่างไร้ค่า ทว่ากลับมอบใจให้กับชายหยาบกร้านที่มาจากที่ราบทุ่งหญ้าผู้นี้ คนมากมายเหยียดหยาม เยาะเย้ย เสียดสี รอหัวเราะเยาะนาง
แต่ก็เหมือนกับการดื่มน้ำ ร้อนหรือเย็นมีเพียงตนเองเท่านั้นที่รู้
ปุถุชนที่ยึดติดกับกิเลสพวกนั้นจะมาเข้าใจความสุขในใจนางได้อย่างไร
ฝ่าฟันมาตลอดยี่สิบปี แม้วันเวลาผันผ่าน แต่นับจากพบกับชายหนุ่ม จนบัดนี้ก็ยิ่งไม่เคยเสียใจ
ในใจของนาง กัวอวี่ชิงผู้เป็นสามีคือยอดบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
“ต้าเจ๋อเปี๋ยผู้เป็นใหญ่ในที่ราบทุ่งหญ้าย่อมเก่งกาจไร้เทียมทาน หากมีแค่ท่านและข้าย่อมไม่ต้องกังวล แต่วันนี้ข้างกายเรามียายาและเซียวเหยาด้วย” หญิงสาวผู้งามล้ำเงยหน้าขึ้น กล่าวว่า “มิสู้พาพวกเขาไปจากที่นี่ ไปหาที่ปลอดภัย…”
“ผู้กุมความลับสวรรค์ทำนายให้ข้า สถานที่ที่มีโอกาสอยู่รอดต่อไปคือในอำเภอขาวพิสุทธิ์ หากจากไปรังแต่จะโดนตามล่าไม่หยุด” ต้าเจ๋อเปี๋ยแห่งที่ราบทุ่งหญ้าเมื่อวันวาน คือกัวอวี่ชิงนายพรานแห่งพงไพรในวันนี้ เขาโอบเอวของภรรยาเอาไว้ “อีกอย่าง เราหลบหนีมาหลายปี ฟ้าดินกว้างใหญ่ แต่มีใครที่หลบหนีการไล่ล่าสังหารจากสำนักเทพทั้งเก้าได้อย่างสิ้นเชิงบ้างเล่า เพื่อความสุขสงบตลอดห้าปีนี้ ข้าทิ้ง ‘ธนูรั้งจันทรา’ ลงในแม่น้ำแดง… ”
ยังพูดไม่ทันจบ
สีหน้าของกัวชิงอวี่เปลี่ยนไป สัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้ทันใด
เขายื่นมือตวัด
ใบหญ้าแห้งสามสี่ใบในพงหญ้าเหี่ยวเฉาพุ่งไปอย่างรวดเร็ว
ช่วงเวลาเดียวกัน ในป่ามืดสลัวห่างออกไปสามสิบจั้งมีเสียงร้องครวญดังขึ้นมา
“ดูยายากับเซียวเหยาให้ดี” กัวอวี่ชิงเอ่ยเสียงต่ำทุ้มข้างกายภรรยา จากนั้นสาวเท้ายาวๆ มุ่งไปยังป่าเขา หนึ่งก้าวไปไกลสามจั้ง เพียงชั่วพริบตาก็หายเข้าไปในพงไพร
สตรีงามล้ำหลิวจื่อหยวนมีสีหน้าเคร่งขรึม นางหมุนตัวกลับเข้าไปในเรือน
ในกระท่อมมุงจาก แสงตะเกียงสลัวไหวระริก
เด็กหญิงตัวน้อยยายาหลับสนิท ใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ
ข้างกายนางมีเด็กทารกชายอายุไม่ถึงขวบนอนตะแคง มุมปากยังมีคราบนมอยู่ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งกินนมเสร็จไม่นาน ปากพูดอ้อแอ้อะไรสักอย่างเหมือนกำลังฝันอยู่
หลังจากนั้นหนึ่งถ้วยชา
กัวชิงอวี่ผลักประตูก้าวเข้ามา
“เป็นพวกลิ่วล้อของสำนักดับนิวรณ์ จัดการสิ้นซากแล้ว” เขายิ้มกล่าว
หลิวจื่อหยวนเห็นอยู่ชัดๆ ว่าในรอยยิ้มของสามีไม่เป็นธรรมชาติ นางเดาได้รางๆ ว่าต้องมีคนเล็ดรอดไปได้ ไล่ตามไปไม่สำเร็จ ในสายสำนักนภาทั้งหก วิชาหลบหลีกของสำนักดับนิวรณ์เลื่องชื่อในใต้หล้า เกรงว่าการมาเยือนครั้งนี้จะมียอดฝีมืออาวุโสของสำนักดับนิวรณ์ด้วย
“นอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องออกไปล่าสัตว์อีก” กัวชิงอวี่เป่าดับตะเกียง
แสงจันทร์ส่องเข้ามาจากทางหน้าต่าง สาดลงบนพื้นเป็นเงาระยับ
ท่ามกลางความมืดมิด ดวงตาของหลิวจื่อหยวนสุกใสยิ่ง
แต่เดิมนัยน์ตาของนางก็สวยมากอยู่แล้ว
“ไปดูที่เขาด้านหลังกันสักหน่อยเถอะ” นางมองสามี
“หืม?” กัวอวี่ชิงอึ้งไปนิด
หลิวจื่อหยวนหัวเราะ “ในเมื่อไม่หนีก็ต้องเผชิญหน้า คำทำนายของผู้อาวุโสผู้กุมความลับสวรรค์พิสูจน์ได้แล้วครึ่งหนึ่ง วันนี้มังกรเจียวปรากฏขึ้นก็เป็นลิขิตสวรรค์ ท่านไปดูสักหน่อยเถิด”
กัวอวี่ชิงเงียบงัน
เขามองเด็กหญิงและเด็กชายที่กำลังนอนหลับสนิทบนเตียง ก่อนจะพยักหน้าแล้วหมุนตัวจากไป
หลิวจื่อหยวนนั่งอย่างเงียบงันท่ามกลางความมืดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถอนหายใจยาว จากนั้นนอนตะแคงลงบนเตียงข้างเด็กทั้งสอง สายตาอ่อนโยนดั่งสายน้ำ ราวกับอัญมณีสองก้อนท่ามกลางความมืด
“ยามเกิดเกิดมาคนเดียวลำพัง แต่ทำไมเมื่อมีคู่มีชีวิตอยู่ด้วยกันได้ แต่กลับตายด้วยกันไม่ได้”
หญิงสาวท่องกลอนเสียงแผ่วท่ามกลางอนธการ
……
“เป็นต้าเจ๋อเปี๋ยแห่งที่ราบทุ่งหญ้าเมื่อวันวานจริงๆ ด้วย!”
