จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 129 แซ่เจิ้งเหมือนกัน?
หลี่มู่ขี่ม้า ยืนอยู่ข้างหน้าปากทางตรอกไล่หมู ในใจครุ่นคิดอะไรอยู่
เขาเป็นตัวปลอม ไม่ใช่หลี่มู่ของดาวดวงนี้ เหตุที่เดินทางมารับมารดาผู้ให้กำเนิดของหลี่มู่ หนึ่งก็เพื่อตอบแทนหลี่มู่คนนั้นที่เขามาแทนที่ ไม่ว่าหลี่มู่คนนั้นจะตายหรือยังมีชีวิตอยู่ ดูจากชีวิตของเขาแล้วก็ถือว่าเป็นลูกกตัญญูมีความสามารถ สองคือเพราะสิ่งที่หลี่มู่ประสบพบเจอชวนให้คนปลงอนิจจังและเห็นใจ สตรีที่ถูกชะตาชีวิตละเลย บั้นปลายชีวิตควรจะได้เสพสุขเสียบ้าง
หลี่มู่ที่มาจากโลกไม่เคยได้รับความรักจากพ่อแม่ จึงพูดได้ว่านี่เป็นต่อมโมโหในใจของเขา
เพียงแต่ต่อให้หน้าตาจะคล้ายกันขนาดไหน ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนคนเดียวกัน หากมารดาหลี่มู่จำได้ขึ้นมา เช่นนั้นจะกระอักกระอ่วนมากแน่
หลี่มู่ไม่ได้กลัวโดนเปิดเผยตัวตน
พลังแท้จริงของเขาในตอนนี้ ท้องฟ้ากว้างไกลจะไปที่ใดก็ได้ ต่อให้ไม่เป็นขุนนางเมืองของอำเภอขาวพิสุทธิ์ ก็สามารถท่องไปในยุทธจักร
สิ่งที่เขากังวลคือ หากมารดาหลี่มู่ดูออกว่าเขาเป็นตัวปลอม และซักถามร่องรอยของลูกชายตัวจริงขึ้นมา เขาควรจะตอบอย่างไร? หากพูดตามตรง บอกให้รู้ว่าหลี่มู่ตัวจริงตกหน้าผาตาย นั่นจะไม่เป็นการตัดความหวังสุดท้ายของนางทิ้งหรือ นางจะเจ็บปวดสิ้นหวังเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังขัดกับเจตนารมณ์ที่ตนมารับท่านแม่หลี่ด้วย
ตรอกไล่หมูเป็นตรอกชุมชนแออัดของประชาชนยากไร้ พื้นดินเฉอะแฉะ กำแพงเตี้ย อากาศมีกลิ่นคาวจางๆ นั่นเป็นกลิ่นของปฏิกูลขับถ่ายผสมปนเปกับดินโคลน ชวนให้คนอยากอาเจียนเมื่อได้กลิ่น
กลิ่นแบบนี้ หลี่มู่เคยได้กลิ่นเมื่ออยู่โรงฆ่าสัตว์ของหมู่บ้านวัดหรานเติงบนโลก
คนในตรอกมีไม่มาก มีสุนัขจรจัดเพ่นพ่าน เทียบกับทิวทัศน์ยามราตรีที่คึกครื้นบนถนนสายหลักด้านนอกแล้ว ที่นี่ราวกับเป็นพื้นที่ที่ถูกลืม เป็นโลกอีกใบหนึ่งโดยสิ้นเชิง
มีคนปรากฏตัวขึ้นบ้าง บ้างก็เป็นคนที่สีหน้าเฉื่อยชาร่างกายผอมแห้ง บ้างก็เป็นพวกเหี้ยมโหดใบหน้าฉายแววเหี้ยมเกรียม ท่าทางดูรีบร้อน ยิ่งรับกับสภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตที่ซับซ้อนและอันตรายของตรอกเล็กๆ แห่งนี้
คนที่ปรากฏตัวขึ้นในตรอกแห่งนี้ ใช้สายตาสงสัยใคร่รู้ประเมินพวกหลี่มู่ทั้งสองคน
ไม่ต้องพูดถึงม้าดำชั้นเลิศที่ขี่อยู่ ลำพังแค่เสื้อผ้า บุคลิกท่าทาง พวกหลี่มู่สองคนไม่ควรจะเป็นส่วนหนึ่งของตรอกนี้ เป็นคนที่มาจากโลกอีกใบหนึ่ง ไยจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่?
