จอมศาสตราพลิกดารา - ตอนที่ 82
วิธีการต่อสู้แบบหมัดแลกหมัด ในสถานการณ์ส่วนมากหากเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัวจะได้ผลดีนัก
แต่ในสถานการณ์ที่โดนรุม วิธีการต่อสู้แบบนี้เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ
อีกทั้งสำหรับยอดฝีมือชั้นยอดขั้นรวมจิตสูงสุด กลยุทธ์แบบหมัดแลกหมัดก็ยากจะได้ผล ผู้แข็งแกร่งขั้นรวมจิตสูงสุดคนหนึ่ง หากไม่อยากบาดเจ็บก็จะลงมือรุกฆาตคู่ต่อสู้ มิเช่นนั้นโดยพื้นฐานแล้วจะค่อยๆ เสียพลังไป
นี่คือสาเหตุที่เว่ยชงมั่นใจนัก
กลางท้องฟ้า ร่างเงาคนสอดประสาน
ยอดฝีมือชั้นยอดสิบกว่าคนลงมือพร้อมกัน แสงกระบี่วาววับเย็นเยือก ปราณดาบถาโถมทั่ว
หลี่มู่ประสานสายตากับเว่ยชง ก่อนหัวเราะเสียงราบเรียบ
เขากระโดดขึ้นกลางท้องฟ้า ใช้กระบี่แทนดาบฟาดฟันลงมากลางอากาศ
ตัดอสุนี!
สายฟ้าฟาดพาดผ่านผืนฟ้ายามราตรี
ฉึก ฉัวะ!
ได้ยินเสียงคมดาบแหวกกายเนื้อ
เลือดสดๆ สาดกระเซ็นราวดอกไม้บาน
กระดูกแหลกสลายราวเศษหิน
ความตายปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงจากการสอดประสานของคมดาบและโลหิต
ความสิ้นหวังเกิดขึ้นท่ามกลางการผสมผสานของความเย็นเยือกและความมืด
ท่ามกลางเงาร่างที่ตัดสลับกัน ร่างกายขาดวิ่นไร้ลมหายใจทั้งหลายร่วงจากท้องฟ้ามาพร้อมกับเลือดสดๆ และความตาย ก่อนกระแทกสู่พื้นดินกลายเป็นเนื้อเละๆ
เงาร่างสอดประสาน
หลี่มู่ร่อนลงบนหัวเจียวอีกครั้ง
ร่างของเขามีรอยดาบรอยกระบี่เพิ่มขึ้นอีกหลายแผล เลือดไหลริน หน้าขาซ้ายมีดาบโค้งหักคาอยู่ ด้ามดาบโผล่อยู่นอกกาย บาดแผลหนักสาหัส สภาพยันเยินประหนึ่งรับทัณฑ์พันมีดหมื่นแล่ ทำให้แค่มองก็ขนลุกทั่วร่าง
ใช้หมัดแลกหมัดอีกแล้ว!