ภายใต้แสงจันทร์ ร่างที่มีใบหน้าเหี้ยมโหดสำแดงวิชาตัวเบามุ่งไปในหุบเขา ราวกับเสือดำที่ห้อตะบึงหลบหนีอย่างหวาดกลัว
บนอกของเขามีต้นหญ้าแห้งเหี่ยวปักอยู่ เลือดสดๆ ไหลอาบเสื้อ
ไม่รู้ว่าหนีมาไกลเท่าไหร่ หลังจากแน่ใจว่าข้างหลังไม่มีใครติดตามมา เขาจึงหยุดลงแล้วพิงต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า แล้วถอดเสื้อออกเผยให้เห็นเกราะอ่อนที่ถักทอจากไหม กัดฟันพลางถอนต้นหญ้าที่ทะลุหน้าอก สีหน้าฉายแววโล่งใจ
คิดถึงช่วงเวลาเสี้ยวพริบตาไม่นานก่อนหน้านี้ ใจของเขายังหวาดกลัวอยู่
ห่างกันหลายร้อยจั้ง เขากับลูกน้องสามสี่คนระวังตัวมากแล้ว แต่แค่เพราะตัวซวยหนึ่งในนั้นทำกิ่งไม้ที่ขวางอยู่ข้างหน้าหักจึงถูกพบตัว
แทบจะในชั่วพริบตาที่ไม่อาจตอบโต้ได้ ความตายเยื้องย่างเข้ามาหา
ห่างกันหลายร้อยจั้ง ต้นหญ้าไม่กี่ต้นก็พรากชีวิตของยอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นรวมจิตไปหลายคน
ส่วนเขาที่เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นปรมาจารย์ หากไม่มีเกราะอ่อนไหมฟ้าที่ฟันแทงเข้ายาก น้ำไฟไม่อาจกล้ำกราย เกรงว่าก็คงจะตายตรงนั้นแล้ว
ต้าเจ๋อเปี๋ยแห่งที่ราบทุ่งหญ้า ช่างน่ากลัวนัก
บนตัวไร้ธนูและลูกศร แต่กลับใช้ทุกสิ่งได้ดั่งธนู
นี่เกินขั้นปรมาจารย์ไปแล้วกระมัง
แต่ว่า…
“ฮี่ๆ ข่าวที่หลิงลี่ส่งมาไม่ผิดแน่ ฮี่ๆ นี่เป็นโอกาสอันดี ต้าเจ๋อเปี๋ยแห่งที่ราบทุ่งหญ้ากับธิดาเทพแห่งสำนักบัณฑิตถามเต๋าซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านภูเขาเล็กๆ นอกเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ ฮ่าๆๆ หากมีชีวิตนำข่าวกลับไปส่ง จะต้องสร้างความดีความชอบมหาศาลแน่นอน”
เขาพูดกับตัวเองเสียงเบา
“เอ๋ มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ?” เสียงหนึ่งดังมาจากยอดไม้
“นั่นใคร?” เขาตื่นตกใจ หัวใจแทบจะหลุดออกมา
ก่อนหน้านี้เขาสัมผัสไม่ได้เลยสักนิด
“ที่เจ้าพูดมาเมื่อครู่เป็นความจริงรึ?” เมื่อเสียงนี้ดังขึ้นอีกครั้ง ก็มาถึงยังข้างหูเขาแล้ว
คมดาบเย็นเยียบปาดผ่านคอหอยของเขา
“เจ้าเป็น…สำนักบัณฑิตถามเต๋า…เจ้า…”
……
“กลิ่นอายกลุ่มนี้…”
วัดโบราณเงียบสงัดแห่งหนึ่งในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ ชายหนุ่มผมขาวราวเกล็ดน้ำค้างแข็งสะดุ้งตื่นจากฝัน
เขาแบกกระบี่โบราณมองไปข้างหลังที่ว่าการอำเภอ
“นี่มันกลิ่นอายมังกรเจียว…ว่ากันว่าก้นหุบเหวลึกข้างหลังที่ว่าการอำเภอขาวพิสุทธิ์มีสายน้ำไหลบ่าจากน้ำตกเก้ามังกร มีน้ำตกก็ย่อมมีบึงน้ำลึก เป็นที่หลบซ่อนของมังกร หรือว่ามังกรเจียวจะปรากฏกายขึ้นแล้วจริงๆ?”
เขาแปลงเป็นลำแสงสายหนึ่ง พุ่งไปยังข้างหลังที่ว่าการ
……………………………………………………