จอมศาสตราพลิกดารา - ตอนที่ 85
“ท่านช่วยข้าจากเงื้อมมือของเว่ยชง?”
หลี่มู่พยายามลืมตา สติค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เขานึกสงสัยเล็กน้อย
เขาพอจะเดาได้ว่าชายหน้าเหลี่ยมหนวดเคราครึ้มผู้นี้ รวมถึงภรรยาผู้งดงามชวนตกตะลึง เกรงว่าจะไม่ใช่คนธรรมดา
“เพียงแค่พาเจ้ามาที่นี่ก่อนที่มันจะหาเจ้าเจอเท่านั้น”
ชายคนนั้นพูดอมยิ้มรอยยิ้มของเขาให้ความรู้สึกเปิดเผยไว้ใจได้ ชวนให้คนเชื่อทุกอย่างที่เขาพูดในทันที
“ที่นี่คือที่ไหน?”
หลี่มู่เวียนหัวเล็กน้อย สภาพร่างกายทำให้เขาค่อนข้างกังวล
“ถ้ำทางน้ำหลังน้ำตกเก้ามังกร” ชายคนนั้นยิ้มแล้วยกฝ่ามือขึ้น ซัดไปบนร่างของหลี่มู่เบาๆ อย่างมีสัมผัสและจังหวะ “เจ้าเรียกข้าว่ากัวอวี่ชิงก็ได้” ทุกครั้งที่ฝ่ามือตบลงไปจะมีกระแสอบอุ่นไหลเข้าไปในร่างที่ไร้ความรู้สึกของหลี่มู่ และนำความรู้สึกโล่งสบายมาให้
ในถ้ำม่านน้ำหลังน้ำตกเก้ามังกร?
ที่แท้มีที่แบบนี้อยู่ด้วยหรือ
มิน่าเล่าถึงได้ยินเสียงน้ำตกครืนคราน
“ขอบคุณมาก”
หลี่มู่เอ่ยขอบคุณ
กัวอวี่ชิง?
ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“อาการบาดเจ็บของเจ้าสาหัสมาก กระดูกสันหลังและกระดูกตั้งแต่ท่อนล่างลงไปแทบจะหักหมด ต้องพักฟื้นหลายเดือนถึงจะหายดี” กัวอวี่ชิงถอนหายใจยาว “ข้าใช้กำลังภายในช่วยเจ้าต่อแขนขาที่หักแล้ว”
หลี่มู่พยักหน้า เขาเข้าใจดี
อันที่จริง ผลลัพธ์เช่นนี้กระทั่งว่าดีกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ก่อนนี้เขาคิดว่าตัวเองอาจจะต้องประสบเคราะห์ถึงฆาตจริงๆ แล้ว ร่างกายคงโดนทุบกลายเป็นเนื้อเละๆ หรือไม่เลือดเจียวคงจะเผาเขากลายเป็นเถ้าธุลี
การออกฤทธิ์ของพิษเลือดเจียวอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของเขา ทำให้แผนทุกอย่างของเขาเสียหมด
“เลือดเจียวผสานอยู่ในกายของเจ้า…เจ้าก็ช่างกล้าเสียจริง เจียวตัวนั้นบำเพ็ญตบะอยู่ที่นี่มาพันปี ดูดซับแก่นบริสุทธิ์จากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ กลืนกินพลังวิญญาณจากฟ้าดิน อีกทั้งใกล้จะกลายเป็นมังกรเต็มที ในเลือดของมันมีพลังมหาศาล หากคนทั่วไปอาบเลือดเจียวและยังพลั้งเผลอกินเข้าไป เกรงว่าคงจะท้องแตกไปนานแล้ว แต่ร่างกายของเจ้าพิเศษนักจึงยืนหยัดมาได้”
กัวอวี่ชิงพูด
หลี่มู่ยังหวาดหวั่นอยู่เช่นกัน
ความน่ากลัวของเลือดเจียวเกินกว่าจินตนาการของเขาไปไกล
เมื่อนึกย้อนการกระทำก่อนหน้านี้ที่ใช้กระบี่ฟันหัวเจียว เขาก็ช่างบุ่มบ่ามจริงๆ
“เว่ยชงแห่งสำนักดับนิวรณ์กำลังไล่ล่าเจ้า ไป๋หรูซวงแห่งสำนักหม่าป่าสวรรค์เกรงว่าคงจะไม่ปล่อยเจ้าไปเช่นกัน ทั้งยังมีเสือสิงห์กระทิงแรดบางพวกอีก…สภาพของเจ้าเช่นนี้ไม่มีทางกลับที่ว่าอำเภอได้ เช่นนั้นก็ค่อยๆ พักฟื้นในถ้ำแห่งนี้ รออีกสักสองสามเดือนหลังจากอาการบาดเจ็บฟื้นตัวดีแล้วค่อยว่ากัน” กัวอวี่ชิงเอ่ยปากเสนอ
สองสามเดือน?