“คุณชาย?” เจิ้งฉุนเจี้ยนพูดเสียงเบาอยู่ข้างๆ “ฮูหยินอยู่ข้างในจริงๆ ข้าน้อยจำไม่ผิดแน่นอน…”
หลี่มู่โบกมือ
“เข้าไปเถอะ”
เขาลงจากม้า จูงม้าเดินไปในตรอกไล่หมูที่มืดทึมทีละก้าวๆ ตามถนนเฉอะแฉะสายนี้
ทั้งสองฝั่งของตรอก นอกจากกำแพงดินเตี้ยๆ แล้วยังมีประตูไม้สลับกันไป บางเรือนเงียบสงัด บางเรือนมีแสงไฟริบหรี่ ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กเล็กบ้างเป็นบางครั้ง และยังมีประตูที่แขวนโคมแดงเอาไว้ มีสตรีอายุแตกต่างกันไปสวมชุดวาบหวิว ทำท่าทางยั่วยวน แต่เมื่อเห็นพวกหลี่มู่กลับไปซ่อนตัวไกลๆ บุคคลยิ่งใหญ่ที่ไม่ใช่คนในโลกชุมชนยากจน ถึงแม้จะมีทรัพย์สินและของล้ำค่า พวกนางก็ไม่กล้าเดินมาเรียกแขกจริงๆ
ตรอกไล่หมูไม่ลึกนัก ยาวประมาณสามสิบกว่าจั้งเท่านั้น
เรือนเล็กของมารดาหลี่มู่อยู่ในจุดลึกที่สุดของตรอก
“นังหญิงเฒ่า วันนี้ต่อให้เจ้าพูดอะไร ข้าก็จะจับหญิงรับใช้สารเลวนี่กลับไป ถ้าเจ้ากล้าขัดขวาง ข้าจะหักขาของเจ้าด้วย” เสียงกำเริบเสิบสานดังออกมาจากเรือนเล็กของมารดาหลี่มู่
จากนั้นก็มีเสียงร้องไห้ขอร้องอ้อนวอนของสตรีและเสียงหัวเราะโหดเหี้ยมของบุรุษดังขึ้น
สายตาของหลี่มู่จ้องเพ่ง
หน้าประตูเรือนมีรถม้าจอดอยู่ ชายรูปร่างกำยำท่าทางเหมือนคนขับรถม้าสองคนจูงม้ายืนอยู่หน้าประตู มองประเมินคนที่เดินผ่านไปมาด้วยใบหน้าดุดัน ข้างเอวมีดาบยาวห้อยอยู่ ท่าทางร้ายกาจ ราวกับเทวดาเฝ้าประตูอย่างไรอย่างนั้น
เกิดอะไรขึ้น?
หลี่มู่มองไปยังเจิ้งฉุนเจี้ยน
ฝ่ายหลังทำหน้าสงสัยและงุนงง
หลี่มู่เดินอาดๆ ไปยังประตูใหญ่
ชายกำยำสองคนระวังตัวขึ้นทันที ถลึงตามองมายังหลี่มู่ ในดวงตาสื่อนัยเอ่ยเตือนอย่างชัดเจน
“เจ้าทำอะไร?”
ชายร่างกำยำหนึ่งในนั้นเอามือแตะด้ามดาบพลางจ้องหลี่มู่
“อ้อ กลับบ้านมาดูหน่อยน่ะ” หลี่มู่ผูกม้าดำไว้ที่ตอต้นไม้แห้งตายหน้าประตู และตอบไปตามอารมณ์
จากนั้นก็ไม่สนใจชายสองคนนี้ ยื่นมือผลักประตูเข้าไป
“หยุดนะ”
“ห้ามเข้าไป”
ชายทั้งสองคนโมโหทันที ยื่นมือจับไหล่ของหลี่มู่เอาไว้
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นพวกเขาชักดาบฟันไปนานแล้ว แต่เห็นเสื้อผ้าของหลี่มู่และเจิ้งฉุนเจี้ยนไม่ธรรมดา น่าจะเป็นคนที่พอมีฐานะ พวกเขาจึงยังนับว่าเกรงใจ…เห็นได้ชัดยิ่งว่าฐานะของชายสองคนนี้ไม่สูง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้จักเจิ้งฉุนเจี้ยน ไม่รู้จัก ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ ที่แค่กระทืบเท้าก็มากพอจะทำให้ทั่วทั้งเมืองฉางอันต้องสั่นคลอนได้
ทว่า ชายทั้งสองยื่นมือคว้าก็คว้าไว้ได้เพียงอากาศ
หลี่มู่ท่าทางไม่รีบไม่ร้อน ผลักประตูเรือนเดินเข้าไปแล้ว
“หยุดเดี๋ยวนี้…”
“อยากตายงั้นรึ?”