หากเป็นผู้แข็งแกร่งทั่วไป ต่อให้เป็นยอดฝีมือชั้นยอด ถ้าได้รับบาดแผลที่สาหัสเช่นนี้เกรงว่าคงยืนไม่ขึ้นไปนานแล้ว
แต่หลี่มู่กลับมีทีท่าไม่แยแส ยืนได้อย่างมั่นคงยิ่ง
เขาคลำหน้าของตัวเอง และถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก “ยังดีที่ไม่ได้ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเรามีแผล…”
และสิ่งที่แตกต่างกับเขาโดยสิ้นเชิงคือ ผู้แข็งแกร่งสำนักดับนิวรณ์ที่ลงมือก่อนหน้านี้ ในสิบสองคนมีอีกสองคนตัวขาดครึ่งท่อน กลายเป็นศพตัวเย็นชืด
อีกสิบคนที่เหลือมีสีหน้าตื่นตกใจ ร่อนลงบนหินที่ยื่นออกมาจากหุบผาตามตำแหน่งต่างๆ
ประมือครั้งหนึ่ง เพลงดาบหนึ่งชุด ตายไปอีกสองคน
หากนับสามคนที่ก่อนหน้านี้โดนสังหารไป นี่ก็แค่ช่วงเวลาไม่ถึงยี่สิบอึดใจเท่านั้น ยอดฝีมือชั้นยอดขั้นรวมจิตสูงสุดห้าคนที่มีชีวิตกลายเป็นเนื้อเละและศพสิบท่อนที่เย็นชืด
ยอดฝีมือชั้นยอดขั้นรวมจิต
นี่ไม่ใช่แมวหมาที่ไหน
ต่อให้ยอดฝีมือในสำนักดับนิวรณ์มีมากมาย แต่มาตายในรูปแบบนี้ก็ค่อนข้างจะรับไม่ได้เหมือนกัน
ใบหน้าของเว่ยชงแสบร้อนราวโดนคนตบเข้าฉาดหนึ่ง
เวลานี้ หากเขายังไม่รู้ว่าตัวเองประเมินพลังของขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ต่ำไป เช่นนั้นเขาก็เป็นคนโง่แล้วจริงๆ
ครั้งนี้เขาเห็นขั้นตอนทั้งหมดอย่างชัดเจน
เพียงแต่เขายังคงไม่อาจเข้าใจได้ว่าหลี่มู่ทำทุกอย่างนี้ได้อย่างไร
เพราะเห็นอยู่ชัดๆ ว่าดาบและกระบี่ของยอดฝีมือใต้บังคับบัญชาทั้งหลายฟันไปบนร่างของหลี่มู่ แต่ประกายคมกริบกลับไม่เหมือนฟันไปบนกายเนื้อของมนุษย์ กลับเหมือนฟันลงไปบนไม้ผุๆ หรือหนังสัตว์ที่ไร้สภาพ ทิ้งเอาไว้แค่รอยบางๆ เท่านั้น
ปราณดาบปราณกระบี่ที่มากพอจะผ่าหินผานั่น อย่างมากก็แค่ทำร้ายร่างกายของเด็กหนุ่มเท่านั้น แต่เอาชีวิตเขาไม่ได้
และสิ่งที่ตรงข้ามกันก็คือ กระบี่หินในมือของหลี่มู่เล่มนั้นคมอย่างยิ่งยวด กระบี่หนึ่งฟันมาแข็งแกร่งทนทาน สิ่งใดก็ตามที่ขวางอยู่ข้างหน้าล้วนขาดเป็นสองท่อน
“เจ้าสวะ เจ้าเป็นสายฝึกร่างกายงั้นรึ?”
เว่ยชงคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง
“ไม่ใช่เรื่องอะไรของเจ้า” หลี่มู่หายใจหอบเฮือกใหญ่
บาดแผลบนร่างกายเหมือนทาไว้ด้วยพริก ปวดแสบปวดร้อนไปหมด
ต่อให้พลังฟื้นตัวของร่างกายน่าตกใจ แต่ได้รับบาดเจ็บติดกันก็เกี่ยวพันไปถึงสติสัมปชัญญะ ซ้ำยังเสียเลือดมากอีก ทำให้สีหน้าของเขาขาวซีด รู้สึกอ่อนเพลียเป็นระยะๆ และหน้ามืดตาลายอยู่บ้าง
แต่ว่าในใจของเขา ฆ่าได้สะใจนัก
หลังหายใจสามสี่ที รู้สึกพลังกายฟื้นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว หลี่มู่ก็ก้มลงมองไป๋หรูซวงที่ทำสีหน้าตกใจสงสัยอยู่ไกลออกไป ยิ้มน้อยๆ พลางโบกกระบี่หินในมือไปมาอย่างได้ใจ
“ฮ่าๆ เจ้าหงอก ขอบใจเจ้ามากนะ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้ามอบกระบี่เล่มนี้ให้ข้า ข้าก็ไม่มีทางฟันพวกแมลงสำนักดับนิวรณ์มากมายได้อย่างราบรื่นเช่นนี้หรอก ฮ่าๆๆ คมดีจริงๆ ฟันหนึ่งกระบี่ตายหนึ่งคน สุดยอด!”