หลี่มู่ขมวดคิ้ว
ตัวเขานั้นรอได้ แต่เกรงว่าชิงเฟิงและหมิงเยวี่ยจะมีอันตราย
คนในยุทธจักรที่ว่าพวกนั้นสันดานเป็นอย่างไร เขารู้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเว่ยชงเจ้าแก่นั่น หากหาตนไม่เจอจะต้องพานไปยังคนอื่นอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นชิงเฟิงและหมิงเยวี่ยต้องโดนก่อนเป็นแน่ หม่าจวินอู่และพวกเฝิงหยวนซิงก็เกรงว่าจะถูกลากเข้ามาด้วย
อีกทั้งในคุกที่ว่าการยังมีคนในยุทธจักรอีกโขยงหนึ่ง ล้วนเป็นระเบิดเวลากันทั้งนั้น หากเขาหายไปนานไม่กลับไป เกรงว่าจะต้องเกิดความวุ่นวายขึ้น
“เรื่องอื่นเจ้าอย่าได้คิดให้มาก ข้าจะช่วยเจ้าจัดการเอง” กัวอวี่ชิงเหมือนอ่านความคิดในใจของเขาออก
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเป็น…” หลี่มู่ถามขึ้น
กัวอวี่ชิงเอ่ยขัด “เป็นแค่ผู้หลบหนีที่พเนจรไปไกลสุดขอบฟ้าเท่านั้น”
เป็นประโยคที่วางท่าได้อีก
คำพูดแบบนี้ หากอยู่บนโลกก็มีแต่พวกฮิปสเตอร์ที่เที่ยวรำพึงไปเรื่อยเปื่อยพูดออกมาเบาๆ ตอนเงยหน้าสี่สิบห้าองศา มุมปากยกยิ้มน้อยๆ
แต่หลี่มู่รู้สึกได้ ชายคนนี้ไม่ได้วางมาด แต่ทอดถอนใจออกมาเช่นนั้นอย่างไร้สิ้นหนทางจริงๆ
เบื้องหลังเกรงว่าจะมีเรื่องในยุทธจักรที่มีฝุ่นเกาะหนาอีกกระมัง
ลำพังแค่เขาสามารถเข้าออกถ้ำหินหลังน้ำตกเก้ามังกร ก็อนุมานได้ว่าพลังฝึกวิถียุทธ์ของเขาสูงมาก ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
แต่ว่าในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยินดีจะพูด เช่นนั้นเขาก็ไม่เซ้าซี้ถาม
“สถานการณ์ของเจ้าตอนนี้ไม่เหมาะที่จะกินอาหาร พักผ่อนอยู่ที่นี่ดีๆ เถอะ ข้าจะไปหายารักษาบางอย่าง พรุ่งนี้เช้าจะกลับมา” กัวอวี่ชิงยืนขึ้น แล้วเติมฟืนลงไปในกองไฟอีกเพื่อเป็นการรับประกันว่ากองไฟจะติดไปได้อีกนาน “ที่นี่ปลอดภัยนัก เจ้าไม่ต้องกังวล คนของสำนักดับนิวรณ์หาที่นี่ไม่เจอหรอก”
พูดจบก็กำชับอีกสองสามประโยคแล้วจากไปทันที
หลี่มู่นอนนิ่งอยู่บนพื้นที่ปูหญ้าแห้ง
กระแสความร้อนที่กัวอวี่ชิงถ่ายทอดเข้ามาในร่างกายของเขาเมื่อครู่ราวกับกระแสไฟแล่นไปทั่วร่าง
นี่เป็นความรู้สึกเพียงอย่างเดียวที่หลี่มู่สัมผัสได้
“ไม่ได้ จะต้องรีบหาวิธีฟื้นฟู จะเสียเวลามากเกินไปไม่ได้”
ถึงแม้กัวอวี่ชิงจะให้ความรู้สึกไว้ใจและพึ่งพาได้ แต่หลี่มู่ก็ยังหวังว่าจะจัดการปัญหาทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ฝากชะตาชีวิตของตัวเองไว้กับคนอื่น ความรู้สึกแบบนี้ช่างย่ำแย่นัก
ให้ขอร้องคนอื่นมิสู้พึ่งตนเอง
เขาลองขยับแขนขา แต่กลับไม่รู้สึกถึงการตอบสนองใดๆ
“ทำได้แค่พึ่ง ‘วิชาก่อนกำเนิด’ แล้ว”
หลี่มู่นอนนิ่งๆ บนพื้น จังหวะหายใจเริ่มเนิบช้าและยาวนาน เขาขจัดความฟุ้งซ่านในหัว จิตใจรวมเป็นหนึ่ง แล้วโคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’