ชายทั้งสองตื่นตระหนก รีบไล่ตามเข้าไป
เจิ้งฉุนเจี้ยนส่ายหน้า เขาพอจะเดาอะไรได้เลาๆ เห็นได้ชัดว่าคืนนี้มีคนซวยแน่แล้ว อีกทั้งยังซวยมากอีกด้วย เขารู้อารมณ์ของหลี่มู่เป็นอย่างดี หากโมโหขึ้นมาแม้แต่ฟ้ายังแทงทะลุเป็นรูพรุนได้
แต่ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เกี่ยวกับเขาอยู่แล้ว
ดังนั้นเขาจึงผูกม้าไว้หน้าประตูอย่างไม่รีบร้อน หยิบเสื้อผ้าและอาหารที่เพิ่งซื้อเมื่อครู่จากหลังม้ามาถือไว้ จากนั้นเดินเข้าไปในเขตเรือนเล็ก ชายกำยำสองคนนั้นไล่ตามเข้าไปแล้ว จึงไม่มีใครขวางเขาเอาไว้
……
หลี่มู่เดินเข้ามาในลานบ้าน ก็ได้เห็นภาพเช่นนี้
สตรีวัยกลางคนสวมชุดกระโปรงผ้าป่านเนื้อหยาบเก่าๆ คนหนึ่ง ในมือถือไม้กวาดโล้นปกป้องหญิงสาวที่ดูแล้วอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปีเอาไว้ข้างหลัง เหมือนแม่ไก่ปกป้องลูกไก่ก็ไม่ปาน สีหน้าทั้งโกรธแค้นทั้งหวาดกลัว
ดวงตาทั้งสองของหญิงวัยกลางคนไร้แววและไม่จับจุด เห็นได้ชัดว่าบอดไปแล้ว แต่ต่อให้สูญเสียดวงตาคู่งามไป ทั้งยังสวมเสื้อผ้าหยาบขาดวิ่น ก็ไม่อาจบดบังความงามของนางได้ เหมือนกับดอกไม้ที่ตกอยู่ในโคลนเลน ถึงแม้วันเวลาจะทำร้าย ชีวิตยากลำบากทุกข์ทรมาน แต่ตัวนางก็ยังคงมีรัศมีที่ทั้งสูงส่งและงดงาม
แทบจะไม่ต้องเดา หลี่มู่ก็รู้ว่าหญิงวัยกลางคนคนนี้คือมารดาของหลี่มู่
พูดตามตรง รูปลักษณ์ของท่านแม่หลี่ต่างจากรูปลักษณ์สตรีชราผมหงอกขาวหลังโค้งค่อมในจินตนาการเขามาก แต่มาคิดดูแล้ว นี่ต่างหากถึงจะปกติ
ถึงอย่างไรเมื่อยามอ่อนเยาว์ มารดาของหลี่มู่ก็เป็นดอกไม้จากชนชั้นสูงที่งดงามโดดเด่นของจักรวรรดิ มีคนนับไม่ถ้วนตามเกี้ยวพา
ส่วนหญิงสาวหลังมารดาหลี่มู่คนนั้น ท่าทางประมาณสิบแปดสิบเก้า หน้าตายังดูอ่อนวัย ถึงแม้จะเรียกไม่ได้ว่าสวยสะ แต่ก็นับว่าน่ารักดูดี ผิวพรรณงามเป็นอย่างยิ่ง บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาและดูหวาดกลัวราวตกใจพายุฝนฟ้าคะนองมีรอยฝ่ามือประทับชัดเจน ทั้งยังบวมแดง เสื้อผ้าที่สวมอยู่นับว่าเนื้อดีอยู่บ้าง เพียงแต่ถูกฉีกกระชากไปกว่าครึ่ง เผยให้เห็นแขนและไหล่ขาวเนียน มือทั้งสองปกปิดหน้าอกเอาไว้…
เพียงแต่บนร่างขาวเนียนที่เปลือยออกมาให้เห็นกลับเต็มไปด้วยรอยเฆี่ยนถี่ยิบ เขียวช้ำไปทั่ว
ในหัวของหลี่มู่มีข้อมูลกระเด้งขึ้นมาทันที
เจิ้งฉุนเจี้ยนเคยพูดเอาไว้ ข้างกายท่านแม่หลี่มีเด็กรับใช้ที่ซื่อสัตย์ภักดีสามสี่คน ทว่าถูกจับแยกขายทิ้งไปตามลำดับ เด็กสาวรับใช้ที่จงรักภักดีคนสุดท้ายถูกคนในจวนของเจ้าเมืองชายชั่วบังคับขายให้แต่งไปเป็นอนุบ้านหนึ่ง ข้างกายมารดาของหลี่มู่ในวันนี้น่าจะไม่มีเด็กรับใช้ปรนนิบัติดูแล
ภาพเบื้องหน้านี้ อืม…
น่าจะเป็นอนุที่ถูกบังคับขายแต่งคนนั้นหนีกลับมา จากนั้นก็ถูกไล่ตามมาถึงที่?