ไป๋หรูซวงหน้าดำคล้ำ
กระบี่เล่มนั้นเป็นหนึ่งในกระบี่มีชื่อของสำนักหมาป่าสวรรค์ หลายปีที่ผ่านมานี้ยิ่งเป็นสัญลักษณ์ของฐานะเขา อีกทั้งมีตำแหน่งที่สำคัญในสำนัก เขาเองก็จ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยถึงจะได้มา ตอนนี้กลับไปอยู่ในมือของหลี่มู่แล้ว นี่คือความอัปยศชัดๆ
ที่ยิ่งน่าปวดหัวก็คือ หากทำกระบี่หายก็ไม่อาจตอบคำถามสำนักหมาป่าสวรรค์ได้
แน่นอนว่าหลี่มู่ไม่มีทางสนใจเรื่องพวกนี้
เขาพูดเช่นนี้ก็เพื่อยั่วยุเจ้าหงอกนั่นสักหน่อย
“นี่คือยอดฝีมือของสำนักดับนิวรณ์แล้วหรือ? ฮ่าๆ อ่อนด้อยสิ้นดี!”
หลี่มู่มองไปยังพวกเว่ยชง เอ่ยด้วยน้ำเสียงดูถูก
เว่ยชงโมโหจนกัดฟันกรอก คิ้วเลิกขึ้น ยากจะควบคุมอารมณ์โกรธเอาไว้
หลี่มู่ไม่รอให้เขาได้พูด เริ่มเหน็บแนมขึ้นอีกว่า “พูดจริงๆ นะเจ้าหน้าบาก เจ้าหน้าตาอัปลักษณ์เช่นนี้ แถมยังแก่หง่อมอีก เอาความมั่นใจจากไหนมาวางท่าต่อหน้าตัวข้า?”
เว่ยชงราวกับโดนสายฟ้าฟาด เลือดแล่นขึ้นสมอง โมโหใกล้ระเบิดแล้วเต็มที
เขาเคยโดนคนด่าแบบนี้เสียที่ไหน?
เขากัดฟันกรอด พลิกมือปลดค้อนยักษ์ที่แบกอยู่ออกมา
นี่คืออาวุธที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขา ค้อนยักษ์ที่ใช้เหล็กกล้าเหมันต์จากนอกโลกเป็นแกนกลาง หนักถึงห้าหมื่นจิน เป็นอาวุธลับในบรรดาอาวุธลับ ยามตวัดกวัดแกว่งไปราวกับอุกาบาตถล่ม ไม่รู้ว่าทุบร่างของจอมยุทธ์ยอดฝีมือจนแหลกละเอียดไปเท่าไหร่
เขาจะต้องลงมือเองแล้ว
เว่ยชงถือค้อนยักษ์อยู่ในมือ โคจรกำลังภายในด้วยวิธีลับ -ภายใต้กลิ่นอายที่แผ่ระลอก ฝ่ามือเขากระตุ้นผิวค้อนส่งระลอกคลื่นพลังจางๆ ออกมา
โจวเข่อเอ๋อร์หน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง
นางรู้ว่าพลังแท้จริงของเว่ยชงน่ากลัวเพียงใด
หลี่มู่ที่อยู่ในสภาวะสมบูรณ์พร้อมมีข้อดีและข้อเสียต่างกันชัดเจน บางทีอาจมีพลังที่จะสู้กับเว่ยชงได้ แต่ตอนนี้…หลี่มู่ที่ตัวพรุนยืนได้ไม่มั่นแต่ฝืนยืนหยัดไว้ ไม่มีทางเป็นคู่มือของเว่ยชงได้เด็ดขาด…การต่อสู้กับเจียวก่อนหน้านี้หลี่มู่ใช้พลังหมดไปมากจริงๆ
โชคของหนุ่มน้อยผู้นี้ช่างไม่ดีเสียจริงๆ
โจวเข่อเอ๋อร์มองไปรอบๆ ความคิดแต่ละอย่างผุดขึ้นมาในหัวอย่างรวดเร็ว