ระหว่างหายใจ กระแสอากาศในถ้ำเริ่มหมุนวนอย่างไร้สุ้มเสียง
ในถ้ำหลังม่านน้ำตกมีพลังวิญญาณเข้มข้นกว่าโลกภายนอกมาก จากที่หลี่มู่โคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ได้คล่องขึ้นเรื่อยๆ เขารู้สึกได้ว่าเมื่ออ้าปากหายใจ ก็เหมือนกับดื่มสุรารสเลิศอย่างไรอย่างนั้น
การหายใจของหลี่มู่ค่อยๆ หนักแน่นและยาวนานขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดเขาก็รู้สึกถึงการกระเพื่อมขึ้นลงของหน้าอกตน
สัมผัสรับรู้ของร่างกายเหมือนกำลังฟื้นฟูขึ้นมาทีละนิดๆ
กระแสความร้อนที่ก่อนหน้านี้กัวอวี่ชิงถ่ายทอดเข้ามาในร่างกายหายไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือพลังของพลังวิญญาณที่เข้ามาในร่างกายระหว่างการหายใจ
คลื่นพลังวิญญาณเช่นนี้ดุจกระแสธาร อ่อนโยนยาวนาน ยิ่งทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายสบายมากกว่ากระแสความร้อนที่กัวอวี่ชิงถ่ายทอดเข้ามาให้
ในยามที่พลังวิญญาณนี้ถาโถมมา เหมือนมีเส้นไร้รูปร่างหลายเส้นกำลังวาดร่างของเขาขึ้นมาใหม่ หลี่มู่สามารถยืนยันการมีอยู่ของร่างกายตนเองผ่านวิธีและความรู้สึกนี้ได้
หายใจเข้า หายใจออก
หายใจเข้า หายใจออก
ละอองหมอกสีขาวสองสายยืดหดเข้ามาในจมูกของเขาดุจงูสีขาวปราดเปรียวสองตัว
มีเพียงยอดฝีมือด้านกำลังภายในเท่านั้นจึงจะมีสภาวะเช่นนี้ได้ยามกำหนดลมหายใจ
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม บนหน้าผากของหลี่มู่มีเหงื่อไหลย้อย
เขารู้สึกถึงความร้อนที่ราวเพลิงร้อนแรงแผดเผาเกิดขึ้นในกายของตนอีกครั้ง
นี่เป็นเพราะพิษเลือดเจียวที่ซ่อนอยู่ในกายของเขากำเริบขึ้นอีกแล้ว
หลี่มู่ตั้งสมาธิ โคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ต่อไป
เรื่องน่าอัศจรรย์บังเกิดขึ้นแล้ว
เวลานี้ กำลังภายในที่ไหลเข้ามาในกายอีกครั้งไม่ใช่กระแสธารร้อนอีกต่อไป แต่เปลี่ยนเป็นเย็นสบายดุจสายน้ำยามฤดูใบไม้ร่วง ไหลวนไปทั่วร่างกายแล้วสะกดความร้อนแผดเผาของพิษเลือดเจียวลงไป
ระหว่างหายใจ พลังวิญญาณเฮือกใหญ่หลั่งไหลเข้าไปในร่างของเขา
เหมือนน้ำดับไฟที่ลุกโหม เขาค่อยๆ ไม่รู้สึกถึงพิษเลือดเจียวที่อยู่ในร่างแล้ว
เวลาไหลผ่านไปท่ามกลางการฝึกฝนอันเงียบงันเช่นนี้
หลังจากนั้นอีกประมาณครึ่งชั่วยาม
ร่างกายของหลี่มู่ฟื้นฟูความรู้สึกคืนมาโดยสมบูรณ์
เขาขยับแขนขาช้าๆ สองแขนออกแรงยันตัวลุกขึ้นนั่งตรงนั้น
แต่จากการขยับแขนขา เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดมหันต์
เหมือนกระดูกที่แตกร้าวในร่างกายทั้งหลายพังทลายลงมาอีกครั้ง
เมื่อหลี่มู่ก้มลงมองก็ต้องสูดหายใจเฮือก
ที่แท้ ขา เท้า จนกระทั่งแขนและฝ่ามือของเขาเปลี่ยนรูปร่างไปหมด บิดงอในองศาผิดปกติที่น่าตื่นตกใจ เหมือนคนเป็นโรคโปลิโอหรือมีพัฒนาการไม่สมบูรณ์ ผิวกายเลือดเนื้อเหวอะหวะ เต็มไปด้วยรอยแผล