สรุปรวมกับคำพูดที่ได้ยินจากนอกประตู หลี่มู่วิเคราะห์ออกมาได้เช่นนี้
ส่วนตรงข้ามกับท่านแม่หลี่สตรีทั้งสอง เป็นชายอ้วนเตี้ยวัยกลางคนสวมชุดแพรชั้นดี กำลังยืนเท้าเอวสบถด่า ข้างกายของเขามีข้ารับใช้ชั่วช้าสี่คนยืนอยู่ ที่เอวแขวนดาบยาวกันทุกคน มือถือแส้ ท่าทางเหี้ยมโหดดุดัน ใบหน้าประดับรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม หัวเราะสนุกสนานราวกับดูเรื่องสนุก
“ฮี่ๆ นังเฒ่า ข้าเห็นแก่ที่เจ้าเคยปรนนิบัติท่านเจ้าเมือง ดังนั้นจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า เจ้ากลับรนหาที่ตาย กล้าสมรู้ร่วมคิดกับสาวใช้สารเลวขโมยทรัพย์สินบ้านข้า ทั้งยังกล้าปกป้องแม่สาวใช้สารเลวนี่อีก คิดว่าข้าไม่กล้าลงมือกับเจ้าอย่างนั้นรึ?”
มุมปากของชายอ้วนมีไฝขนดำเม็ดหนึ่ง ยามที่อ้าปากด่าทอดูเหี้ยมเกรียมและโหดร้าย
เขาด่าไปสองประโยค ก็พลันหันหน้ากลับมามองหลี่มู่ที่เดินเข้ามาทีละก้าว
“เจ้าเป็นใคร?” เขาตกใจ
หลี่มู่พูดขึ้น “ข้าเป็นเจ้าของที่นี่…แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร?”
ระหว่างที่พูด ชายสองคนนอกประตูก็ไล่ตามเข้ามา
ชายอ้วนตั้งสติกลับมา สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเหี้ยมโหดดุดัน ก่อนเอ่ยว่า “ไอ้โง่ที่ไหนกล้ามาแกล้งทำโง่ๆ เซ่อๆ ต่อหน้าท่านเจิ้งคนนี้…วั่งไฉ ไหลฝู ให้พวกเจ้าเฝ้าหน้าประตูไว้ ทำไมถึงปล่อยให้เณรหัวโล้นตัวปัญหานี่เข้ามาได้?” เขาเองก็มองหลี่มู่เป็นเณรเช่นกัน
ชายสองคนที่ไล่เข้ามา คนหนึ่งชื่อวั่งไฉ คนหนึ่งชื่อไหลฝู
“นายท่าน เป็นมันบุกเข้ามาเอง…”
“เจ้านี่มันไหลลื่นยิ่งนัก นายท่านระวังตัวด้วย”
ทั้งสองคนพูด
“ลากมันออกไป ลากออกไป…แล้วหักขามันซะ” ชายอ้วนที่เรียกตัวเองว่าท่านเจิ้งกระทืบเท้าตวาด เห็นได้ชัดว่าถูกขัดจังหวะ จึงทำให้เขาโมโหมาก
ชายทั้งสองชักดาบพุ่งออกไปทันที
หลี่มู่ไม่แม้แต่จะหันกลับไป ตวัดมือซัดเข้าให้ พลังกลุ่มหนึ่งทะลักออกมา ชายร่างใหญ่กำยำสองคนลอยออกไปเหมือนว่าวสายป่านขาด ร่วงไปนอกกำแพงเรือน ไร้ซึ่งลมหายใจไปแล้ว
จากนั้นเขาร้องอ้อ แล้วกล่าวว่า “แซ่เจิ้งเหมือนกันรึเนี่ย”
เจิ้งฉุนเจี้ยนที่เพิ่งเข้าประตูมาได้ยินประโยคนี้ ก็ตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาทันใด รีบอธิบายทันที “คุณชายขอรับ ข้าไม่รู้จักเขา ไม่ใช่เจิ้งบ้านเดียวกันกับข้า”
ตอนนี้ มารดาหลี่มู่และสาวใช้คนนั้นทั้งสงสัยและตระหนกตกใจ
ท่านแม่หลี่ตาบอด มองรูปลักษณ์ของหลี่มู่ไม่เห็น นางไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น
ส่วนหญิงสาวที่ตื่นตกใจเหมือนลูกเป็ดกลางพายุคะนองรีบดึงเสื้อผ้าเก่าๆ โทรมๆ ของตนขึ้นมา ใช้มือปกปิดไว้ สายตามองประเมินหลี่มู่ รู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่ในเวลาแบบนี้ เมื่อเห็นภาพที่หลี่มู่ลงมือ นางเลยทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่คนแปลกหน้าคนนี้ จึงรวบรวมความกล้าหาญแล้วรีบพูด “คุณชาย ช่วยพวกเราด้วย…”
……………………………………………………