ส่วนขอทานเฒ่าสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาลูบเจ้าสุนัขสีน้ำตาลเบาๆ ปากขยับมุบมิบเหมือนกำลังพูดอะไร ส่วนเจ้าต้าหวงนั้นก็โก่งตัวขึ้นเล็กน้อย ขนที่คอตั้งชันอย่างไร้สุ่มเสียง ราวกับอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมก่อนไล่ล่า
ขอทานเฒ่ามองไปยังหลี่มู่
สายตาของหลี่มู่ก็มองมาพอดีเช่นกัน
เสี้ยวขณะที่สบสายตา เด็กหนุ่มก็เข้าใจความหมายของขอทานเฒ่าในทันที
แต่เขาส่ายหน้าให้ แล้วสายตากวาดไปที่ร่างของโลลิน้อยหมิงเยวี่ย
ขอทานเฒ่าอึ้งไป ไม่เข้าใจว่าหลี่มู่ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ก็พยักหน้า แสดงว่าตนจะปกป้องเด็กน้อยคนนี้เอาไว้ให้ดี
การกระทำทั้งหมดจบลงแค่ในเสี้ยววินาที
จากต้นจนจบเป็นการสื่อสารทางสายตาทั้งสิ้น
‘แม่งเอ๊ย ไหงเราถึงจิตสื่อถึงกันกับตาแก่นี่ได้ล่ะ?’
หลี่มู่รู้สึกเหนือความคาดหมาย
และน่าขนลุกด้วยนิดหน่อย
…กับผู้ชายแก่คนหนึ่ง นี่มันจะดูโรคจิตเกินไปหน่อยแล้ว
แต่ว่าความพะวงสุดท้ายของเขาก็สามารถวางใจได้แล้ว
ถึงแม้ที่มาที่ไปของขอทานเฒ่าจะไม่ชัดเจน แต่ลางสังหรณ์บอกเขาว่าตาเฒ่านี่ยังนับว่าพึ่งพาได้ นี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาจึงอดต่อล้อต่อเถียงกับขอทานเฒ่าไม่ได้
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!
ค้อนยักษ์ในมือของเว่ยชงยิ่งสั่นไหวก็ยิ่งทรงพลังขึ้นทุกที
การสั่นไหวด้วยความถี่สูง ทำให้ค้อนยักษ์ดูพร่าเลือนเหมือนกลุ่มแสงสีดำที่จะกัดกินทุกสิ่ง
รัศมีอำนาจกดดันที่ทรงพลังกระจายออกมาโดยมีเว่ยชงเป็นศูนย์กลาง
พลังของยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ชวนให้คนพรั่นพรึง
หลี่มู่ดึงดาบที่หักคาขาโยนไปข้างหนึ่ง เลือดสดๆ ทะลักออกมา ทำให้เขาหน้ามืดตาลายอีกครั้ง ทั่วร่างอ่อนเปลี้ยไปหมด
สถานการณ์อันตรายนัก
หลี่มู่ไม่รู้ว่าตัวเองจะยืนหยัดต่อไปได้อีกนานแค่ไหน
แต่เขากลับหัวเราะเสียดสีต่อไป พร้อมทั้งชูนิ้วกลางให้กับเว่ยชง
“ตาแก่ เจียวตัวนี้เกรงว่าเจ้าจะไม่ได้มันไปแล้วละ”
เขาพลันชกหนึ่งหมัดไปยังผนังหิน
ถึงแม้จะบาดเจ็บ แต่หมัดนี้ก็ยังคงระเบิดพลังราวน้ำป่า
ครืน!