และเพราะการขยับเมื่อครู่ รอยแผลบางแผลที่ตกสะเก็ดจึงปริแตกเลือดไหลอีกครั้ง
ทั้งตัวเขาเหมือนสัตว์ประหลาดที่พัฒนาการไม่สมบูรณ์ มือเท้าผิดรูปผิดร่าง
การได้รู้เช่นนี้ทำให้ใจของหลี่มู่หนักอึ้ง
แต่เขาก็ไม่สิ้นหวัง
นานมาแล้ว นิสัยของหลี่มู่มียีนที่ย้อนแย้งและแปลกประหลาดมากอยู่
ปกติแล้วเขารักตัวกลัวตาย กลัวความเจ็บปวด กลัวอันตราย ทั้งขี้ขลาดทั้งใจแคบ ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว แต่เมื่อเผชิญกับสภาพจนตรอกหรือความยากลำบากขึ้นมาจริงๆ เขากลับใจเย็น กล้าเสี่ยงตาย และเด็ดเดี่ยวมากกว่าคนทั่วไป
สถานการณ์เช่นนี้ประหนึ่งกระตุ้นเลือดร้อนที่อยู่ส่วนลึกในใจขึ้นมา คนทั้งคนเปลี่ยนมาเยือกเย็นหนักแน่น
เขากัดฟันขยับขาทั้งสองของตน นั่งขัดสมาธิอยู่ที่ตรงนั้น
ขั้นตอนทั้งหมดนี้ช้านานนัก
กระดูกแตกร้าวในกายที่ฟื้นตัวจากพลังสมานแผลอันทรงพลังแต่ยังไม่หายสนิทเหล่านั้นหักร้าวดังกร๊อบๆ อีกรอบเพราะการเคลื่อนไหวนี้ของเขา ในขณะเดียวกัน รอยแผลที่ผิวหนังก็ปริแตก เจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง ราวกับมีดกรีดก็ไม่ปาน
เลือดสดๆ ไหลลงมาตามขาทั้งสองของเขาจนหญ้าแห้งที่อยู่ใต้ร่างเปียกชื้น
ขณะฝืนทนต่อความเจ็บปวด หลี่มู่มาอยู่ในสภาพนั่งขัดสมาธิได้อย่างสมบูรณ์ในที่สุด
เขาโคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ อีกครั้ง
หายใจเข้า หายใจออก กำหนดลมหายใจ
ความมหัศจรรย์ของ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ สำแดงให้เห็นจนถึงขีดสุดอย่างชัดเจนอีกครั้ง
จากการหายใจของหลี่มู่ ความเจ็บปวดของร่างกายหายไปราวคลื่นซัด
ความรู้สึกเย็นสบายราวน้ำอมฤตสุราเลิศรสปกคลุมร่างกายอีกครา
เวลาไหลผ่านไป
เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม
หลี่มู่นั่งขัดสมาธินิ่งๆ อยู่กับที่ราวรูปปั้น
เลือดใต้ร่างแห้งกรังแล้ว
บาดแผลตกสะเก็ดบนผิวกายค่อยๆ สมานตัว กระทั่งเริ่มหลุดลอกด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง เผยให้เห็นผิวใหม่สีแดงที่ข้างใต้
นี่เป็นปาฏิหารย์ชัดๆ
อาการบาดเจ็บเช่นเดียวกันนี้ ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่งที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่ง เกรงว่าต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงจะฟื้นตัวได้ถึงขั้นนี้ แต่หลี่มู่กลับใช้เวลาแค่สั้นๆ แค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น
สมแล้วที่ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ เป็นเคล็ดวิชาเซียน
หลี่มู่ลืมตาขึ้น
เขาก้มหน้ามองสภาพร่างของตน ในดวงตาฉายประกายพึงพอใจพร้อมพยักหน้าช้าๆ
การวิเคราะห์ของเขาถูกต้อง
บาดแผลเช่นนี้สามารถฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์
เขารู้สึกว่าในกายของเขา พลังกำลังฟื้นฟูกลับมา
……………………………………………………