หุบผาสั่นไหว หินผาถล่มลงมาเป็นส่วนใหญ่ๆ
เจียวยักษ์คำรามอย่างโมโห
หินผาที่ทับอยู่บนร่างของมันแหลกทลายเพราะหมัดนี้ของหลี่มู่ มันขยับร่างดิ้นรนออกมาจากรอยแยก พลังชีวิตฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้ว
มันเงยหน้าคำรามอย่างโมโห
ภายใต้แสงจันทร์ ในลำคอมันมีแสงสว่างกะพริบ ดวงตาที่ราวกับสระเลือดจ้องมายังหลี่มู่พลางแผ่ประกายความเคียดแค้น ท่าทางหาเรื่องเหมือนไม่ยอมลดละ
“ยังไม่ไปอีก?” ร่างของหลี่มู่ไหววูบมายังหินผาก้อนหนึ่งข้างบน ตวาดเสียงดังว่า “ข้าไว้ชีวิตเจ้าแล้วยังไม่รู้จักดีชั่วอีก หรือเจ้าอยากจะฝังร่างของเจ้าไว้ที่นี่จริงๆ?”
กลุ่มเมฆดำบนท้องฟ้าเคลื่อนคล้อย บดบังจันทราที่อยู่สูงทั้งสองดวง
ท้องฟ้าพลันมืดมิดเกินบรรยาย
ร่างของเจียวขยับประหนึ่งฟังเข้าใจคำพูดของเด็กหนุ่มออก ก่อนจะส่งเสียงคำราม แสงสว่างในลำคอหายไป ดวงตาราวกับสระเลือดจ้องหลี่มู่อย่างไม่คลาดสายตา แววตาแบบนั้นเหมือนจะสลักรูปลักษณ์ของหลี่มู่เอาไว้ในความทรงจำ
สุดท้ายมันก็หมุนตัวมุดดำลงไปในน้ำลึก คลื่นลูกยักษ์ซัดโหม
“ไม่…” เว่ยชงร้อนรนและโกรธแค้นจนถึงขีดสุด
มังกรเจียวกลับลงสู่สายน้ำ หากมันซ่อนตัว เช่นนั้นเขาก็ไม่มีทางจับมันได้อีกต่อไป
ครืน!
เงาค้อนยักษ์ในมือเว่ยชงกลายเป็นแสงสีดำทุ่มลงไปยังเจียวยักษ์ คิดอยากจะขัดขวางการกลับลงสู่สายน้ำของเจียวไว้
มุมปากของหลี่มู่ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน
เจียวเป็นสัตว์ที่ใครก็กำราบมันได้อย่างนั้นรึ?
คิดได้ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หางเจียวตวัดขึ้นมาจากในน้ำ ซัดไปยังค้อนยักษ์อย่างรุนแรง
ค้อนยักษ์กระเด็นลอยไป
เว่ยชงหน้าเปลี่ยนสีทันที
เขาสัมผัสได้ถึงพลังป้องกันมหาศาลที่ส่งมาจากโซ่เหล็ก ไม่นึกว่าจะน่ากลัวกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก เขารู้ได้ทันทีว่าพลังของเจียวตัวยักษ์ตัวนี้อยู่เหนือเขามากนัก
ฟุ่บ
ค้อนยักษ์ที่กระเด็นกลับมามีเค้าว่ายากจะควบคุมอยู่เลาๆ และกำลังพุ่งมายังเขา
เขาคำรามลั่น หมุนโซ่เหล็กสำแดงเคล็ดวิชาในชั่วเวลาฉุกละหุก
ค้อนยักษ์เปลี่ยนทิศทางเล็กน้อยกลางท้องฟ้า เฉียดศีรษะของเว่ยชง แล้วทุบไปยังผู้แข็งแกร่งสำนักดับนิวรณ์ที่ไม่ทันตั้งตัวพอดิบพอดี ทำให้เขากลายเป็นเนื้อเละไปทันที
……………………………………………………